เป็นเช่นนี้ สวี่ชีอันจึงได้มาหนึ่งตำลึงเงินกับสี่อีแปะ บวกกับเงินที่มีอยู่เดิมสามอีแปะและที่เก็บมาได้อีกหนึ่งอีแปะ จึงมีทั้งหมดสองตำลึงเงิน
แต่ปิ่นระย้าทองที่สวี่ชีอันถูกใจมีราคาสิบตำลึงเงิน
เขาช่วยแม่นางน้อยอีกสามคนแก้ปริศนาคำตามสูตรเดิม ในที่สุดก็ทำเงินได้ห้าตำลึงเงิน
“น่าจะพอซื้อปิ่นระย้าทองหนึ่งชิ้นแล้ว แต่ข้ายังต้องซื้อให้อาสะใภ้อีกหนึ่งชิ้น…”
“คุณชายขอรับ” เถ้าแก่ร้านเรียกขัดจังหวะความคิดของสวี่ชีอันด้วยใบหน้าซีดขาว
สวี่ชีอันมองเขาเงียบๆ
“คุณชายโปรดเมตตาได้หรือไม่ขอรับ”
“เถ้าแก่หมายความว่าอย่างไรหรือ ท่านเป็นคนตั้งกฎเองนี่หนา”
“คุณชายต้องการอะไรโปรดพูดตามตรงเถิด”
“ข้าอยากซื้อปิ่นระย้าสองชิ้น แต่มีเงินพอซื้อแค่ชิ้นเดียว…อืม แบบครึ่งราคา”
“ข้า ข้าส่งให้คุณชายเลยแล้วกัน” เถ้าแก่ร้านขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน
“เช่นนั้นก็เกรงใจแล้ว”
“…ต่อไปท่านอย่าได้มาอีกเลย ชายชราผู้นี้จะซาบซึ้งใจอย่างมาก”
จ่ายไม่ไหวสินะ… สวี่ชีอันจากไปพร้อมกับปิ่นระย้าทองสองชิ้น
เขาไม่ได้คิดจะกินฟรีจริงๆ ข้าแซ่สวี่ไม่ใช่คนอย่างนั้น เถ้าแก่ร้านผู้อับจนก็เกรงใจเกินไปแล้ว
ส่วนความรู้สึกของเถ้าแก่ร้านนั้น เขาไม่สนใจ สามารถเปิดร้านค้าเช่นนั้นได้ แม้ว่าของราคายี่สิบสามสิบตำลึงเงินจะเจ็บเข้าเนื้อแน่ๆ แต่ก็ไม่ถือว่าสูญเสียมากนัก
อีกอย่าง ในเมื่อเล่นแบบนี้และได้รับประโยชน์จากเส้นทางนี้ เช่นนั้นก็ต้องเตรียมใจพบยอดฝีมือให้ดี
ไม่สมเหตุสมผลเลยที่เจ้าสามารถเอาเงินคนอื่นได้ แต่คนอื่นไม่อาจถอนขนแกะ[1]ของเจ้าได้
ออกจากร้านมาได้ไม่นาน จู่ๆ ก็รู้สึกเย็นวาบด้านหลังจนขนลุกซู่ รูขุมขนคล้ายมีเข็มเล็กๆ แทงลงไป
นี่ทำให้หัวใจของเขาเต้นถี่รัวแล้วหลั่งอะดรีนาลีนออกมา
มีคนสะกดรอยตามข้า… กำลังสังเกตดูข้าอยู่… แล้วซ่อนเก็บความไม่เป็นมิตรเอาไว้… สวี่ชีอันรับรู้ได้รางๆ
สวี่ชีอันระงับอารมณ์ แสร้งทำเป็นว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ในใจกำลังครุ่นคิด
‘ใครสะกดรอยข้า… ร้านเป่าชี่ซวนหรือ เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่ ถึงแม้เถ้าแก่จะดูเหมือนอยากทุบตีข้ามากๆ แต่ยอดฝีมือที่ทำให้ข้าขนลุกขนพองได้จะต้องมีเบื้องหลังแน่ๆ แต่ร้านเป่าชี่ซวนเล็กๆ ไม่มียอดฝีมือเช่นนี้อยู่
สำนักศึกษาอวิ๋นลู่หรือ ก็ไม่ถูกสิ พวกปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ของสำนักศึกษาอวิ๋นลู่สู้กันเพื่อรับข้าไปเป็นศิษย์ แล้วจะมาแอบแฝงความคิดร้ายต่อข้าได้อย่างไร’
‘เป็นบ้านสกุลโจว!’
ช่วงนี้ถ้าหากจะมีใครเกลียดชังและแอบเฝ้าสังเกตการณ์เขาได้ ก็ต้องเป็นบ้านสกุลโจว
สวี่ชีอันเคร่งเครียดในใจ ประสบการณ์จากชาติก่อนบอกเขาว่าทันทีที่เจ้าถูกคนสะกดรอยตามเฝ้าสังเกต นั่นก็แปลว่าอีกฝ่ายจะลงมือในเร็วๆ นี้ ถึงขั้นที่อาจเป็นคืนนี้เลยก็ได้
‘แผนเยี่ยมเยียนสำนักศึกษาอวิ๋นลู่นั้นจัดการได้ถูกต้องแล้ว ถึงแม้ฝีมือของข้ากับอารองจะไม่อ่อนด้อย แต่ผู้หญิงในบ้านก็ยังเป็นภาระ…’
สีหน้าของสวี่ชีอันเคร่งเครียด แผนจัดการสกุลโจวจะล่าช้าไม่ได้แล้ว
เมื่อกลับไปที่จวนสกุลสวี่ สวี่ชีอันก็หยิบเอาหน้าไม้ในตู้ที่ได้มาจากการแลกเปลี่ยนที่เท่าเทียม (ของฟรี) กับซ่งชิงแห่งสำนักโหราจารย์มาห้อยไว้ที่เอว และนำเกราะคันฉ่องมาผูกไว้ที่หน้าอก
เช่นนี้จึงจะรู้สึกปลอดภัยขึ้นมาก
เมื่อข้ามกำแพงไปยังบ้านใหญ่ เขาก็เห็นสวี่หลิงอินกำลังวิ่งไล่ฝูงห่านอยู่ที่ลานด้านหลัง นางเท้าเอวแล้วกระทืบเท้าแรงๆ จนทำให้ห่านน้อยตกใจขวัญหนีดีฝ่อ ส่งเสียงแผดร้องวุ่นวายไปทั่ว
“พี่ใหญ่ๆ ท่านเห็นความน่าเกรงขามของข้าหรือไม่” เมื่อสวี่หลิงอินเห็นพี่ใหญ่กลับมาก็ยิ่งรู้สึกได้ใจมากขึ้น
“ห่านมาจากไหนน่ะ” สวี่ชีอันตะลึงงัน เช้านี้ตอนที่ออกจากบ้านเห็นชัดๆ ว่ายังไม่มีเลย
“ท่านแม่ให้คนไปหาซื้อมา บอกว่าเลี้ยงที่บ้านตัวเอง…” สวี่หลิงอินเอียงคอแล้วเอ่ยเสียงเบา “ข้าลืมท่อนหลังไปแล้ว”
น่าจะเป็นเลี้ยงที่บ้านตัวเองถูกกว่าซื้อข้างนอกสินะ… สวี่ชีอันร้อง “อ้อ” คำหนึ่ง แล้วกล่าว “เจ้าระวังหน่อย อย่าเหยียบห่านจนตายล่ะ แล้วไม่มีห่านตัวใหญ่หรือ”
“ห่านตัวใหญ่อยู่ทางนั้น ข้าจะไปไล่มันมา” สวี่หลิงอินเสนอตัวย่างก้าวเข้าไปในสวนดอกไม้ด้วยขาสั้นเล็กๆ ของนาง
ไม่กี่วินาทีต่อมา เด็กน้อยก็ร้องเสียงดังลั่นปานฆ่าหมู
พุ่มไม้สั่นไหวรุนแรง สวี่หลิงอินร้องไห้โฮวิ่งออกมา เท้าลากห่านตัวใหญ่ตัวหนึ่งที่กำลังงับขาน้อยๆ ของนางไว้แน่น
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง