ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง นิยาย บท 464

บทที่ 464 วีรบุรุษแห่งชาติ (1)

หมู่เมฆท่ามกลางท้องฟ้าสีครามกระจายตัวออก และหายไปอย่างกะทันหัน เหลือเพียงผืนฟ้าสีครามอันราบเรียบ

พลังที่พุ่งทะยานไปบนท้องฟ้า การคงอยู่ที่ยังไม่ปรากฏออกมา ราวกับเห็นแจ้งด้วยตาอย่างชัดเจน

ดวงตาคู่หนึ่งเปิดขึ้นระหว่างท้องฟ้าและผืนดิน ดวงตาที่เปี่ยมล้นไปด้วยปัญญาอันเฉียบแหลมและความสงบนิ่งไม่สั่นคลอน

ร่างเสมือนจริงสูงกว่าร้อยจั้งปรากฏขึ้นระหว่างภูเขาและทะเล เขาสวมชุดขงจื๊อและมงกุฎขงจื๊อ ใบหน้าพร่ามัว เครายาวพลิ้วไหว

ไม่รู้ว่าเป็นภาพลวงตาหรือไม่ แต่ดวงอาทิตย์ที่เคยแผดเผาบนท้องฟ้าดูเหมือนจะมืดสลัวลงเล็กน้อย

ท้องฟ้าครามอยู่เหนือศีรษะของร่างเสมือนจริงนี้ เท้าเหยียบอยู่บนมหาสมุทรอันกว้างใหญ่

ทันทีที่ร่างเสมือนจริงนี้ปรากฏขึ้น ภายในรัศมีร้อยลี้จากจิ้งซานก็อบอวลไปด้วยอากาศอันบริสุทธิ์ เสียงอ่านบทสวดดังมาจากความว่างเปล่า

สำนักลัทธิขงจื๊อสะสมอากาศบริสุทธิ์มานับพันปี เทียบแล้วเหมือนแสงของหิ่งห้อย

ปราชญ์ขงจื๊อศักดิ์สิทธิ์!

ผู้ก่อตั้งระบบลัทธิขงจื๊อ เอกบุรุษผู้ยิ่งใหญ่เหนือชั้น

นับตั้งแต่ปราชญ์ขงจื๊อศักดิ์สิทธิ์สิ้นชีพ นับเป็นครั้งแรกในรอบหนึ่งพันสองร้อยปีที่มีคนอัญเชิญดวงวิญญาณวีรบุรุษของปราชญ์ขงจื๊อศักดิ์สิทธิ์

ในขณะนี้ รูปปั้นของเทพอูสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง ทั้งแท่นบูชา ทั้งหุบเขา ล้วนสั่นสะเทือนราวกับแผ่นดินไหว

ภายในรัศมีหนึ่งร้อยลี้รอบเมืองจิ้งซานขณะนี้ สิ่งมีชีวิตทั้งหมดต่างหมอบคลานอยู่ที่พื้นด้วยเนื้อตัวสั่นเทา

อีเอ๋อร์ปู้และอูต๋าเป๋าถ่าสั่นสะท้านไปทั้งตัว เขาก้มศีรษะเล็กน้อยแต่กลับไม่ยอมหมอบลงไปที่พื้น นี่คือศักดิ์ศรีสุดท้ายของพ่อมดขั้นสาม

พ่อมดซ่าหลุนอากู่ผู้ยิ่งใหญ่ แหงนขึ้นไปมองร่างเสมือนจริงขนาดมหึมาด้วยจิตใจเด็ดเดี่ยวแน่วแน่ ริมฝีปากของเขาสั่นเล็กน้อย

เขากล่าวพึมพำว่า “ปราชญ์ขงจื๊อศักดิ์สิทธิ์…”

ตั้งแต่การกำเนิดของอารยธรรมมนุษย์ กระบวนการเปลี่ยนแปลงของระบบพิธีการก็ค่อยเป็นค่อยไป เรียกได้ว่ามีความซับซ้อนและวุ่นวาย แต่หากขยายการมองสายน้ำแห่ง ‘ประวัติศาสตร์’ ที่ทอดยาวออกไป แท้จริงแล้ว สามารถแบ่งการเปลี่ยนแปลงของอารยธรรมมนุษย์ออกเป็นสองขั้นได้อย่างง่ายๆ

คือก่อนลัทธิขงจื๊อและหลังลัทธิขงจื๊อ

ก่อนกำเนิดลัทธิขงจื๊อ ระบบมีความผันผวน และอยู่ในขั้นที่ค่อนข้างวุ่นวาย

หลังกำเนิดลัทธิขงจื๊อ อารยธรรมมนุษย์ถึงมีเสาหลัก มีรากฐานที่มั่นคงดุจภูผา

ในช่วงหมื่นปีหลังจากสิ้นสุดยุคของเทพปีศาจ ไม่ว่าจะเป็นผู้แบกรับโชคชะตาก็ดี จักรพรรดิโบราณก็ดี จักรพรรดินับพันในยุคต่อๆ มาก็ดี ล้วนไม่มีใครเทียบปราชญ์ขงจื๊อศักดิ์สิทธิ์ได้

ในฐานะผู้สร้างอารยธรรมมนุษย์ ปราชญ์ขงจื๊อศักดิ์สิทธิ์ราวกับปรากฏตัวขึ้นตามโอกาส

ดวงตาของเว่ยเยวียนถูกแทนที่ด้วยแสงสว่างจ้า ความไม่แยแสของเทพเจ้าปรากฏอย่างชัดเจน เนื้อของเขาแตกร้าวเป็นแนวยาว มงกุฎขงจื๊อและดาบสลักเรืองแสงออกมา ซ่อมแซมร่างกายของเขาครั้งแล้วครั้งเล่า และแตกร้าวใหม่ครั้งแล้วครั้งเล่า วนเวียนเป็นวัฏจักรซ้ำๆ

สิ่งที่เขาแบกรับในขณะนี้ ไม่ใช่เพียงพลังที่เหนือขั้นเท่านั้น แต่ยังเป็นโชคอันทรงอานุภาพชั้นหนึ่ง ตั้งแต่เผ่าพันธุ์มนุษย์ถือกำเนิดขึ้นมาอีกด้วย

หลังจากการสิ้นชีพของปราชญ์ขงจื๊อศักดิ์สิทธิ์ ก็ไม่เคยมีใครเรียกวิญญาณวีรบุรุษของเขาออกมาได้ แต่ก็ไม่ใช่ว่าไม่มีเหตุผล

เว่ยเยวียนเงยหน้าขึ้นไปมอง จ้องจักรพรรดิเจินเต๋อในอากาศ และกล่าวเสียงเบาว่า “ลองชักดาบออกมา!”

จักรพรรดิเจินเต๋อมองเขาด้วยความเฉยเมย

ดาบส่องแสงเป็นประกาย เวลาและพื้นที่นี้ราวกับหยุดนิ่ง ไม่เคยมีปราณดาบที่วิจิตรตระการตาเช่นนี้มาก่อน เพราะในประวัติศาสตร์ไม่มีนักดาบคนใดที่เชี่ยวชาญเกินขั้น

“โอ้…”

เสียงตะโกนกรีดร้องดังกระหึ่มทั่วสนามรบ มียอดฝีมือเพียงไม่กี่คนที่มีความกล้าพอที่จะมองฉากนี้ การเปลี่ยนแปลงของร่างกายทำให้คนที่เห็นถึงกับขนพองสยองเกล้า

จู่ๆ บางคนก็ระเบิดปราณกระบี่ออกมา หลังจากนั้นก็แหลกออกเป็นชิ้นๆ

ร่างของบางคนถูกย้อมเป็นสีเทาเหล็ก กลายเป็นประติมากรรม

จู่ๆ บางคนก็ถูกไฟไหม้อย่างกะทันหัน กลายเป็นเถ้าถ่านอย่างรวดเร็ว ทิ้งเพียงรอยเท้าสีดำไว้บนพื้น

ร่างของบางคนกลายเป็นเม็ดทรายสีน้ำตาลอ่อน ก่อนจะพังทลายลงมา เลือดเนื้อของบางคนกลายเป็นไม้ มีลายไม้ปรากฏขึ้นบนผิวหนัง ใบไม้สีเขียวงอกออกมาจากรูขุมขน

จางไคไท่และยอดฝีมือคนอื่นๆ ต่างก็หลับตาปี๋และก้มหน้าลง ไม่กล้าที่จะมองลำแสงของดาบนี้

ความหวาดกลัวปะทุขึ้นในจิตใจของพวกเขา

นี่เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการต่อสู้ระดับสุดยอดที่สุดในจิ่วโจว ซึ่งสามารถเปลี่ยนอาณาบริเวณนี้ให้กลายเป็นดินแดนรกร้างได้อย่างง่ายดายจริงๆ

แสงของดาบเจิดจ้าอยู่ที่เบื้องหน้าในพริบตาเดียว

เว่ยเยวียนยกเท้าขึ้น และกระโดดไปข้างหน้า พลางตะโกนเสียงดังสนั่นราวกับระฆังใหญ่ในวัง “ใครกล้าพยศต่อหน้าปราชญ์ขงจื๊อศักดิ์สิทธิ์!”

ร่างเสมือนจริงที่สูงตระหง่านเหวี่ยงเท้าออกไปข้างหน้าเบาๆ ในจังหวะเดียวกัน

ภายใต้ฝ่าเท้านี้ เกิดคลื่นยักษ์ขนาดมหึมาในมหาสมุทรอย่างกะทันหัน จิ้งซานทรุดตัวลงอย่างสมบูรณ์ ทั้งแผ่นดินถล่ม และคลื่นสึนามิ…

อานุภาพแห่งการเตะของปราชญ์ขงจื๊อศักดิ์สิทธิ์ ทำลายภูเขาและแม่น้ำจนราบเป็นหน้ากลอง เปลี่ยนแผ่นดินกลายเป็นห้วยหนองคลองบึง

แสงของดาบห้าสีดับลงในทันใด กลายเป็นพลังอันบริสุทธิ์ของธาตุทั้งห้า เปลี่ยนท้องฟ้าที่ว่างเปล่าให้มีสีสันงดงาม

หน้าอกของสุดยอดฝีมือทั้งสี่อย่างซ่าหลุนอากู่ จักรพรรดิเจินเต๋อ อีเอ๋อร์ปู้ และอูต๋าเป๋าถ่า ถูกลมบริสุทธิ์ที่เกือบจะพัดพาทั้งแผ่นดินกระแทกอย่างแรง ทันใดนั้น ร่างของพวกเขาก็ทรุดโทรมอย่างรวดเร็วราวกับใบไม้ในสายลม

สุดยอดผู้แข็งแกร่งทั้งสี่ยืนหยัดร่วมกัน ซ่อมแซมอาการบาดเจ็บ กลิ่นอายตกลงสู่เบื้องล่าง ความมุ่งมั่นพยายามมอดไหม้อย่างไม่มีวันฟื้นขึ้นมาได้

ดาบของทั้งสี่รวมพลังกันแล้วก็บรรลุความแข็งแกร่งเกินขั้น แต่กลับกลายเป็นขี้เถ้าลอยเมื่ออยู่ภายใต้ฝ่าเท้าของปราชญ์ขงจื๊อศักดิ์สิทธิ์

ปราณดาบของธาตุทั้งห้าแตกพ่าย เปลี่ยนกฎเกณฑ์องค์ประกอบของแผ่นดินนี้โดยตรง ต้นไม้ใหญ่เติบโตสูงตระหง่านอยู่ในทะเล ลำธารไหลเอื่อยออกมาจากหินผา เปลวไฟลุกไหม้อยู่ที่ผิวน้ำทะเล…

ไม่ใช่ว่าอานุภาพของดาบเล่มนี้ไม่เพียงพอ

แต่เป็นเพราะปราชญ์ขงจื๊อศักดิ์สิทธิ์แข็งแกร่งเกินไปต่างหาก

กลิ่นอายของจักรพรรดิเจินเต๋อไม่มั่นคง แสงสว่างที่พันรอบร่างกายกลายเป็นเปลวไฟสีดำ กำลังกลืนกินตัวเขาเอง

สิ่งที่เขาฝึกฝนคือวิถีของนิกายมนุษย์ แน่นอนว่าย่อมหนีไม่พ้นถูกไฟแห่งกรรมแผดเผาร่าง ในช่วงไม่กี่สิบปีที่ผ่านมา เขาอาศัยตัวตนและสถานะของจักรพรรดิคอยปราบปรามไฟกรรมอย่างเคร่งครัด

อากาศบริสุทธิ์ที่กระแทกเข้ามาเมื่อครู่ ทำให้กลิ่นอายเหล่านั้นอ่อนแอลง กระทั่งไฟกรรมพลันแว้งกัดอย่างทันทีทันใด

เขาหายใจเข้าลึกๆ เพื่อกลืนจิตวิญญาณทางสวรรค์และโลก ร่างของเทพเจ้าหยางอันเป็นที่รู้จักกันในลัทธิเต๋าซึ่งภัยพิบัตินับหมื่นก็ไม่อาจทำลายล้างได้ พลันเปล่งแสงสีทองแผ่ออกมา ดับไฟกรรมลงอย่างสมบูรณ์

สีหน้าของเว่ยเยวียนซีดลงเล็กน้อย เขาไม่สนใจยอดฝีมือทั้งสี่ที่พ่ายแพ้อีกต่อไป ก่อนจะหมุนตัวเดินมุ่งหน้าไปที่แท่นบูชาในหุบเขา

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง