บทที่ 468 ล้อมโจมตี (2)
ด้านนอกด่านอวี้หยาง
บนที่ราบอันรกร้างภายใต้ท้องฟ้าสีคราม ขบวนกองทัพทหารหนาแน่นกำลังรุกคืบอย่างช้าๆ ตามมาด้วยปืนใหญ่ ทหารราบ และทหารม้า โดยแบ่งตามลำดับขั้นอย่างชัดเจน
และที่เบื้องหน้าปืนใหญ่ คือเครื่องปิดล้อมขนาดมหึมาถึงหกตัว โดยใช้ม้าถึงยี่สิบแปดตัวในการลาก เหยียนกั๋วสร้างเครื่องปิดล้อมชนิดนี้โดยอ้างอิงตามภาพวาดที่รั่วไหลออกมาจากกรมทหาร
มันสามารถเคลื่อนที่ขึ้นลง สูงสุดอยู่ที่เจ็ดจั้ง ซึ่งเพียงพอสำหรับระดับความสูงของกำแพงเมืองส่วนใหญ่ แต่สำหรับสิ่งก่อสร้างท่ามกลางอันตรายเหล่านั้น ถึงแม้จะสูงพอ แต่เครื่องปิดล้อมก็ไม่สามารถเข้าไปได้
นี่ก็เป็นเหตุผลที่เว่ยเยวียนไม่ได้นำเครื่องปิดล้อมไปด้วยในการล้อมโจมตี ทางผ่านส่วนใหญ่ของเหยียนกั๋วเป็นช่องเขาแคบ เครื่องปิดล้อมต้องอาศัยตำแหน่งที่เอื้ออำนวย บางสถานที่มันจึงไร้ประโยชน์
ในขบวนกองทหารม้า หนู่เอ่อร์เฮ่อเจียขี่อยู่บนหลังสัตว์หายากตัวสูงใหญ่ รูปลักษณ์ภายนอกเหมือนม้า ทั้งตัวถูกปกคลุมไปด้วยเกล็ดสีดำสนิท และมีเขาแหลมคมยื่นออกมาจากหน้าผากเพียงอันเดียว
ยูนิคอร์นเกล็ดทมิฬของจิ้งกั๋ว
สัตว์พาหนะของหนู่เอ่อร์เฮ่อเจียเชือกนี้ ไม่ใช่ม้ายูนิคอร์นธรรมดาๆ มันเป็นน้องชายแม่เดียวกันกับม้าอันเป็นที่รักของเซี่ยโฮ่วยวี่ซู ทั้งหมดล้วนเป็นสัตว์ที่อยู่ในสนามม้าของจิ้งกั๋ว ทายาทของสัตว์ประหลาดกายสิทธิ์ตัวนั้น
“ศิษย์พี่หงสยง ด่านอวี้หยางมีทหารคุ้มกันไม่ถึงสองหมื่นนาย ท่านประเมินว่าใช้เวลานานเท่าใดถึงจะล้อมโจมตีได้รึ? “
หนู่เอ่อร์เฮ่อเจียที่มีผมจอนสีขาวหันไปมองด้านข้าง
นั่นคือบุรุษรูปร่างกำยำ สวมชุดเกราะสีดำ ที่ใบหน้าซีกซ้ายมีรอยดาบแนวตั้ง จากคิ้วถึงคางโดยตรง รอยแผลเป็นจากดาบนี้ไม่เพียงแต่ทำให้เขาเสียโฉม แต่ยังทำลายดวงตาของเขาด้วย
ดังนั้นเขาจึงเป็นชายตาเดียว
ตัวตนของชายตาเดียวท่านนี้ก็มีเกียรติไม่แพ้กัน เขาคือซูกู่ตูหงสยง น้องชายผู้เป็นที่รักของกษัตริย์คังกั๋ว
หงสยง เขามีภาพลักษณ์ตามชื่อของตนเอง
บุรุษท่านนี้มีพรสวรรค์อย่างมาก และยังมีความแข็งแรงทางกายภาพอันน่าทึ่ง เมื่อตอนที่เขาอยู่ในขั้นหลอมจิต ก็เคยต่อยทหารในขั้นหลอมปราณจนกระดูกแตกเส้นเอ็นขาดด้วยหมัดเดียว
จากวิหารอันสูงส่งลงไปถึงยุทธจักรคังกั๋ว ฐานการฝึกฝนของบุคคลนี้นับว่าติดอันดับหนึ่งในยี่สิบ
ซูกู่ตูหงสยงหรี่ตาลง ทอดสายตามองไปยังกำแพงเมืองด่านอวี้หยางที่สูงโดดเด่น ก่อนจะกล่าวด้วยสีหน้าบูดบึ้ง “ไม่เกินครึ่งเดือน”
หนู่เอ่อร์เฮ่อเจียส่ายศีรษะ “ข้าว่าห้าวัน แน่นอนว่าถ้าสถานการณ์เป็นไปตามที่คาดไว้ เช่นนั้นสามวันก็เพียงพอแล้ว”
ซูกู่ตูหงสยงขมวดคิ้วมองเขา
หนู่เอ่อร์เฮ่อเจียกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “เว่ยเยวียนตายแล้ว ขวัญกำลังใจของทหารต้าฟ่งกำลังตกต่ำ เห็นทหารม้าแปดหมื่นนายของพวกเราเข้ามาใกล้เมือง ก็เป็นเหตุการณ์ที่น่าตกใจสำหรับพวกเขาไม่น้อย นอกจากนี้ ทหารยอดฝีมือส่วนใหญ่ของต้าฟ่งได้รับบาดเจ็บร้ายแรงอยู่ที่เมืองจิ้งซาน ด่านอวี้หยางเล็กๆ จะมียอดฝีมือสักกี่คนกัน? ต่อให้มี แล้วเพียงพอที่จะฆ่าเราหรือไม่?”
ซูกู่ตูหงสยงพยักหน้าช้าๆ
บุรุษรูปร่างกำยำกล่าวต่อไปว่า “ยิ่งไปกว่านั้น ขวัญกำลังใจของทหารพวกเรายังเฟื่องฟูและทรงพลังมาก เว่ยเยวียนอยู่ที่แท่นบูชาหลัก เทพสงครามของต้าฟ่งตายอยู่ที่แท่นบูชาหลักในสำนักพ่อมดของพวกเรา หากมองอีกมุม ก็สร้างแรงบันดาลใจมากใช่หรือไม่?”
พวกเขาโจมตีด่านอวี้หยางครั้งนี้ เพราะได้รับคำสั่งจากแท่นบูชาหลักของสำนักพ่อมด ราชครูอีเอ๋อร์ปู้ถ่ายทอดคำสั่งที่กระชับและรัดกุมว่า ฆ่า!
ฆ่ามัน!
ฆ่าให้มากที่สุดเท่าที่จะฆ่าได้
ซ้ำรอยเดิมกับการสังหารพันลี้เมื่อสี่สิบปีก่อน
หนู่เอ่อร์เฮ่อเจียมองธงของต้าฟ่งที่โบกสะบัดอยู่ที่หัวเมือง พลางหรี่ตาลงและกล่าวด้วยท่าทีเคร่งขรึม “เว่ยเยวียนสังหารผู้คนในเหยียนกั๋วของข้า เขย่าโชคชะตาสำนักพ่อมดของข้า และตอนนี้ก็ถึงคราวของพวกเรา ที่จะมาเขย่าโชคชะตาของต้าฟ่งแล้ว”
การเขย่าโชคชะตานั้นง่ายดายมาก มันคือสงคราม คือการทำลายล้าง คือการฆ่าคน
ประเทศประกอบด้วยประชากร ยิ่งมีประชากรขยายตัวไปมากเท่าใด โชคชะตาก็จะยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้นเท่านั้น ไม่ต้องพูดก็เป็นที่ประจักษ์แล้วว่า ประเทศเล็กๆ ที่มีประชากรหมื่นคนกับประเทศใหญ่ๆ ที่มีประชากรแสนคน โชคชะตาของประเทศใดจะแข็งแรงกว่า
กองกำลังพันธมิตรของเหยียนกั๋วและคังกั๋วหยุดลง เสียงฝีเท้า เสียงล้อเกวียน เสียงกระทบกันของชุดเกราะหายไปอย่างสมบูรณ์ เหลือเพียงความเงียบสงัด ราวกับไร้ซึ่งสิ่งมีชีวิตใดๆ
…
สวี่ชีอันเดินตามจางไคไท่และผู้บัญชาการทหารคนอื่นๆ ไปบนกำแพงเมือง และทอดสายตามองลงมาจากด้านบนไปยังพื้นที่ห่างไกล เห็นทหารม้าแปดหมื่นนายยืนเรียงรายอย่างเป็นระเบียบ ราวกับเต้าหู้ที่ถูกหั่นเป็นชิ้นเท่าๆ กัน
ทหารม้าแปดหมื่นนายนี้ทำให้รู้สึกราวกับเป็นฝูงมดตัวเล็กๆ แต่ความดำทะมึนและหนาแน่นของขบวนรบ ก็ทำให้รู้สึกหายใจไม่ออกเช่นกัน
ทหารรักษาการณ์ที่กำแพงเมืองมีสีหน้าจริงจังขึ้นมาทันทีทันใด ราวกับกำลังเข้าใกล้ศัตรูตัวฉกาจ
จางไคไท่ถือดาบด้วยท่าทางเคร่งขรึม ทอดสายตามองไปยังกองทัพข้าศึกที่ด้านล่าง พลางกล่าวด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำว่า “สำนักพ่อมดไม่เหมือนเผ่าปีศาจและเผ่าอนารยชน เผ่าปีศาจและเผ่าอนารยชนไม่มีอะไรทั้งนั้นนอกจากกองทหารม้า หากต่อสู้กันซึ่งหน้ากับเผ่าปีศาจและเผ่าอนารยชนในสนามรบอย่างกล้าหาญ พวกเราแพ้มากกว่าชนะก็จริง แต่เผ่าปีศาจและเผ่าอนารยชนยังพอมีสำนึก น้อยครั้งที่จะทำการล้อมโจมตี แต่สำหรับสำนักพ่อมด พวกเขามีอาวุธปิดล้อมอย่างปืนใหญ่และหน้าไม้ นอกจากนี้ ยังมีทหารราบที่เก่งกาจในการล้อมโจมตีเมืองอีกด้วย”
สวี่ชีอันกล่าวแนะนำว่า “เจ้าบอกว่าเว่ยกงฝ่าฟันไปถึงแผ่นดินเหยียนกั๋วแล้วไม่ใช่รึ เดิมทีเหยียนกั๋วประสบกับความเสียหายอย่างหนัก ตอนนี้ยังรวมพลทหารขึ้นมาอีกครั้ง เอ๋ เขาจะเหลือกำลังทหารคุ้มกันเมืองเท่าใด? ตอนนี้ภายในประเทศของพวกเขาอาจจะว่างเปล่ามาก พวกเราแอบจู่โจมหลังบ้านของเหยียนกั๋วได้หรือไม่?”
จางไคไท่ส่ายศีรษะ “ไม่ใช่เรื่องง่ายเช่นนั้น หนู่เอ่อร์เฮ่อเจียไม่ได้โง่ เขาต้องเหลือกำลังทหารบางส่วนไว้คุ้มกันเมืองอย่างแน่นอน หลังจากนั้นก็ซ่อนเสบียงอาหารและโยกย้ายสิ่งของในเขตสงครามให้เหลือเพียงพื้นที่โล่ง เรามีปืนใหญ่จำนวนจำกัด ไม่สามารถทำสงครามปิดล้อมได้ อย่าให้ถึงตอนที่ไม่มีปืนใหญ่แล้วเมืองก็ยังยึดไม่ได้ เช่นนั้นจะเสียฮูหยินแล้วเสียซ้ำขุนศึก แม้แต่เว่ยกงก็ยังไม่สามารถยึดครองเมืองหลวงของเหยียนกั๋วได้ในเวลาอันสั้น นับประสาอะไรกับพวกเรา หากต่อสู้กับเมืองอื่นแล้วสงครามยืดเยื้อเกินไป ศัตรูจะตัดเส้นทางเสบียงของพวกเราได้ง่าย พี่น้องที่ถูกส่งออกไปก็จะตายอย่างเปล่าประโยชน์”
สวี่ชีอันพยักหน้าช้าๆ
เวลานี้เอง เขาเห็นม้าตัวหนึ่งแตกแถวออกมา ด้วยพลังการมองของเขา จึงเห็นได้อย่างชัดเจนว่าเป็นชายรูปร่างสูงใหญ่คนหนึ่ง ผมจอนที่ขมับมีสีขาว ดวงตาคมราวกับดาบ และมีรัศมีของความดุร้ายพุ่งออกมา
เขาขี่อยู่บนหลังม้าหายากที่มีเกล็ดสีดำทะมึน
หนู่เอ่อร์เฮ่อเจีย? เขาคาดเดาในใจ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง