ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง นิยาย บท 469

บทที่ 469 อดีตของเว่ยเยวียน (2)

อาทิตย์อัสดงราวกับเลือด

ทหารรักษาเมืองต้าฟ่งอยู่ท่ามกลางพระอาทิตย์ตกที่แดงฉานราวกับสีเลือด จัดการแขนที่หัก จัดการซากศพของสหายและศัตรูอย่างเงียบๆ

ทหารบ้านแบกยุทโธปกรณ์ขึ้นไปบนกำแพงเมือง เติมลูกธนูหน้าไม้และปืนใหญ่ ซ่อมแซมกำแพงเมืองที่พังทลาย

การล้อมโจมตีรอบแรกก็สู้รบได้อนาถเช่นนี้แล้ว

เลือดเปรอะเปื้อนทั่วกำแพงเมือง

ทว่าในสายตาของทหารยังคงปรากฏแสงสว่าง เพราะพวกเขามีความศรัทธา และมีสิ่งที่เป็นแกนสำคัญ

ยันต์กระบี่ของลั่วอวี้เหิงใช้หมดแล้ว ไพ่ใบสำคัญของข้าก็มีไม่พอแล้ว…สวี่ชีอันมองฉากนี้ด้วยอารมณ์ที่หนักอึ้งเล็กน้อย

เขาถาม “สูญเสียพี่น้องไปเท่าใด?”

จางไคไท่ที่อยู่ด้านข้างยิ้ม เผยรอยยิ้มที่ดูยากลำบากออกมา

“หนึ่งพันสามร้อยคน บัดซบเอ๊ย เพิ่งล้อมโจมตีรอบแรก พี่น้องของข้าก็เสียชีวิตไปมากมายเช่นนี้แล้ว แต่สิ่งที่สูญเสียมากที่สุดก็คือปืนใหญ่และหน้าไม้ สิ่งเหล่านี้จำเป็นต้องให้โหรมาซ่อมแซม อย่างไรก็ไม่สามารถซ่อมแซมได้ในชั่วข้ามคืน”

เขาถอนหายใจกล่าว “วันพรุ่งนี้เกรงว่าจะยิ่งตายมากกว่านี้ โชคดีที่มีเจ้าอยู่ มิฉะนั้นในการต่อสู้ครั้งนี้ จะยิ่งตายมากขึ้นไปอีก”

หลังจากจางไคไท่พูดจบ เขาก็เห็นมือที่ชักกระตุกของสวี่ชีอัน รอยยิ้มก็ค่อยๆ หายไป “อาการบาดเจ็บของเจ้าเป็นเช่นไรบ้าง? “

สวี่ชีอันเงียบไปครู่หนึ่ง ส่ายหน้าอย่างช้าๆ “อาการบาดเจ็บของข้าไม่เป็นอะไรมาก พักผ่อนหนึ่งคืนก็หายแล้ว เพียงแต่…”

เขาหยุดไปสักพัก แต่ก็ไม่ได้กล่าวอะไรต่อ

จางไคไท่ขมวดคิ้ว “ในสนามรบ การปกปิดข้อมูลเป็นสิ่งต้องห้ามที่สุด”

สวี่ชีอันลังเลอยู่ครู่หนึ่ง “ไพ่ใบสุดท้ายของข้าหมดแล้ว”

ทันใดนั้นก็เกิดความเงียบขึ้น

หลังจากนั้นไม่นาน จางไคไท่ก็ถอนหายใจ “เจ้าไปเสียเถอะ”

นักดาบท่านนี้ในยามปกติจะเป็นคนสำรวมกิริยา ยิ้มอย่างขมขื่นก่อนกล่าว “ข้าเกือบลืมไปว่าเจ้ายังเป็นเพียงขั้นห้า เหล่าพี่น้องต่างคิดว่าเจ้าเป็นยอดฝีมือที่ยอดเยี่ยม และแข็งแกร่งยิ่งกว่ายอดฝีมือของพวกเราเหล่านั้นเสียอีก

“ข้าจะไม่บอกความลับนี้กับคนอื่น เอ่อ ข้าก็บอกให้เจ้าไปเรียกกำลังเสริมแล้ว ในเมื่อเจ้าไม่มีไพ่ใบสุดท้าย เช่นนั้นก็ไม่เหมาะที่จะอยู่อีกต่อไป พรุ่งนี้หนู่เอ่อร์เฮ่อเจียต้องจ้องแต่จะฆ่าเจ้าอย่างแน่นอน ไม่สนว่าจะเป็นการล้างแค้น หรือว่าเพิ่มขวัญและกำลังใจ”

เขาเดินไปที่กำแพงเมือง วางมือข้างหนึ่งลงบนเชิงเทิน ชี้ไปทางทหารศัตรูที่อยู่ไกลออกไป กล่าวยิ้มๆ

“เจ้าดูสิ ตอนนี้ขวัญกำลังใจสงบนิ่งลงแล้ว มีหนู่เอ่อร์เฮ่อเจียอยู่ กำลังใจของคังกั๋วคงไม่ยุ่งเหยิง ไม่แน่การล้อมโจมตีในวันพรุ่งนี้อาจนำพาความแค้นมาด้วย ยิ่งเสี่ยงมากขึ้น”

“ข้าจากไปแล้ว การรวบรวมกำลังใจก็คงยากลำบาก หนำซ้ำจะยิ่งแตกสลายลงไปอีก” สวี่ชีอันส่ายหน้า

“แน่นอนว่าเจ้าต้องไปขอกำลังเสริม และแจ้งราชสำนัก ท่านผู้นำหลี่สามารถใช้กระบี่บิน การเดินทางคงรวดเร็วยิ่ง ข้าจะพยายามทำให้ดีที่สุดจนกว่ากำลังเสริมจะมาถึง

“ข้าจะไม่จากไปไหน เว่ยกงอยู่ที่นี่ เหล่าพี่น้องของข้าก็อยู่ที่นี่ ข้าก็ควรอยู่ที่นี่ด้วย หากพวกเราจากไปแล้ว ประชาชนที่อยู่ด้านหลังจะทำอย่างไรเล่า? สี่สิบปีก่อน นิกายพ่อมดเคยสังหารเซียง จิง อวี้ทั้งสามก๊ก จะซ้ำรอยเดิมไม่ได้”

ตอนชายคนนี้พูด จะมีจิตใจเยือกเย็นและสงบนิ่ง

ปากเครื่องปั้นดินเผาที่ใช้ตักน้ำมักแตกหักง่าย นายพลที่ไปสู้รบยากต่อการหลีกหนีความตาย

ทั้งหมดต่างเป็นที่พึ่งที่ดีที่สุด

จะไม่มีใครส่งกำลังเสริมมาที่นี่ทั้งนั้น อย่างน้อย พวกเจ้าก็คงอยู่ไม่ทันมองเห็น…สวี่ชีอันอ้าปาก ท้ายที่สุดก็ทนไม่ไหวที่จะบอกความจริงกับเขา

เวลานี้ เขาเห็นนายทหารชั้นสูงนายหนึ่งถือดาบด้วยมือเดียว เดินอยู่ที่กำแพงเมืองอย่างช้าๆ เดินไปด้วยตะโกนไปด้วย

“นอกด่านอวี้หยางก็คือประชาชนของเซียงโจว พวกเราไม่มีทางเลือกนอกจากต้องทำ นี่คือการตอบโต้ครั้งสุดท้ายของสำนักพ่อมด เพียงแค่ยืนหยัดและผ่านการล้อมโจมตีนี้ไปได้เท่านั้น ก็จะได้รับชัยชนะตามที่วางไว้แล้ว พวกเรายังมีกำลังเสริมของราชสำนัก จะต้องยืนหยัดจนกว่ากำลังเสริมจะมา”

นายทหารชั้นสูงนายนั้นเห็นสวี่ชีอันในทันที พลางกล่าวอย่างฮึกเหิม “มีฆ้องเงินสวี่อยู่ สำนักพ่อมดก็อย่าคิดแม้แต่จะล้อมโจมตี หากพรุ่งนี้หนู่เอ่อร์เฮ่อเจียกลับมาอีกครั้ง จะต้องทำให้เขาเข้ามาแล้วกลับไปไม่ได้อีก”

เหล่าทหารที่อยู่รอบๆ สายตาเปล่งประกายขึ้นมาทันที

วันนี้สวี่ชีอันต่อสู้อย่างหนักกับหนู่เอ่อร์เฮ่อเจีย สังหารซูกู่ตูหงสยง และขับไล่ทหารศัตรู นี่คือสิ่งที่ทุกคนได้เห็นเป็นประจักษ์ชัดแจ้งกันทั่วแล้ว

สมแล้วที่เป็นฆ้องเงินสวี่ ดาบนั้นช่างงดงามยิ่งนัก

มีฆ้องเงินสวี่อยู่ เรื่องสำนักพ่อมดก็ไม่จำเป็นต้องกังวล

เขามักจะทำให้คนอื่นสบายใจ และสามารถจัดการเรื่องต่างๆ ได้อย่างสวยงามอยู่เสมอ

เขาไม่เคยทำให้ประชาชนต้าฟ่งต้องผิดหวัง

ภายใต้สายตาแห่งความคาดหวัง สวี่ชีอันเดินอย่างเงียบๆ จนถึงมุมอับที่ไร้ผู้คน มองเห็นข้าศึกที่ตั้งฐานทัพจากที่ไกลๆ อย่างเหม่อลอย

สายตาที่เคารพของเหล่าทหารเหล่านั้นเมื่อครู่ ทำให้เขาเกิดความละอายใจเล็กน้อย

“เจ้าไม่ไปหรือ? หากไม่ไป อาจต้องตายได้”

ด้านหลัง หลี่เมี่ยวเจินปรากฏตัวในเสื้อคลุมนักบวชเต๋าที่สง่างาม

สวี่ชีอันเงียบเป็นเวลานาน พลางยิ้มตอบกลับ “ข้าดูเหมือนคนที่สามารถจากไปได้หรือ?”

“เจ้าลังเลแล้ว!”

หลี่เมี่ยวเจินส่ายหน้า “เมื่อครู่เจ้าไม่ได้ปฏิเสธจางไคไท่ไม่ใช่หรือ”

หนังสือเล่มหนึ่งหล่นอยู่ด้านหน้าของนาง

หลี่เมี่ยวเจินก้มลงไปดู เห็นเป็นตำราเล่มบาง เกือบจะเหลือแต่ปกของตำราอยู่แล้ว

“ไม่มีแล้ว เหลือแค่หน้าสุดท้ายแล้ว” สวี่ชีอันมองออกไปไกล กล่าวเสียงเบา

“ข้าไม่อยากจากไป แต่ข้าไม่มีไพ่ใบสุดท้ายแล้ว มนุษย์ต้องยอมรับข้อเสียของตนเอง ข้อเสียที่ใหญ่ที่สุดของข้าคือยังแข็งแกร่งไม่พอ”

จ้าวโส่วมอบตำราวรยุทธ์ให้เขา จนใกล้จะหมดอยู่ลงรอมร่อแล้ว

เหลืออีกหนึ่งแผ่นเป็นวิชาลั่นประกาศิตของลัทธิขงจื๊อ

สิ่งของที่ไม่ว่าจะใช้ดีแค่ไหน ก็ต้องมีวันที่หมดลง หลังจากเร่งมุ่งหน้าไปฉู่โจว ถึงแม้เขาจะประหยัดสักแค่ไหน แต่ใช้มานานขนาดนี้ ก็นับว่าใช้ไปมากพอประมาณ

“ตอนเจ้าฆ่าตัดศีรษะกั๋วกงทั้งสองที่ไช่ซื่อโข่ว เหตุใดไม่เห็นเจ้ารู้สึกว่าตนเองแข็งแกร่งไม่พอเลยเล่า?”

หลี่เมี่ยวเจินเห็นอย่างชัดเจน ว่าแขนของชายที่อยู่ด้านหน้าคนนี้สั่นเล็กน้อย

นางมองเขา ในสายตามีความสงสารและโศกเศร้าแฝงอยู่

“หลังจากเว่ยเยวียนเสียชีวิต กระดูกสันหลังของเจ้าก็ดูเหมือนจะหัก แม้เจ้าจะแกล้งทำเป็นว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ข้าสัมผัสได้ ว่าเจ้าโกหก ไม่มีที่พึ่งนี้ เจ้าจะทำอะไรก็ไม่มีความมั่นใจแล้ว”

ลมในยามค่ำคืนที่โหยหวน นำพาความหนาวเย็นจนไปถึงกระดูก

สวี่ชีอันกล่าวเสียงเบา “เจ้ากล่าวถูกแล้ว เมื่อก่อนข้าสามารถมีจิตใจที่ฮึกเหิมได้ เพราะข้ามีที่พึ่งมากมาย เว่ยกงมักจะช่วยข้าลดแรงกดดันจากราชสำนัก ช่วยข้าสกัดกั้นการสมรู้ร่วมคิดในวงการราชการ ให้ทรัพยากรที่ดีที่สุดแก่ข้าเสมอ

“ข้ามีเรื่องสงสัยอะไร มีเรื่องลำบากอะไร มีเรื่องอะไรที่สับสนและแก้ไม่ได้ สิ่งแรกที่คิดถึงก็คือไปหาเขา รวมทั้งตอนที่เต๋ามารจื่อเหลียนจับตัวข้าไว้…

“เว่ยกงช่วยจัดการแทนข้าทั้งหมด มีเขาอยู่ ข้าสามารถทำอะไรก็ได้โดยไม่ลังเล หลังจากฆ่าตัดศีรษะกั๋วกง จักรพรรดิก็อดทนกับข้าแล้วอดทนเล่า ตอนนี้เมื่อคิดดูแล้ว ไม่ใช่เพียงเพราะท่านโหราจารย์ ในนั้นยังมีเว่ยกงที่เป็นที่กำบังลมฝนให้กับข้า เขาไม่ใช่ปัญญาชนที่อ่อนแอไร้พลัง ทั้งเมืองต่างทราบดีว่าข้าคือคนสนิทของเขา แม้แต่จักรพรรดิก็ต้องเกรงกลัวเขาเช่นกัน

”แต่เขาบอกจะไปก็ไปทันที ข้า ข้าปวดใจ และมึนงงยิ่งนัก…”

ร่างนั้นที่ยืนตรงเหมือนเดิม แต่ในสายตาของหลี่เมี่ยวเจิน กลับปรากฏความโดดเดี่ยวออกมาอย่างชัดเจน

เมื่อนับโดยละเอียดแล้ว มองแวบแรกเขาดูเหมือนเหลี่ยมจัด ที่พึ่งเยอะ ความจริงแล้วที่พึ่งอย่างแท้จริงมีแค่เว่ยเยวียนเท่านั้น

ท่านโหราจารย์ไม่ทราบวัตถุประสงค์ เชื่อใจไม่ได้ เสินซูใช้ร่างกายของเขาเพื่อให้ความอบอุ่นและรักษาแขนที่หัก บอกจะหลับใหลก็หลับใหล มีเพียงเว่ยเยวียน ที่ตอบสนองต่อคำขอโดยไม่คำนึงถึงรางวัล และเป็นที่กำบังลมฝนให้เขา

ทัศนียภาพของเขา ความหวังของเขา จิตใจที่ฮึกเหิมของเขา ต่างอยู่ภายใต้ข้อสันนิษฐานที่สร้างขึ้นจากการมีใครสักคนที่สามารถรับแรงกดดันเพื่อเขาได้

หลี่เมี่ยวเจินกัดริมฝีปาก

หยุดสักพัก เขาก็กล่าวด้วยเสียงที่แหบแห้ง

“ไม่มีกำลังเสริมเลยทั้งสิ้น คงถูกขัดขวางจากอดีตจักรพรรดิเป็นแน่ จนผัดวันประกันพรุ่ง แม้สุดท้ายกำลังเสริมจะมาถึง คนเหล่านี้ก็มองไม่เห็นแล้ว แต่ข้าไม่กล้าบอก หากข้าบอก กำลังใจก็จะหายไปจนหมดสิ้น

“ข้าสู้หนู่เอ่อร์เฮ่อเจียไม่ได้จริงๆ ทหารธรรมดาเหล่านั้นจะไปรู้อะไร คงคิดอย่างใสซื่อว่าข้าอยู่ยงคงกระพัน…เจ้าไปเถอะ ข้าอยากอยู่คนเดียวสักพัก”

จริงๆ แล้วชายคนนั้นสำคัญสำหรับเขามากถึงเพียงนี้เชียว สำคัญจนเมื่อสูญเสียชายคนนั้นแล้ว เขาก็ทรุดตัวลงทันที

เขาคือความศรัทธาและที่พึ่งของเหล่าทหารรักษาเมือง แต่ที่พึ่งของเขาเล่า?

ที่พึ่งของเขาพังทลาย ทำให้เขาเปลี่ยนเป็นลุกลี้ลุกลน จิตใจหวั่นไหว และไม่เชื่อมั่นในตนเอง

จิตใจที่ฮึมเหิมคงไม่ฟื้นฟูเหมือนเดิมอีกต่อไป

หลี่เมี่ยวเจินจากไป พร้อมด้วยความโศกเศร้าและความผิดหวัง

สวี่ชีอันนั่งที่กำแพงเมือง มองดูค่ำคืนอันไกลโพ้น

มีกองไฟอยู่ไกลๆ กระจัดกระจายไปทุกหนทุกแห่ง

ท่ามกลางเปลวเพลิง ราวกับมีเพชฌฆาตซ่อนตัวอยู่

เขายืนอยู่เป็นเวลานานในคืนที่เยือกเย็น ก่อนจะคลำเอาจดหมายของเว่ยเยวียนออกมา

เว่ยเยวียนเสียชีวิตไปแล้ว ความโชคดีครั้งสุดท้ายของเขาก็ดับลง ในที่สุดเขาก็สามารถอ่านคำสั่งเสียครั้งสุดท้ายของอีกฝ่ายได้

“สวี่ชีอัน หากไม่เกิดข้อผิดพลาด นี่คงเป็นการเขียนครั้งสุดท้ายของข้า ข้ายังจำที่เคยบอกเจ้าได้ ว่าโลกใบนี้โหดร้ายกว่าที่เจ้าคิด

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง