ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง นิยาย บท 464

บทที่ 464 วีรบุรุษแห่งชาติ (2)

แท่นบูชาสูงกว่าสิบจั้ง สั้นกว่ายอดเขาเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

เว่ยเยวียนเงยหน้าขึ้น และกวาดสายตามองแท่นบูชาอันสูงตระหง่าน หินวางซ้อนทับกันเป็นชั้นๆ รวมทั้งสิ้นเก้าสิบเก้าชั้น ยอดสูงสุดคือเทพเจ้าที่ศรัทธาของสำนักพ่อมด ผู้สร้างระบบพ่อมด

หลังจากยุคของเทพเจ้า นี่คือหนึ่งในความแข็งแกร่งชั้นยอดที่มีไม่มาก

จะพูดว่า ‘อัศจรรย์ราวกับพระเจ้า’ ก็ไม่ถือว่ามากเกินไป

เว่ยเยวียนถอนสายตากลับ พลางยกเท้าก้าวสู่บันไดขั้นที่หนึ่ง

ทันใดนั้น ท้องฟ้าก็คิดจะฆ่าเขา ผืนดินก็คิดจะฆ่าเขา พื้นที่แห่งนี้กำลังขับไล่เขา และมุ่งเป้ามาที่เขา ให้อยู่ภายใต้แรงกดดันอันน่าสะพรึงกลัว

เว่ยเยวียนหยุดชะงักชั่วครู่ ก่อนจะก้าวขึ้นสู่บันไดขั้นที่สอง

ร่างเสมือนของปราชญ์ขงจื๊อศักดิ์สิทธิ์หรี่แสงสว่างลง เพื่อชดเชยแรงกดดันของท้องฟ้าและพื้นดิน

เว่ยเยวียนเงยหน้าขึ้น โค้งตัวคำนับร่างเสมือนของปราชญ์ขงจื๊อศักดิ์สิทธิ์ พลางกล่าวว่า “ไม่เป็นไร!”

เขาอัญเชิญปราชญ์ขงจื๊อศักดิ์สิทธิ์มา ไม่ใช่เพื่อฆ่าศัตรู แต่เพื่อปิดผนึกพ่อมด

ซ่าหลุนอากู่ยุยงให้เขาใช้พลังปราชญ์ขงจื๊อศักดิ์สิทธิ์ในการทำลายกำแพงกั้น เพื่อทำให้พลังของปราชญ์ขงจื๊อศักดิ์สิทธิ์อ่อนแอลงทีละขั้น รอจนกระทั่งขึ้นมาบนแท่นบูชา ปราชญ์ขงจื๊อศักดิ์สิทธิ์จะเหลือพลังเท่าใด?

เขา…เว่ยเยวียนไม่ใช่เครื่องมือ ไม่ใช่แค่เครื่องมือในการแบกรับวิญญาณวีรบุรุษของปราชญ์ขงจื๊อศักดิ์สิทธิ์

ตรงกันข้าม เขา…เว่ยเยวียนจะเป็นผู้ปิดผนึกพ่อมดในโลกใบนี้

ปราชญ์ขงจื๊อศักดิ์สิทธิ์ต่างหากที่เป็นเครื่องมือของเขา

ขั้นที่สอง ขั้นที่สาม ขั้นที่สี่…

หลังจากขั้นที่ยี่สิบ ทุกๆ ย่างก้าวของเว่ยเยวียนจะเกิดรอยร้าวในร่างกายของเขา ร่างอมตะของทหารขั้นสูงซ่อมแซมบาดแผลร้ายแรงซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนแทบจะรักษาสมดุลไว้ไม่ได้

หลังจากขั้นที่ห้าสิบ เว่ยเยวียนเป็นเหมือนเครื่องเคลือบที่ถูกปะติดปะต่อขึ้นมาใหม่ มีรอยแตกร้าวทั่วทั้งร่างกายของเขา รวมทั้งใบหน้าที่สง่างามและหล่อเหลา

ในที่สุดเขาก็หยุดฝีเท้าลง ไม่รู้ว่าหมดแรง หรือว่าถูกกดขี่จนไม่สามารถก้าวไปข้างหน้าได้อีกต่อไป

“ยังไม่ก้าวข้ามขั้น ในที่สุดก็เป็นแค่มนุษย์ธรรมดาคนหนึ่ง ต่างอะไรกับพวกตุ่นพวกมดงั้นรึ?”

เสียงถอนหายใจที่ไร้ตัวตนดังขึ้น ราวกับลอยมาจากยุคโบราณอย่างไรอย่างนั้น

สิ่งที่มาพร้อมกับเสียงนี้คือพลังอันพลุ่งพล่าน สวรรค์และโลกร่วมมือกันบีบคอเว่ยเยวียน

ที่เบื้องหน้าเว่ยเยวียนมีสองทางเลือก ทางแรกคือการใช้พลังของปราชญ์ขงจื๊อศักดิ์สิทธิ์ในการปีนขึ้นไปให้ถึงยอด แต่หลังจากที่ไปถึงยอดแล้ว วิญญาณวีรบุรุษที่ได้มาอย่างลำบากยากเข็ญนี้ ยังจะมีพลังเหลือในการปิดผนึกพ่อหมดหรือไม่ มีเพียงพระเจ้าเท่านั้นที่รู้

ทางที่สองคือการหันหลังกลับ และถอนทัพออกไปพร้อมกับกองทัพต้าฟ่ง

“เทพเซียนช่วย ยิ่งใหญ่เสียจริง…”

เว่ยเยวียนกล่าวพึมพำ ทลายกำแพงของความทรงจำถึงอดีตที่เปื้อนฝุ่น

สี่สิบปีที่แล้ว ตอนที่จักรพรรดิเจินเต๋อยังมีพระชนม์ชีพอยู่ มีสงครามอันน่าเศร้าเกิดขึ้นที่สามรัฐทางตะวันออกเฉียงเหนือ

เทพอูถ่ายทอดเจตจำนงจากสวรรค์ ทำลายต้าฟ่ง แย่งชิงโชคชะตา ตอนนั้นสามประเทศทางตะวันออกเฉียงเหนือระดมกำลังทหารกว่าสองแสนนายบุกโจมตีทั้งสามรัฐ ได้แก่ เซียงโจว จิงโจว และอวี้โจวนานถึงสามวัน ไม่เหลือคนชรา คนอ่อนแอ ผู้หญิง หรือเด็กแม้แต่คนเดียว ประชาชนของต้าฟ่งถูกเข่นฆ่าราวกับหญ้าที่ต่ำต้อยทีละคนๆ

รัศมีหนึ่งร้อยลี้ไร้ซึ่งสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่ ซากกระดูกถูกฝังอยู๋ในหุบเขา

ทั้งโหดเหี้ยมและรุนแรงเสียยิ่งกว่าเผ่าปีศาจหรือเผ่าอนารยชน

จนถึงทุกวันนี้ การต่อสู้ในครั้งนั้นยังคงเป็นเงาในใจของเขา ที่ได้ประสบกับภัยสงครามทางทหารในครั้งนั้น

และเป็นเพราะการต่อสู้ครั้งนั้นเช่นกัน สิบปีต่อมา ราชสำนักมีทหารกว่าหนึ่งแสนนายในสามรัฐ แต่ประชาชนกลับเต็มใจที่จะลี้ภัยมากกว่ากลับภูมิลำเนาเดิม เพราะเกรงกลัวสำนักพ่อมด

หลังจากนั้น ราชสำนักก็ได้สร้างสมุดปกเหลืองภาษีอากรขึ้นมาอีกครั้ง และพบว่าขุนเขาธาราหมื่นลี้ของเซียงโจว จิงโจว และอวี้โจว เก้าในสิบครัวเรือนมีสภาพยากไร้ ผู้คนที่เสียชีวิตในสงครามครั้งนั้นมีจำนวนนับล้านคน

เว่ยเยวียนมีภูมิลำเนาเดิมอยู่ที่อวี้โจว

ตระกูลเว่ย มีเด็กชายเพียงคนเดียวที่รอดชีวิต

เรื่องราวในอดีตวนเวียนเข้ามาในความคิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่ตอนนี้เขาไม่ใช่ชายหนุ่มในเสื้อคลุมสีเขียวเหมือนตอนนั้นอีกต่อไป เว่ยเยวียนหัวเราะอย่างบ้าคลั่งและกล่าวว่า “มองย้อนกลับไปเมื่อสี่สิบปีที่แล้ว ความเกลียดชังของประเทศที่ถูกรุกรานบ้านเกิดดำเนินมาจนถึงทุกวันนี้ ตอนนี้ ข้าอยากรู้ว่าเทพเจ้าจะทำอะไรมดอย่างข้าได้หรือไม่”

ร่างในชุดดำปีนขึ้นไปด้านบนอย่างคล่องแคล่ว ราวกับกรงขังสวรรค์และโลกเป็นแค่ของประดับตกแต่งเท่านั้น

เขาปีนขึ้นไปที่ยอดแท่นบูชาชั้นที่เก้าสิบเก้าภายในครั้งเดียว

ยืนอยู่เบื้องหน้ารูปปั้นเทพอูด้วยร่างมนุษย์ที่แตกหัก

เว่ยเยวียนยิ้มเยาะด้วยความดูถูก “ดูเหมือนว่าเทพเจ้าก็ทำได้เพียงเท่านี้”

ตั้งแต่ผ่านมาสี่พันแปดร้อยปี ในเผ่ามนุษย์ที่ราบตอนกลาง มีเพียงสองคนที่เคยปีนขึ้นมายังแท่นบูชาหลักของสำนักพ่อมด

ปราชญ์ขงจื๊อศักดิ์สิทธิ์เมื่อหนึ่งพันสองร้อยปีที่แล้ว

เว่ยเยวียนในหนึ่งพันสองร้อยปีต่อมา

เพียงแค่สองคนนี้เท่านั้น…

พ่อมดผู้ยิ่งใหญ่ซ่าหลุนอากู่ถอนหายใจ “เว่ยเยวียน การฟื้นคืนชีพของเทพอู เป็นสิ่งที่มนุษย์ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ ตอนนี้ที่ราบตอนกลางขาดแคลนบุคคลที่มีความสามารถ ลัทธิขงจื๊ออ่อนแอ ทำอะไรไม่ได้ โชคชะตารั่วไหลหายไป ท่านโหราจารย์ก็ไม่ได้อยู่ในจุดสูงสุดอีกต่อไป เจ้าจะทำตัวเป็นตั๊กแตนขวางทางเกวียนไปทำไมกัน?”

หลังจากกล่าวแล้ว เขาก็เลื่อนปลายนิ้วผ่านข้อมือเบาๆ ปล่อยให้เลือดหลั่งไหลออกมาเพื่อเป็นการสังเวย และกล่าวเสียงดังสนั่นไปทั่วบริเวณราวกับเสียงระฆัง “ถวายแด่เทพอู”

อีเอ๋อร์ปู้และอูต๋าเป๋าถ่าที่อยู่ข้างๆ ล้วนมีสีหน้าเคร่งขรึม พวกเขาต่างก็กรีดข้อมือตนเองและสังเวยเลือดเฉกเช่นเดียวกัน

เลือดไหลรินออกจากข้อมือของพ่อมดระดับสูงทั้งสามท่าน สายเลือดเป็นเหมือนเส้นด้าย ไร้ซึ่งหยดเลือด และกลายเป็นสีแดงสว่างอันรุ่งโรจน์ ลอยละล่องไปที่รูปปั้นเทพอู ซึ่งอยู่บนแท่นบูชาที่อยู่ห่างไกล

อวิชชาสังเวยเลือด!

อวิชชาสังเวยเลือดของสำนักพ่อมด

เมื่อได้ยินเสียงของพ่อมดผู้ยิ่งใหญ่ เหล่าพ่อมดที่เห็นฉากนี้ก็เข้าใจได้ทันทีว่าสำนักพ่อมดอยู่ในช่วงเวลาสำคัญของความเป็นความตายแล้ว

เหล่าพ่อมดหลายร้อยคนต่างก็ทยอยออกจากสนามรบ และกรีดข้อมือของตนเองโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย กรีดเลือดสังเวยก็เหมือนการบูชายัญตนเองแด่เทพอู

น่าหลันเหยี่ยนรู้สึกว่าอุณหภูมิร่างกายเริ่มเย็นลงเรื่อยๆ ปราณชีวิตที่มาพร้อมกับสายเลือดไหลออกราวกับสายน้ำ กลายเป็นแสงสีแดงฉานอันรุ่งโรจน์ ลอยไปที่หุบเขา และผสานเข้ากับรูปปั้นที่เหล่าพ่อมดเคารพบูชามานับพันปี

ทหารที่ราบตอนกลางแห่งต้าฟ่งของเจ้าต่อสู้ไม่กลัวตาย แล้วคิดว่าสำนักพ่อมดของข้ารักตัวกลัวตายงั้นรึ?

สำนักพ่อมดปกครองตะวันออกเฉียงเหนือมากว่าสี่พันปี เคยถูกคนโจมตีอย่างรุนแรงเช่นนี้ที่ไหนกัน?

แม้ว่าจะตัวตายเต๋าสลายในวันนี้ ก็ต้องทำให้เจ้าเว่ยเยวียน ทำให้ต้าฟ่งประสบกับความล้มเหลวในตอนท้ายให้จงได้

ในขณะที่กำลังจะสิ้นใจ น่าหลันเหยี่ยนก็หันไปมองชายในชุดดำอย่างทันทีทันใด พลางนึกถึงท่านพ่อที่พ่ายแพ้ในสงครามด่านซานไห่

คิดไม่ถึงว่าพ่อลูกทั้งสอง จะสิ้นชีพด้วยน้ำมือคนคนเดียวกัน

น่าหลันเหยี่ยนค่อยๆ หลับตาลงและจากไปอย่างเงียบๆ

พ่อมดล้มลงทีละคน กลายเป็นศพแห้ง พวกเขาสิ้นชีพอย่างไร้กลิ่นไร้เสียง แต่กลับไม่ได้แค้นเคืองหรือรู้สึกเสียใจแม้แต่น้อย

เจตจำนงของพวกเขาหลอมรวมอยู่ในรูปปั้นเทพอู นี่คือการต่อต้านครั้งสุดท้ายของสำนักพ่อมด นี่คือคำสาปที่เหล่าพ่อมดมอบให้กับเว่ยเยวียนและปราชญ์ขงจื๊อศักดิ์สิทธิ์…

‘แครก…’

รูปปั้นเทพอูที่อยู่บนแท่นบูชามีรอยแตกร้าวปรากฏขึ้น พร้อมกับเศษหินที่แตกละเอียดร่วงหล่นลงมา

หมอกสีดำพวยพุ่งออกมาจากหว่างคิ้วของรูปปั้น และแผ่ขยายไปทั่วทุกหนทุกแห่ง ปิดกั้นแสงอาทิตย์ ปิดกั้นท้องฟ้าสีคราม เปลี่ยนจากกลางวันเป็นกลางคืน

ไม่กี่วินาทีต่อมา หมอกสีดำนี้ก็ปกคลุมเมืองจิ้งซานทั้งเมืองในรัศมีหนึ่งร้อยลี้ กลิ้งไปกลิ้งมาซ้ำแล้วซ้ำเล่า ราวกับคลื่นที่โหมกระหน่ำใต้พายุ

คนทั่วไปโกรธแล้วฟันดาบเลือดกระเซ็นสามฟุต จักรพรรดิโกรธแล้วคร่าชีวิตผู้คนจำนวนมาก

แล้วถ้าเทพเจ้าโกรธจะเป็นอย่างไร?

การสู้รบของเหล่าทหารสิ้นสุดลงอีกครั้ง ผู้รอดชีวิตจำนวนไม่มากที่อยู่รอบๆ จิ้งซาน ต่างก็เงยหน้าขึ้นไปมองหมอกดำที่อยู่เหนือศีรษะของพวกเขาด้วยความสยองขวัญ

ทันใดนั้น หมอกดำก็ทรุดตัวลงอย่างกะทันหันราวกับท้องฟ้าทั้งผืนถล่มลงมา ก่อนจะรวมตัวกับท้องฟ้าเหนือแท่นบูชา กลายเป็นเงาดำที่มีความสูงกว่าหนึ่งร้อยจั้ง และใบหน้าพร่ามัว

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง