ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง นิยาย บท 465

บทที่ 465 ข่าวร้าย

เมฆขาวทอดยาว แสงแดดอันอบอุ่นส่องประกาย

ท้องทะเลที่ระยิบระยับฟื้นคืนความสงบแล้ว ท่อนไม้หักและเสากระโดงลอยไปตามคลื่นอย่างช้าๆ

ซ่าหลุนอากู่ยืนอยู่ระดับสูง จากข้างบนมองลงมายังแผ่นดินที่ใช้ชีวิตอยู่มาช้านาน มันถูกทำลายจนพังยับ ยอดเขาพังถล่ม บ้านเมืองพังราบเป็นหน้ากลอง

ภาพเช่นนี้ เขาเคยเห็นแค่ปีที่นักปราชญ์ขงจื๊อปึกผนึกเทพอูเท่านั้น

ในครั้งนั้น หลายพันลี้บริเวณโดยรอบกลายเป็นที่รกร้างว่างเปล่า หลังจากนั้นในอีกสามร้อยปี สิ่งมีชีวิตก็สูญพันธ์ุ พลังของระดับสูงสุดของทั้งสองท่านได้สลายไป เมืองจิ้งซานจึงได้สร้างขึ้นใหม่ จนมีรูปร่างเหมือนอย่างตอนนี้

ตอนนี้ มันลงรอยเดิม และประวัติศาสตร์ซ้ำรอยอีกครั้ง

แต่ครั้งนี้ ท้ายที่สุดแล้วคนที่ลงมือไม่ใช่นักปราชญ์ขงจื๊อเอง เทพอูก็ไม่ได้อยู่ในสภาพที่สมบูรณ์ คนที่รอดชีวิตมีไม่มาก แต่ก็ไม่น้อย กระจัดกระจายประปรายในที่ห่างไกล บ้างก็มองดู บ้างก็นั่งขัดสมาธิรักษาบาดแผล ไม่มีใครกล้ากลับไปพิสูจน์

กองทัพของต้าฟ่งถอนกำลังไปแล้ว

ซ่าหลุนอากู่มองไปยังแท่นบูชา ทันใดนั้นร่างของเขาก็หายไป ต่อมา ก็ปรากฏตัวบนแท่นบูชา และปรากฏตัวอยู่ด้านหน้าคนสวมชุดดำนั่น

จักรพรรดิเจินเต๋อ อีเอ๋อร์ปู้ กับอูต๋าเป๋าถ่า ร่อนตามกันลงมาอยู่ข้างกายพ่อมดผู้ยิ่งใหญ่

ในเวลานี้ คนที่ยืนอยู่ด้านหน้าพวกเขา คือร่างมนุษย์ที่แตกสลายแล้วร่างหนึ่ง ร่างกายของเขาเผยให้เห็นรอยแตกที่น่ากลัว ไม่มีส่วนใดสมบูรณ์

แขนขวาที่เขาเคยจับมีดแกะสลัก เลือดเนื้อถูกกำจัด เผยกระดูกที่แดงก่ำออกมา

ชุดสีดำขาดรุ่งริ่ง เสื้อเหมือนคน คนก็เหมือนเสื้อ

นับตั้งแต่นี้ไป ต้าฟ่งจะไม่มีเทพแห่งสงครามอีกแล้ว

หมวกนักปราชญ์กับมีดแกะสลักไม่นานก็ขยับจากไปเอง กลับมาอยู่ที่ราบกลาง

ซ่าหลุนอากู่กล่าวเสียงเบา “ที่ราบภาคกลางตั้งแต่พันปีมานี้ เว่ยเยวียนนับว่าเป็นอีกบุคคลหนึ่งที่สง่างาม”

“สมควรตายๆๆ…”

อีเอ๋อร์ปู้สีหน้าบูดเบี้ยว กล่าวด้วยความลนลาน

“เขามีสิทธิ์อะไรถึงสามารถเรียกนักปราชญ์ขงจื๊อมาได้ ทหารคนหนึ่งอย่างเขามีสิทธิ์อะไรถึงสามารถเรียกนักปราชญ์ขงจื๊อมาได้ เทพอูสั่งสมพลังเป็นพันปี มันไม่ง่ายเลยที่จะหลุดพ้นจากผนึก ทั้งหมดต่างถูกไอ้โจรนี้ทำลายไปในชั่วพริบตา

“ข้าต้องการนำทัพทำศึกนองเลือดกับต้าฟ่ง สังหารหมู่สามหมื่นลี้ และสังหารไปจนสุดทางถึงเมืองหลวง”

“ท่าทางของเจ้าในตอนนี้ ช่างเหมือนทหารที่ต่ำช้ายิ่งนัก” จักรพรรดิเจินเต๋อกล่าวอย่างเยาะหยัน

โหรทุกคนที่เข้าสู่มาร ต่างมีพรสวรรค์ในการยั่วยุ

จักรพรรดิเจินเต๋อมือไขว้หลัง ร่างอมตะสีทองส่องแสงเจิดจ้า แสงสีทองกับแสงสีดำผสมผสานกัน กล่าวอย่างเรียบเฉย

“เทพอูถูกผนึก เว่ยเยวียนก็สิ้นชีวิตแล้ว แม้สถานการณ์จะย่ำแย่ แต่สนามนี้พวกเราก็ยังไม่แพ้ จากนี้ไป ถึงเวลาที่พวกเจ้าต้องทำตามสัญญาแล้ว”

ซ่าหลุนอากู่กล่าวยิ้มๆ “เช่นนั้นขอแสดงความยินดีล่วงหน้าที่ฝ่าบาทมีอายุยืนยาว มองลงไปจากที่สูงเห็นที่ราบกลาง”

จักรพรรดิเจินเต๋อพยักหน้าช้าๆ

ซ่าหลุนอากู่กล่าวต่อ “อูต๋าเป๋าถ่า นำข่าวการเสียชีวิตของเว่ยเยวียนแพร่กระจายไปทั่วตงเป่ย ให้เหยียนกั๋วและคังกั๋วรับสมัครกำลังคน สร้างเมืองจิ้งซานขึ้นมาใหม่ และให้จิ้งกั๋วถอนกำลัง รวบรวมพ่อมดที่รอดชีวิต รักษาอาการบาดเจ็บของประชาชนที่รอดชีวิต และพลทหาร…”

เขาออกคำสั่งอย่างต่อเนื่องเพื่อจัดการกับปัญหาที่เหลืออย่างเหมาะสม

การสู้รบสนามนี้คงจะแพร่กระจายไปทั่วจิ่วโจว ต้าฟ่งเป็นเช่นไรเขาขี้เกียจจะสนใจ แต่เขตภายในสามก๊ก คงจะเปิดฉากการแลกเปลี่ยนความเห็นเหมือนคลื่นที่โหมกระหน่ำอย่างแน่นอน

ครั้งนี้น่าจะเป็นวันที่อัปยศที่สุดในประวัติศาสตร์ของสำนักพ่อมด

ที่รกร้างสักแห่งที่ห่างจากจิ้งซาน

“อ๊ากกก!!”

เสียงคำรามของหนานกงเชี่ยนโหรวแผ่กระจายไปทั่วขอบฟ้า เป็นน้ำเสียงที่โศกเศร้าและผิดหวัง ผสมกับความเกลียดชังที่ขมขื่น

“เทพอู เทพอู เทพอู…”

เขาคุกเข่าลงกับพื้น หมัดทั้งสองกระแทกพื้นอย่างแรง ระบายอารมณ์เป็นเวลาหนึ่งเค่อเต็มๆ

โหรชุดขาวเดินไปถึงด้านหน้าเขา ส่งถุงปักดิ้นให้ใบหนึ่ง หนานกงเชี่ยนโหรวที่น้ำตาไหลอาบแก้มเงยหน้าขึ้น และมองเขาด้วยความงงงวย

ศิษย์พี่รองซุนเสวียนจีกล่าว “เว่ย…”

กล่าวเพียงแค่คำเดียว หนานกงเชี่ยนโหรวก็รีบแย่งถุงปักดิ้นมาอย่างบ้าคลั่ง เปิดออก ในนั้นมีกระดาษอยู่ฉบับหนึ่ง

หนานกงเชี่ยนโหรวคลี่กระดาษออก อ่านจบ น้ำตาก็ทะลักออกมาอีกครั้ง หลังจากนั้นอยู่นาน เขาเก็บอารมณ์ทั้งหมดกลับลงไป มองไปทางจิ้งซาน พลางกล่าวพีมพำ

“พ่อบุญธรรม หมากรุกที่ท่านยังเล่นไม่จบ ข้าจะเป็นคนเล่นแทนท่านเอง”

ชีวิตหลังจากนี้ สักวันหนึ่ง ข้าจะกลับมาที่นี่อีกครั้ง ใช้กีบเหล็กเหยียบย้ำทุกตารางนิ้วของสำนักพ่อมด ใช้วงล้อปืนใหญ่วิ่งทับกระดูกสันหลังของสำนักพ่อมด ทำให้ภูเขาและแม่น้ำทั้งหกหมื่นลี้นี้ กลายเป็นแผ่นดินที่ไหม้เกรียม

ซุนซวนจียกมือขึ้น เช็ดเบาๆ ลบล้างการดำรงอยู่ของทหารม้าที่หนักอึ้งนี้ ไม่ให้ใครในใต้หล้าจดจำพวกเขาได้อีกต่อไป

สำนักอวิ๋นลู่

ด้านหลังป่าไผ่ ภายในอาคารไม้ไผ่

จ้าวโส่วนั่งอยู่ในห้องโถง ไม่เคลื่อนไหว ราวกับประติมากรรม

เขารักษาท่าทางนี้มานานกว่าหนึ่งเดือน จนโต๊ะข้างหน้าสะสมไปด้วยฝุ่นบางๆ

ทันใดนั้น จ้าวโส่วก็ขยับตัว และหันหน้ามองออกไปนอกหน้าต่าง

หน้าต่างที่เปิดอยู่ ท้องฟ้าสีครามราวกับถูกชะล้าง กลุ่มภูเขาเรียงราย แสงที่กระจ่างใสสองเส้นส่องผ่านทางยาวไกลดูเต็มเปี่ยมไปด้วยอันตราย ราวกับดาวตกที่พุ่งทะลุท้องฟ้า ตกลงมาใส่โต๊ะที่อยู่ด้านหน้าจ้าวโส่วอย่างแผ่วเบา

เจ้าสำนักศึกษาจ้าวโส่วเหมือนยกภูเขาออกจากอก ลุกขึ้นอย่างช้าๆ ปัดฝุ่นออกจากร่างกาย ก่อนจะแสดงการคารวะ

ไม่ทราบว่าเป็นการเคารพเครื่องรางสองชิ้นตรงหน้า หรือเป็นการเคารพชายชุดดำผู้นั้น

พระราชวัง

ผ้าม่านลู่ต่ำ จักรพรรดิหยวนจิ่งที่นั่งไขว่ห้างอยู่บนฟูก ลืมตาขึ้นอย่างช้าๆ

เขาเงียบไปครู่หนึ่ง เผยให้เห็นรอยยิ้มที่ดูกระตือรือร้น มีความสุข และร้ายกาจออกมา

จักรพรรดิหยวนจิ่งก้าวเท้าขึ้นไปบนห้องใต้หลังคา มองเห็นกำแพงสีแดงที่ซ้อนกันเป็นชั้นๆ และกระเบื้องสีทองที่ต่อกันอย่างไม่สม่ำเสมอ

“ยุคของข้า มาถึงแล้ว”

หอดูดาว แท่นแปดทิศ

ท่านโหราจารย์เหลือบมองพระราชวังอย่างยิ้มๆ พลางก้มหน้าดื่มสุรา

โลกมนุษย์มิคู่ควร

บ้านสกุลสวี่ สวี่ชีอันรู้สึกเจ็บปวดอย่างรุนแรงที่หัวใจ

“เกิดอะไรขึ้น อยู่ดีๆ เหตุใดจึงได้รู้สึกเจ็บที่หัวใจได้”

เขาขมวดคิ้วแน่น อยากเยาะเย้ยตัวเองเสียหน่อย อย่างเช่นอยู่ขั้นห้าระดับสูงสุดแล้วยังเป็นโรคกล้ามเนื้อหัวใจตายได้?

แต่ไม่ทราบเพราะเหตุใด ความรู้สึกตื่นตระหนกยังติดอยู่ในใจของเขาไม่ไปไหน

แดนเหนือ

ฐานทัพของต้าฟ่งและทหารพันธมิตรปีศาจ สวี่ซินเหนียนนั่งอยู่ที่โต๊ะ มองแผนที่อย่างครุ่นคิด

เขาผอมลงและแข็งแรงขึ้น แต่ยังคงหล่อเหลา ทว่าผิวไม่ได้ขาวสะอาดอีกต่อไป แสงแดดนอกแดนไกลเพิ่มความเข้มให้แก่สีผิว และพายุทรายของแดนเหนือก็ขัดผิวของเขา

เขายังคงเป็นปัญญาชนที่หยิ่งยโส กลับไม่เย่อหยิ่งอวดดีอีกต่อไป แต่ยิ่งสงบนิ่งและเก็บตัวมากขึ้น

สงครามทำให้เขาเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว แม่นางที่อยู่ในสำนักสังคีตทำให้เขากลายเป็นชายชาตรี กลับไม่สามารถให้ความเป็นผู้ใหญ่กับเขาได้

หากแต่เป็นสหายที่ล้มลงไปทีละคน การต่อสู้ที่อยู่ในขอบเขตของความเป็นความตายที่ไร้สิ้นสุดในแต่ละสนาม ศัตรูที่ถูกเขาสังหารกับมือไปทีละคน ถึงทำให้เขาเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมาได้อย่างแท้จริง

ฉู่หยวนเจิ่นรีบบุกเข้าไปในกระโจมอย่างเร่งรีบ พลางกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ฉือจิ้ว ข้าจะบอกข่าวที่น่าตื่นเต้นเรื่องหนึ่งให้เจ้าฟัง”

สวี่เอ้อร์หลางทำท่าครุ่นคิดเล็กน้อย กล่าว “ค่ายทหารไม่ได้ออกรบ ไม่ใช่การชนะการต่อสู้ แล้วเรื่องอะไรเล่า?”

ฉู่หยวนเจิ่นออกหมัด กล่าวอย่างตื่นเต้น “จิ้งกั๋วถอยทัพแล้ว”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง