ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง นิยาย บท 468

บทที่ 468 ล้อมโจมตี (1)

เมื่อความอาฆาตแค้นค่อยๆ บรรเทาลง สวี่ชีอันก็พิจารณาการต่อสู้ในสงครามอีกครั้ง จู่ๆ เขาก็รู้สึกเย็นที่สันหลังวาบ และรู้สึกราวกับหัวใจถูกแช่แข็ง

ด้วยความสามารถในการใช้เหตุผลเชิงตรรกะของเขา หลังจากฟังคำอธิบายโดยละเอียดของจางไคไท่ การต่อสู้ในสนามรบก็ฉายซ้ำในสมองของเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่า

หัวใจหลักของสงครามครั้งนี้คือเทพอู

เพราะมีเทพอูเป็นจุดประสงค์หลัก เกมและสงครามครั้งนี้จึงก่อตัวขึ้น

การช่วยเหลือเผ่าปีศาจและเผ่าอนารยชนเป็นเพียงแค่เหตุผลเพียงผิวเผินเท่านั้น สิ่งที่เว่ยเยวียนต้องการทำจริงๆ คือจัดการกับเทพอู (ไม่ทราบเหตุผล) ในขณะที่จักรพรรดิองค์ก่อนและสำนักพ่อมดต้องการปกป้องเทพอู

เค้าโครงตามที่สำนักพ่อมดปฏิบัติคือ จักรพรรดิองค์ก่อนคอยถ่วงความก้าวหน้าอยู่เบื้องหลัง หลังจากรอจนกองทัพทหารเข้าสู่เขตของข้าศึก พวกเขาก็ตัดเส้นทางส่งเสบียงอาหารและทหารกำลังเสริม ทำให้กองทัพของเว่ยเยวียนลดน้อยลง ผลักดันทหารของต้าฟ่งไปสู่ก้นบึ้งแห่งหายนะชั่วนิรันดร์

หลังจากนั้น ปรมาจารย์แห่งจิตวิญญาณขั้นสามทั้งสองท่าน คนหนึ่งคือพ่อมดขั้นหนึ่งผู้ยิ่งใหญ่ คนหนึ่งคือผู้หนีเคราะห์กรรมขั้นสอง จะทำการปิดฉากสุดท้าย ขอเพียงแค่กองกำลังทหารของเว่ยเยวียนอ่อนแอลงระดับหนึ่ง พวกเขาก็จะลงมืออย่างแน่นอน

และวิธีรับมือของเว่ยเยวียนคือ การสังหารหมู่ไปตลอดทั้งทาง หรือที่เรียกว่า สนับสนุนสงครามด้วยสงคราม เขาดั้นด้นลึกเข้าไปในเมืองเหยียนกั๋ว ภายใต้สถานการณ์ที่ไม่มีเส้นทางการส่งเสบียงอาหาร กำลังเสริม และอาวุธ ก่อนจะเข้าใกล้เมืองหลวงเหยียนในที่สุด

จากนั้น เขาก็ใช้กลยุทธ์สร้างความสับสนให้ศัตรูที่อยู่ตรงหน้า โดยการลุยน้ำบุกโจมตีศัตรูจากด้านหลัง

เมื่อมองจากตรงนี้ เว่ยเยวียนคงคาดการณ์ไว้แล้วว่าราชสำนักจะถ่วงแข้งถ่วงขาเขาอย่างแน่นอน ดังนั้น เขาจึงเตรียมตัวรับมือไว้ตั้งแต่แรก โดยการไม่เหลือทางหนีทีไล่เอาไว้ ไม่ร้องขอกำลังเสริม และปล้นสะดมในพื้นที่เพื่อนำมาสนับสนุนสงครามแทน จนกระทั่งไปถึงกองบัญชาการสูงสุดของสำนักพ่อมด

ในการต่อสู้ครั้งสุดท้าย เว่ยเยวียนเผชิญหน้ากับยอดฝีมือข้ามขั้นถึงสี่คน หากเขาเป็นเพียงทหารขั้นสอง คงไม่มีทางเอาชนะทั้งสี่คนได้อย่างแน่นอน แล้วนับประสาอะไรกับการเอาชนะเทพอู

เว่ยเยวียนยังคำนึงถึงจุดนี้ด้วย ซึ่งสิ่งที่เขาสามารถพึ่งพาได้ และสามารถสนับสนุนเขาได้คือ ปราชญ์ขงจื๊อศักดิ์สิทธิ์

ทุกคนต่างก็คิดว่าสงครามครั้งนี้เป็นการช่วยเหลือเผ่าปีศาจและเผ่าอนารยชน เป็นการรักษาสมดุล ใครจะไปคิดว่ามีจุดประสงค์อันลึกซึ้งอยู่เบื้องหลัง…สำนักพ่อมดซ้อนกล โดยการใช้กลยุทธ์ดาบนั้นคืนสนอง เว่ยกงก็ซ้อนกลเช่นกัน เขาอัญเชิญปราชญ์ขงจื๊อศักดิ์สิทธิ์ กวาดล้างแท่นบูชาหลักของสำนักพ่อมดจนหมดสิ้น เกมและการคิดคำนวณในเรื่องนี้ ทำให้เขารู้สึกหวาดกลัวได้จริงๆ… สวี่ชีอันกล่าวพึมพำกับตัวเองในใจ

เขายังมีข้อสงสัยอีกสองสามข้อที่ยังไม่กระจ่าง อย่างเช่น ในเมื่อเว่ยกงเป็นทหารผสานเต๋า เป็นผู้แข็งแกร่งที่น่าสะพรึงกลัวระดับไร้มนุษยธรรม เหตุใดเขาถึงปกปิดพรสวรรค์ของตนเองมานานหลายปีเช่นนี้ และยังประกาศกับโลกภายนอกว่าตนเองไม่มีการฝึกฝนใดๆ เป็นเพียงแค่คนธรรมคนหนึ่ง?

และอย่างเช่น เหตุใดจักรพรรดิองค์ก่อนต้องร่วมมือกับสำนักพ่อมดเพื่อฆ่าเว่ยเยวียน ถึงแม้จะบอกว่าเขาเป็นข้าราชบริพารขั้นสองที่ทำให้ผู้คนหวาดกลัวจนขนหัวลุกได้จริงๆ แต่การเจรจากับเสือเพื่อขอหนังเสือ จะมีจุดจบที่ดีได้อย่างไร?

ด้วยความสัมพันธ์ระหว่างเว่ยเยวียนและฮองเฮา ตราบใดที่จักรพรรดิองค์ก่อนกุมความลับนี้อยู่ในมือ เขาย่อมมีข้อต่อรองไม่ใช่รึ นอกจากนี้ ข้างบนยังมีท่านโหราจารย์มองลงมาอยู่ หากต้องการบำรุงรักษาเสถียรภาพของสถานการณ์โดยรวมก็ไม่ใช่เรื่องยาก

ในทางตรงกันข้าม การริเริ่มส่งเหล่าทหารและนายพลของประเทศไปยังปากของศัตรู ผลที่ตามมาภายหลังจะรุนแรงและยิ่งใหญ่กว่ามาก

สวี่ชีอันนึกถึงประโยคที่ได้ยินบ่อยจนคุ้นเคย ‘เหตุใดฝ่าบาทถึงก่อกบฏ?’

นี่คือข้อแคลงใจของเขาในเวลานี้

สุดท้ายแต่ไม่ท้ายสุด เว่ยเยวียนมีสติน้อมรับในการสละชีพอย่างไม่ลังเล เพื่อโจมตีแท่นบูชาหลักของสำนักพ่อมด เป็นเพราะเหตุใดกันแน่?

สุดท้ายข้าก็ไม่มีความสามารถในการเก็บร่างอันไร้วิญญาณให้เขา…สวี่ชีอันรู้สึกเจ็บปวดมาก

ในขณะที่ความคิดกำลังผันผวนวุ่นวาย เขาก็สูดหายใจเข้าลึกๆ พลางกล่าวว่า “เว่ยกง ปกปิดความสามารถของตนเองใช่หรือไม่?”

จางไคไท่ตอบรับว่า “อืม” พลางมองไปที่ทางเข้ากระโจมทหารด้วยสายตาเลื่อนลอย และกล่าวช้าๆ ว่า “หลังจากสงครามด่านซานไห่ เว่ยกงเคยสนทนาลับกับฝ่าบาทครั้งหนึ่ง หลังจากนั้นก็ละทิ้งการฝึกฝนของตนเอง ตอนนั้นพวกเราไม่มีทางเข้าใจ ตอนนี้ก็ไม่มีทางเข้าใจ คิดไม่ถึงว่าเว่ยกงจะแอบฝึกฝนศิลปะการต่อสู้ใหม่นานแล้ว แม้ว่าเขาจะสิ้นชีพในสงครามแล้ว แต่ข้าก็ยังคงศรัทธาเขามาก หม้อดินตักน้ำแตกง่ายฉันใด ทหารที่เข้าสู่สนามรบย่อมสิ้นชีพอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ หากตายในสนามรบในฐานะผู้แข็งแกร่งที่มีพรสวรรค์อันหาที่เปรียบมิได้ ข้าจะไม่รู้สึกเสียใจกับเว่ยกงเลย”

สวี่ชีอันถามอีกครั้ง “นอกจากหยางเยี่ยนและเจียงลวี่จง เจ้าคือฆ้องทองคำเพียงคนเดียวที่มีชีวิตรอด ต่อจากนี้เจ้ามีแผนอะไร?”

“ข้าเป็นหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล ทั้งชีวิตก็ย่อมเป็นหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล” จางไคไท่หันไปมองเขาที่อยู่ด้านข้าง “เจ้าล่ะ?”

คำตอบของเขาคือความเงียบ

เวลานี้เอง รองแม่ทัพท่านหนึ่งก็วิ่งเข้ามาด้วยความตื่นตระหนก สีหน้าเต็มไปด้วยความกังวล และกล่าวตะโกนว่า “ท่านผู้บัญชาการ หน่วยสอดแนมรายงานว่า เหยียนกั๋วและคังกั๋วรวบรวมทหารม้าแปดหมื่นนาย มุ่งหน้ามาที่ด่านอวี้หยางแล้ว อีกในไม่ถึงครึ่งชั่วยาม พวกเขาจะเข้าใกล้เมืองแล้วขอรับ”

สีหน้าของจางไคไท่เปลี่ยนไปทันที “ผู้นำทัพคือใคร?”

รองแม่ทัพกล่าวอย่างเคร่งขรึม “ผู้ปกครองเหยียนกั๋ว หนู่เอ่อร์เฮ่อเจีย”

จางไคไท่ตกตะลึงจนตัวแข็งทื่อ และจมดิ่งสู่ความเงียบ ก่อนจะสั่งกำชับว่า “เรียกประชุมนายทหารระดับผู้บัญชาการขึ้นไปมาหารือเกี่ยวกับเรื่องนี้ ให้ทหารทั้งหมดขึ้นไปบนกำแพงเมือง และให้ทหารกองหนุนไปขนอาวุธและอุปกรณ์ป้องกันที่ยุ้งเก็บเสบียง…”

เขาออกคำสั่งทีละขั้นตอนอย่างเชี่ยวชาญและไม่รีบไม่ร้อน แต่ท่าทางที่เคร่งขรึมแสดงให้เห็นว่าฆ้องทองคำท่านนี้รู้สึกหนักใจอย่างมาก

ไม่กี่นาทีต่อมา ผู้บัญชาการทหารที่สวมชุดเกราะและมีดาบเหน็บอยู่ที่เอวจำนวนมากกว่าสิบนายก็เดินเข้ามาในเต็นท์ทหาร ก่อนจะยกกำปั้นขึ้นมาคารวะสวี่ชีอันและจางไคไท่ และเข้าประจำที่นั่ง

พวกเขาน่าจะรู้ข่าวที่กองกำลังเหยียนกั๋วและคังกั๋วกำลังเข้ามาใกล้เมืองแล้ว สีหน้าของเหล่าผู้บัญชาการทหารแต่ละคนเต็มไปด้วยความหนักใจ จึงไม่ได้ทักทายสวี่ชีอันด้วยความรื่นรมย์นัก

จางไคไท่กวาดสายตามองทุกคน และกล่าวด้วยน้ำเสียงเอาจริงเอาจังอย่างมาก “เหยียนกั๋วและคังกั๋วตอบโต้แล้ว ดังนั้น ดูเหมือนว่าสำนักพ่อมดจะยังไม่ปล่อยมือจากต้าฟ่งของพวกเรา”

พวกเขาที่นี่ล้วนเป็นนายทหารชั้นสูงที่มากไปด้วยประสบการณ์และไหวพริบในสงคราม หลังจากถอนตัวออกมาจากด่านอวี้หยาง ก็ได้ทำการวิเคราะห์สถานการณ์โดยรวมแล้ว

สำนักพ่อมดประสบกับความสูญเสียอย่างใหญ่หลวงในสงครามครั้งนี้ เมืองทั้งเจ็ดเมืองถูกทำลายติดต่อกัน มีหลายสิ่งหลายอย่างที่จำเป็นต้องจัดการแก้ปัญหา ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ แนวทางปฏิบัติที่ถูกต้องคือ ด้านหนึ่ง จัดวางกองทัพทหารไปซ่อมแซมคูเมืองที่แตกร้าวเหล่านั้น ส่วนอีกด้านหนึ่ง ส่งหน่วยสอดแนมไปจับตามองที่ชายแดน

เป็นไปไม่ได้ที่จะเริ่มสงครามครั้งใหม่ในระยะเวลาอันสั้น ตรงกันข้าม นี่หมายความว่าสำนักพ่อมดจะไม่ยอมรามือกับต้าฟ่งจนกว่าจะสูญสิ้น

“กำลังทหารของพวกเรามีไม่พอ…”

“เสบียงอาหารก็ไม่เพียงพอ เฉินอิงฆ่าขุนนางสุนัขของกรมการคลังเหล่านั้น ถึงได้รู้ว่าแท้จริงแล้วไม่ได้มีการส่งเสบียงออกไปเลย ขุนนางสุนัขของกรมการคลังเหล่านั้นจงใจปกปิดพวกเรา”

“สมคบคิดกับศัตรูทรยศประเทศ ก็สมควรถูกตัดหัวทั้งตระกูล ประหารเก้าชั่วโคตร เหล่าพี่น้องพยายามอย่างสุดชีวิตอยู่เบื้องหน้า ขุนนางสุนัขเหล่านี้กลับแทงข้างหลังเรา ไอ้สารเลว”

จางไคไท่เคาะโต๊ะ และดึงทุกคนกลับเข้าหัวข้อโดยการกล่าวว่า “สิ่งที่เราต้องทำตอนนี้คือปกป้องด่านอวี้หยาง หลังจากนั้นก็ส่งรายงานไปยังราชสำนัก ให้ราชสำนักส่งกองกำลังเสริมมาให้เร็วที่สุด แต่ปัญหาคือเสบียงอาหาร เสบียงในยุ้งข้าวไม่สามารถรองรับการมาถึงของกำลังเสริมได้”

ผู้บัญชาการทหารท่านหนึ่งกล่าวไตร่ตรองว่า “อวี้โจวเป็นดินแดนแห่งธัญพืชมาแต่โบราณกาล ประชาชนในพื้นที่นี้ย่อมไม่ขาดแคลนอาหาร เราสามารถเรียกเก็บธัญพืชจากพวกเขาได้ ตอนนี้พวกเราไม่สามารถเชื่อใจขุนนางสุนัขเหล่านั้นได้ พวกเราส่งคนไปเรียกเก็บธัญพืชกันเองเถอะ”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง