บทที่ 467 ผู้นำ
หลังจากการประชุมเสร็จสิ้น เนื้อหาข่าวกรองด่วนก็แพร่สะพัดไปอย่างรวดเร็ว
ขุนนางประจำเมืองหลวงต่างกระจายข่าวนี้ออกไป ทุกคนต่างพูดด้วยเสียงแผ่วต่ำหลังบานประตูที่ปิดสนิท ไม่นานข่าวก็แพร่งพรายออกไปอย่างรวดเร็วท่ามกลางความหดหู่ใจ
ตำหนักจิ่งซิ่วอันเป็นที่ประทับของพระสนมเฉิน ภายในพระราชวังที่มีกำแพงสีแดงซ้อนกันหลายชั้น ก่อนหน้านี้ หลินอันผู้ทรงพระสิริโฉมสดใส ดวงพระเนตรงดงาม เพิ่งจะทรงทักทายพระมารดา และอยู่พูดคุยเป็นเพื่อนพระองค์ในตำหนักจิ่งซิ่ว
พระสนมเฉินทรงดื่มพระสุธารสบำรุงสุขภาพ มองดูพระธิดาที่ทรงพระสิริโฉม มีกิริยางดงาม แล้วทรงทอดถอนพระทัย
“เว่ยเยวียนนำทหารออกรบ แล้วยังมีความดีความชอบทางทหารมากมายจนทำให้ผู้คนเห็นแล้วต่างอยากได้ เว่ยเยวียนคนนี้เป็นภัยคุกคามที่ยิ่งใหญ่ที่สุดต่อตำแหน่งองค์รัชทายาทของเสด็จพี่ของเจ้า แต่ก็เป็นรากฐานที่มั่นคงที่สุดขององค์รัชทายาทเช่นกัน”
หลินอันทรงจิบพระสุธารส ทำให้ริมพระโอษฐ์ชุ่มชื่น ไม่ได้ทรงโต้ตอบ
ในฐานะองค์หญิง เห็นได้ชัดว่าพระองค์ไม่มีคุณสมบัติมากพอ แต่เนื่องจากได้ยินได้ฟังมามาก จึงพอมีความรู้บ้างเล็กน้อย สามารถเข้าใจความหมายในคำพูดของพระมารดาได้ไม่ยาก
เว่ยเยวียนนั้นสนับสนุนองค์ชายสี่ ประเด็นนี้ไม่ต้องสงสัย เพราะเว่ยเยวียนเป็นขันทีจากตำหนักเฟิ่งชี
แต่เว่ยเยวียนก็เป็น ‘รากฐาน’ ที่มั่นคงที่สุดขององค์รัชทายาท คุณงามความดีมากจนเป็นภัยคุกคามต่อบัลลังก์ของจักรพรรดิ ย่อมไม่อาจให้องค์ชายสี่เป็นองค์รัชทายาทได้
พระสนมเฉินถอนพระทัยตรัสว่า “หากเว่ยเยวียนตายในสนามรบได้ก็คงจะดี”
เมื่อได้ยินคำพูดประโยคนี้ หลินอันทรงขมวดพระขนง ไม่ใช่เพราะทรงไม่พอพระทัยที่พระมารดาทรงสาปแช่งเว่ยเยวียน พระองค์กับเว่ยเยวียนไม่ได้สนิทสนมอะไรกัน
พระองค์แค่รู้สึกว่า ในน้ำเสียงและสีพระพักตร์และความปรารถนานั้นมีความมั่นใจ ใช่แล้ว มันคือความมั่นใจ
ดูเหมือนกับทรงรู้อะไรบางอย่าง แต่ก่อนที่จะสรุปกลับมีความกลัวเล็กน้อย ไม่กล้ามั่นใจ
องค์หญิงรองผู้ทรงเป็นเหมือนสาวน้อยไร้เดียงสา ย่อมไม่มีระดับการสังเกตคำพูดและสีหน้าที่ลึกซึ้งนัก แต่ผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้าคือพระมารดาผู้ให้กำเนิดของพระองค์ เป็นหนึ่งในคนที่พระองค์ทรงรู้จักดีที่สุด
ขณะที่กำลังคุยเล่นกันอยู่น้้น แสงภายนอกประตูถูกบังแวบหนึ่ง องค์รัชทายาททรงก้าวข้ามธรณีประตู เสด็จเข้ามาด้วยท่าทีเร่งรีบ และทรงตะโกนว่า “พระมารดา พระมารดา…”
หลินอันทรงหันไปมอง เห็นพระเชษฐาร่วมพระอุทรเข้ามาในห้อง สีพระพักตร์ซับซ้อนยิ่ง มีทั้งความตื่นเต้นและความเสียดาย ทั้งดีใจและเสียใจเป็นอย่างยิ่งระคนกัน
พระสนมเฉินทรงแย้มพระสรวล แล้วตรัสว่า “องค์รัชทายาทนั่งลงก่อน”
ทรงเรียกเรียกนางกำนัลมาชงพระสุธารสให้องค์รัชทายาท
องค์รัชทายาทโบกพระหัตถ์ แสดงความหมายว่าไม่ต้อง แล้วทรงไล่นางกำนัลออกไป จากนั้นจึงทรงประทับลงตรงข้างพระแท่นบรรทมนุ่มที่ปูผ้าไหมสีเหลือง ทรงชะงักครู่หนึ่ง จึงทรงตรัสอย่างเนิบๆ ว่า
“พระมารดา เว่ยเยวียน… เสียชีวิตในสนามรบภาคตะวันออกเฉียงเหนือ”
สีพระพักตร์หน้าของสองแม่ลูกนิ่งไปพร้อมกัน หลังจากนั้นไม่นาน ก็เผยให้เห็นสีพระพักตร์ที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
พระพักตร์ของหลินอันซีดเผือด ในความตกใจนั้นแฝงความงุนงงและความกังวลอยู่ด้วย
พระสนมเฉินทรงดีพระทัยมาก ความปีติยินดีนี้ล้นเหลือจริงๆ จนพระวรกายสั่นเทา พระสุรเสียงก็สั่นเทาเช่นกัน “จริงหรือ!”
องค์รัชทายาททรงพยักพระพักตร์ และทรงให้คำตอบยืนยัน “เอกสารด่วนมาถึงเมื่อคืนนี้ เช้าวันนี้เสด็จพ่อทรงเรียกประชุมเพื่อหารือเรื่องนี้อย่างกะทันหัน ข่าวการเสียชีวิตในสนามรบของเว่ยเยวียน แพร่สะพัดไปทั่วเมืองหลวงอย่างรวดเร็ว ทหารหนึ่งแสนนายถอนกำลังกลับมาเพียงหนึ่งหมื่นหกพันกว่านาย ในการต่อสู้ครั้งนี้ ต้าฟ่งของเราสูญเสียอย่างหนัก”
พระพักตร์ของพระสนมเฉินแดงก่ำ แสดงให้เห็นว่าทรงมีความสุขยิ่งนัก แม้พระโอรสและพระธิดาจะเจริญพระชันษากันหมดแล้ว แต่พระองค์ยังทรงมีกิริยางดงามไม่เหมือนใคร ดูไม่สูงวัยแม้แต่น้อย
“ขอเพียงแค่ได้ครองบัลลังก์ การเสียสละที่จำเป็นจะเป็นอะไรไป” พระสนมเฉินทรงตรัสเสียงดัง
ราวกับกำลังสั่งสอนองค์รัชทายาท และราวกับกำลังทรงปลอบพระทัยตัวเอง
องค์รัชทายาทพยักพระพักตร์ พร้อมกับทรงถอนพระหทัย “เว่ยเยวียนเสียชีวิตอย่างน่าเสียดาย คนคนนี้มีความคิดที่กว้างไกล ข้ายังเคยคิดหวังว่าภายภาคหน้าหลังจากที่ขึ้นครองราชย์แล้ว เขาจะยอมรับความเป็นจริง และอยู่รับใช้ข้า”
ในที่นี้มีเพียงสามคนที่มีความเกี่ยวพันกันทางสายเลือด องค์รัชทายาทจึงตรัสโดยไม่ต้องทรงหลีกเลี่ยง
“องค์รัชทายาท ข้อเสียของเจ้าที่แย่ที่สุดก็คือชอบเพ้อฝัน และชอบรอคอยเรื่องสิ่งที่เป็นไปไม่ได้”
พระสนมเฉินทรงสั่งสอง พระพักตร์งามมีรอยแย้มพระสรวล ตรัสว่า “อยู่เสวยพระกระยาหารกลางวันที่ตำหนักจิ่งซิ่ว ดื่มเป็นเพื่อนแม่สักหน่อย เว่ยเยวียนตายไป โรคหัวใจของแม่ก็หายเป็นปลิดทิ้ง รู้สึกสบายไปทั้งตัว”
องค์รัชทายาทก็ทรงแย้มพระสรวลเช่นกัน “ตกลงพ่ะย่ะค่ะ วันนี้ลูกจะดื่มเป็นเพื่อนพระมารดาให้สาแก่ใจทีเดียว”
หลินอันมองดูพวกเขาอย่างเงียบๆ เมื่อมองไปที่คนมีความเกี่ยวพันทางสายเลือดกับตัวเองสองคนแล้ว พระองค์ทรงรู้สึกเสียพระทัยอย่างยิ่ง
ความเสียพระทัยนี้เกิดจากความรู้สึกโดดเดี่ยว สิ่งที่พวกเขาพูด สิ่งที่พวกเขาทำ สิ่งที่พวกเขามีความสุข สิ่งที่พวกเขาโกรธ…เป็นเรื่องยากที่พระองค์จะทรงเห็นด้วยและเข้าใจเหมือนเช่นแต่ก่อน
ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไร ที่ตัวเองนับวันยิ่งห่างไกลพวกเขาออกไปทุกที
…
หลังจากการประชุมช่วงเช้าเสร็จสิ้นไปไม่นาน ก็มีกระดาษข้อความที่ส่งผ่านช่องทางลับมาทีละขั้น จนในที่สุดก็มาตกอยู่ในมือของหัวหน้าทหารรักษาพระองค์ของสวนเต๋อซิน
เขาเปิดมันออกดู สีหน้าก็เปลี่ยนไปทันที ตรงไปยังห้องบรรทมของฮว๋ายชิ่งอย่างรวดเร็ว
เวลานี้ฮว๋ายชิ่งทรงตื่นบรรทมแล้ว และกำลังประทับเสวยพระกระยาหารที่ห้องด้านนอก ทรงทอดพระเนตรหัวหน้าทหารรักษาพระองค์ที่เดินมาอย่างรีบร้อน แล้วหยุดอยู่หน้าประตู จึงทรงขมวดพระขนง แล้วตรัสถามว่า “เกิดอะไรขึ้น”
ทหารรักษาพระองค์ไม่ได้พูดอะไร ก้าวข้ามธรณีประตู แล้วถวายกระดาษข้อความตัวสั่นงันงก
ฮว๋ายชิ่งทรงขมวดพระขนง ทรงฉงนเล็กน้อย จากนั้นก็ทรงรับกระดาษข้อความมาทอดพระเนตร
เห็นเพียงพระพักตร์งามค่อยๆ ซีดลง และแม้แต่ริมพระโอษฐ์ก็ซีดไปหมด
ทรงทำเช่นนี้อยู่เป็นเวลานาน แล้วจึงทรงสะดุ้งอย่างแรง ราวกับทรงนึกอะไรขึ้นมาได้ ทรงตรัสอย่างไม่มีเสียง “เสด็จแม่!”
ฮว๋ายชิ่งทรงลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว วิ่งออกจากห้องบรรทม มาถึงห้องทรงพระอักษร และดึงจดหมายฉบับหนึ่งออกมาจากหนังสือประวัติศาสตร์
พระองค์ทรงใส่จดหมายไว้ในแขนเสื้อ ยกชายฉลองพระองค์กระโปรงขึ้น แล้วทรงวิ่งออกจากห้องทรงพระอักษรอีกครั้ง
เชื่อว่าเป็นจดหมายที่เว่ยเยวียนถวายให้พระองค์ก่อนไปออกรบ ในตอนนั้นเขายังได้ฝากฝังว่า
‘จดหมายฉบับนี้ ทรงถวายให้กับเสด็จแม่ของพระองค์ในเวลาที่เหมาะสมด้วยพ่ะย่ะค่ะ’
อะไรคือเวลาที่เหมาะสมในตอนนั้น ฮว๋ายชิ่งไม่เข้าใจ แต่ตอนนี้พระองค์ทรงเข้าใจแล้ว
พระองค์ทรงวิ่งไปจนถึงตำหนักเฟิ่งชีอย่างรวดเร็ว นางกำนัลสองคนวิ่งตามหลังมา หอบแฮกๆ มือเท้าเอว ใบหน้าซีด ท่าทางเหมือนจะขาดใจตาย
ในตำหนักเฟิ่งชี ฮองเฮาทรงประทับที่โต๊ะกำลังผสมเครื่องหอม พระองค์ทรงฉลองพระองค์หรูหรา พระเศียรสวมมงกุฎหงส์ งดงามจับตา สุภาพอ่อนโยน
สตรีผู้มีความงามเป็นเอกประทับอยู่ในวังหลัง ดูเหมือนแม้แต่กาลเวลาก็ไม่อาจทำลายพระสิริโฉมของพระองค์
‘ทั่วทั้งเมืองหลวง นอกจากฮองเฮาในสมัยเป็นสาวสวยน้อยกว่าข้าเล็กน้อยแล้ว ผู้หญิงคนอื่นล้วนสวยน้อยกว่าข้าสิบเท่าร้อยเท่า’…จากบันทึกของมู่หนานจือ
นี่เป็นการประเมินค่าที่สูงมาก
เพราะในสายตาของพระมเหสี ผู้หญิงในใต้หล้านี้มีเพียงสองประเภท ประเภทหนึ่งคือมู่หนานจือ อีกประเภทหนึ่งคือผู้หญิงในใต้หล้า
สามารถทำให้คนที่หลงตัวเองเช่นนี้ยอมรับความงาม ก็พอที่จะคาดการณ์ได้
“คิดอย่างไรถึงมาหาแม่”
ฮองเฮาทรงเห็นพระธิดาเสด็จมา จึงทรงแย้มพระสรวล
รอยยิ้มของพระองค์อ่อนโยน สง่างาม ไม่ได้ทรงแสดงความกระตือรือร้นจนเกินงามเมื่อพระธิดาเสด็จมาหา
ฮองเฮายังคงเป็นฮองเฮาพระองค์เดิม ทรงอ่อนโยนและสง่างามเช่นนี้เสมอมา
ในสายตาของคนนอก ฮองเฮานั้นทรงเข้าถึงได้ง่าย อุปนิสัยอ่อนโยน เป็นสตรีที่เป็นพระมารดาของแผ่นดินอย่างแท้จริง
ตัวอย่างเช่นสวี่ชีอันซึ่งเคยพูดเกินจริงถึงอุปนิสัยที่อ่อนโยนและไม่มีมาดของฮองเฮา และเหมือนคนเช่นเขามากกว่า
แต่ในสายตาของฮว๋ายชิ่ง นี่นับเป็นการยิ้มเยาะอย่างแท้จริง
ในความทรงจำของฮว๋ายชิ่ง เสด็จแม่ทรงสง่างามและเย็นชา อ่อนโยนและทรงระวังตัว ระวังตัวเสียจนแม้แต่พระธิดาอย่างพระองค์ยังเข้าถึงยาก
“เว่ยกง เสียชีวิตในการต่อสู้ที่แท่นบูชาหลักของสำนักพ่อมดแล้วเพคะ”
ฮว๋ายชิ่งทรงตรัสอย่างรวบรัด
จากนั้น พระองค์ก็ได้เห็นสตรีที่สง่างามผู้ดูเหมือนเป็นฮองเฮาที่ไร้ซึ่งจุดอ่อนเสียกิริยาเป็นครั้งแรก
“เจ้าโกหก!”
พระองค์ทรงกรีดร้องขึ้นมาทันที ดวงพระเนตรคู่งามเบิกกว้าง แววพระเนตรที่ทอดพระเนตรฮว๋ายชิ่งไม่เหมือนทอดพระเนตรพระธิดา แต่เป็นศัตรู
ฮว๋ายชิ่งทรงจ้องพระพักตร์เสด็จแม่ ดวงพระเนตรคู่งามมีแววรันทด
สิ่งที่สวี่ชีอันสามารถคาดเดาได้ พระองค์ก็ทรงคาดเดาได้เช่นกัน คดีของพระสนมฝูได้อธิบายอะไรไว้มากมาย
พระองค์ทรงวางซองจดหมายลงบนโต๊ะ แล้วทรงตรัสเบาๆ ว่า “ก่อนที่เว่ยกงจะออกรบ ได้ฝากฝังให้หม่อมฉันถวายต่อให้เสด็จแม่”
ตรัสแล้ว พระองค์ก็ทรงหันหลังเสด็จพระดำเนินออกไป
เมื่อทรงก้าวข้ามธรณีประตู ออกจากห้องแล้ว พระองค์ไม่ได้เสด็จกลับทันที แต่ได้ทรงรออยู่ที่ลานพระตำหนักครู่หนึ่ง จนกระทั่งมีเสียงกันแสงราวพระหทัยแตกสลายของฮองเฮาดังมาจากข้างใน
ทรงกันแสงคร่ำครวญ เสียพระทัยเป็นอย่างยิ่ง
ฮว๋ายชิ่งเงยพระพักตร์ขึ้น ในวันฤดูใบไม้ร่วงที่เดียวดาย ท่ามกลางหมู่เมฆสีขาว ดูเหมือนจะเห็นชายผู้อ่อนโยนและสง่างามอีกครั้ง
เว่ยกง เจ้ากับพระองค์มีอดีตแบบไหนกันแน่…
…
ครอบครัวสกุลสวี่อพยพมาที่สำนักอวิ๋นลู่อีกครั้ง เพื่อหลบภัยทั้งครอบครัว
สวี่หลิงอินถูกอาสะใภ้ทั้งลากทั้งจูงให้ปีนขึ้นเขาอย่างไม่เต็มใจ คิ้วบางๆ ทั้งสองข้างขมวดแน่น ถามเสียงดัง “ท่านแม่ ส่งข้ามาเรียนหนังสือที่นี่อีกแล้วหรือ”
อาสะใภ้พูดอย่างโกรธเคืองว่า “ไม่ใช่ แม่ปลงกับเจ้าแล้ว”
สวี่หลิงอินกระโดดโลดเต้นอย่างแรง พร้อมกับยิ้ม “ท่านแม่ดีกับข้าที่สุดเลย”
‘ทำไมข้าจึงมีลูกสาวที่ไม่เอาไหนอย่างเจ้ากันนะ…’ อาสะใภ้เกือบเกือบจะร้องไห้ด้วยความโมโหนาง
เมื่อมาถึงสำนัก พวกเขาก็ไปที่บ้านหลังเล็กที่เคยอยู่เมื่อสองครั้งก่อนด้วยความคุ้นเคย
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง