อารองสวี่หนังศีรษะชา เอ่ยตำหนิว่า “หนิงเยี่ยน เจ้ามีเงินจุนเจือที่บ้านก็ดีเท่าไรแล้ว คุ้มที่จะซื้อของฟุ่มเฟือยพวกนี้แล้วหรือ”
เขาวางแผนจะว่ากล่าวหลานชายเพื่อเรียกความรู้สึกอยู่ฝ่ายเดียวกันกับภรรยากลับคืนมา แล้วค่อยๆ ระงับความโกรธของนางลง
สวี่หลิงเยวี่ยกล่าวเสียงเรียบ “ที่บ้านไม่ขาดแคลนอาหารเครื่องนุ่งห่ม แล้วอาหารที่ท่านพ่อกินก็มีข้าวจากพี่ใหญ่อยู่ในนั้นด้วยหนาเจ้าคะ”
อารองสวี่ถูกลูกสาวทำให้สำลักจนพูดไม่ออก ดังนั้นจึงเปลี่ยนเรื่อง “หนิงเยี่ยน เจ้าเอาเงินมาจากไหน”
สวี่ชีอันกล่าว “ข้าเห็นว่าเครื่องประดับบนศีรษะของน้องหญิงราคาถูกเกินไป ดังนั้นจึงทดเอาไว้ในใจแล้วอดออมจนพอจะเก็บได้เงินจำนวนหนึ่ง อีกทั้งร้านเป่าชี่ซวนก็มีให้ทายปริศนาคำลดครึ่งราคาด้วย…”
จะให้บอกว่าเครื่องประดับนี้ได้มาฟรีๆ ก็ไม่ดี เขาไม่อยากตายทางสังคมเหมือนกับสวี่ฉือจิ้วหรอกนะ
มือที่ถือชามของสวี่หลิงเยวี่ยสั่นเบาๆ หัวใจอ่อนยวบในทันใด จดจ้องไปยังสวี่ชีอันด้วยดวงตาสุกใส
ในบ้านหลังนี้มีเพียงพี่ใหญ่เท่านั้นที่เห็นนางเป็นยอดดวงใจ แต่ไหนแต่ไรท่านพ่อกับพี่รองก็ไม่เคยคิดว่าเครื่องประดับราคาถูกของนางจะมีปัญหาอะไรเลย
ลูกสาวในบ้านก็ต้องมีภาพลักษณ์นะ
“พี่ใหญ่ งามไหมเจ้าคะ” นางปักปิ่นทองระย้าไว้บนมวยผม แสงเทียนสะท้อนใบหน้ารูปเมล็ดแตงคมคายแบบสาวน้อย องคาพยพทั้งห้างามประณีต ดวงตาดำขลับส่องสว่างใสกระจ่าง งดงามแจ่มใสหอมจรุง
อาสะใภ้ริษยายิ่งกว่าเดิม
สวี่ชีอันก็ริษยาขึ้นมาบ้างแล้ว เขาเหลือบมองสวี่เอ้อร์หลางทางด้านซ้าย เจ้าน้องชายสวมชุดคลุมสีกรม ผมยาวดำขลับงดงามรวบขึ้นด้วยปิ่นหยกมรกต ริมฝีปากแดงฟันขาว หล่อเหลาเอาการ
แล้วก็มองไปยังน้องสาวผู้สวมปิ่นทองระย้าจนเปล่งประกายระยิบระยับ รวมถึงสตรีออกเรือนงดงามอวบอิ่มอย่างอาสะใภ้ผู้นี้อีก
ครอบครัวนี้หน้าตาล้วนได้รับจุมพิตจากสวรรค์ มีแต่ข้าที่ธรรมดาสามัญหรือไร
พอมองเห็นเสี่ยวโต้วติงที่มีองคาพยพคล้ายคลึงกับอารองสวี่ที่ดูทึ่มทื่อไร้เดียงสาอย่างเห็นได้ชัด เขาก็ไม่อิจฉาแล้ว
“มา หลิงอินกินเนื้อสิ” สวี่ชีอันคีบเนื้อติดมันให้นาง แล้วคีบเนื้อแดงให้สวี่หลิงเยวี่ย
“พี่ใหญ่ใจดีจริงๆ”
“พี่ใหญ่เห็นเจ้าแล้วรื่นตานัก”
“แล้วทำไมเมื่อกี้พี่ใหญ่ไม่ช่วยข้าล่ะ” เสี่ยวโต้วติงนึกถึงเมื่อครู่ที่พี่ใหญ่ไม่เพียงไม่ช่วยนาง แต่ยังหัวเราะขบขัน
“กินขมในขมจึงจะเป็นยอดคน มีเพียงต้องกินขมเท่านั้นจึงจะสามารถกลายเป็นยอดฝีมือที่ทั่วหล้าไร้ผู้ใดต่อกรได้”
“เช่นนั้นมีที่ไม่กินขมแล้วจะไร้พ่ายหรือไม่เจ้าคะ”
“มี อยู่ในฝัน”
…
กินอาหารไปได้พอประมาณ อาสะใภ้ก็เอ่ยเสียงเรียบ “พอผ่านปีใหม่ หนิงเยี่ยนก็อายุยี่สิบแล้ว”
“โอ้ อาสะใภ้ยังจำอายุของข้าได้ด้วย” สวี่ชีอันทำท่าทางตะลึงพรึงเพริด
อาสะใภ้เมินเฉยใส่เขาอย่างหยิ่งยโส แล้วหันหน้าไปเอ่ยกับอารองสวี่ “ท่านพี่ ต้องหาคู่แต่งงานให้หนิงเยี่ยนได้แล้วหนาเจ้าคะ”
สวี่หลิงเยวี่ยและสวี่ซินเหนียนเงยหน้าจ้องมองมารดาพร้อมกัน
สวี่ชีอันกลับเป็นคนที่ช้าที่สุดเสียเอง เขานิ่งงันไปสองสามวินาทีจึงตอบสนอง จากนั้นก็กลายเป็นความไม่อยากจะเชื่อ
อาสะใภ้ตัวร้ายกลับใส่ใจเรื่องการแต่งงานของหลานชายผู้นี้อย่างข้าด้วย พรุ่งนี้พระอาทิตย์จะขึ้นทางทิศตะวันตกหรือ
เพราะการแต่งลูกสะใภ้นั้นเป็นเรื่องใหญ่มโหฬาร สามหนังสือ หกพิธีการ[1] เกี้ยวแปดคนหาม ล้วนเป็นเงินเป็นทองทั้งนั้น
อาสะใภ้เหลือบมองหลานชายตัวร้ายแล้วพูดต่อ “ข้าว่าลวี่เอ๋อก็ไม่เลวนะ เลี้ยงดูในจวนมาตั้งแต่ยังเด็ก เป็นคู่รักวัยเยาว์กับหนิงเยี่ยนเสียด้วย”
ทั้งยังไม่ต้องเสียเงินสักแดง…อาสะใภ้ช่างสมเป็นอาสะใภ้จริงๆ…
ลวี่เอ๋อผู้งดงามเปี่ยมเสน่ห์ร้อง ‘หา’ ออกมา ดวงแก้มขึ้นสีเรื่อ ทำอะไรไม่ถูกอยู่สักหน่อย
ความรักมาเร็วเกินไปเหมือนกับลมพายุหมุนที่พัดผ่านจนนางมึนงงไปหมดแล้ว
ภายในใจไม่เพียงแต่มีความเขินอายสับสน แต่ยังแฝงความยินดีเอาไว้ด้วย
สวี่หลิงเยวี่ยเหลือบมองสาวใช้รุ่นพี่ตรงหน้าที่เห็นได้ชัดว่าตะลึงทึ่มทื่อไร้แววไปแล้ว นางก็รู้สึกไม่ชอบใจเล็กน้อย “ท่านแม่อย่าได้ทำตัวเป็นเจ้าภาพเลย เรื่องแต่งงานของพี่ใหญ่ก็ให้ตัวเขากับท่านพ่อปรึกษากันไปเถิด”
ความนัยก็คือ ‘ท่านแม่มีสถานะอะไรในใจของพี่ใหญ่ ท่านไม่รู้ตัวหรือ’
อาสะใภ้มีความแค้นเรื่องแย่งปิ่นกับลูกสาวอยู่แล้วจึงก่นด่า “หนิงเยี่ยนกับลวี่เอ๋อเหมาะสมกันดั่งกิ่งทองใบหยก รู้ไส้รู้พุงกันแล้ว มีที่ให้น้องสาวอย่างเจ้าคัดค้านหรือ”
สวี่หลิงเยวี่ยอย่าน้อยใจจนเกินไปเลย
ไม่มีอะไรทั้งนั้น รู้ไส้พุงก็กล่าวเกินไปแล้ว ยังไม่ถึงขั้นนั้นสักหน่อย…สวี่ชีอันกำลังคิดจะออกความเห็นก็ได้ยินเจ้าน้องชายข้างๆ เอ่ยขึ้น
สวี่ซินเหนียนกล่าว “ท่านแม่คิดว่าให้ลวี่เอ๋อแต่งกับพี่ใหญ่ ไม่เพียงไม่เสียเงินค่าสินสอด แต่ยังมีเหตุผลให้พี่ใหญ่ย้ายออกไปใช้ชีวิตข้างนอกด้วยน่ะ”
โจมตีทีเดียวถึงจุดตาย
อาสะใภ้พูดอย่างโมโห “เจ้าลูกคนนี้ ไม่รู้จักพูดจามาตั้งแต่เด็ก”
อารองสวี่เอ่ยสรุป “พอเถิดๆ เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องกังวลหรอก หากยังไม่ก้าวสู่ระดับหลอมปราณ หนิงเยี่ยนก็ไม่อาจเข้าใกล้ผู้หญิงได้”
ลวี่เอ๋อสีหน้าผิดหวัง ก้มหน้าคอตก
นอกจากฮูหยินที่นางรับใช้มาตั้งแต่เด็กแล้ว คนบ้านนี้ก็คล้ายจะต่อต้านไม่ให้นางแต่งกับต้าหลางนัก
…
เมื่ออารองสวี่กินข้าวเสร็จก็วิ่งไปยังกองดาบ จากนั้นก็กลับมาหารือเรื่องที่ต้องจัดการในวันพรุ่งนี้กับหลานชายและลูกชาย
พอกลับมาในห้องนอนก็เห็นภรรยานั่งอยู่ข้างเตียง ท่าทางฉุนเฉียว
“เจ้าโกรธมาจนถึงตอนนี้เชียวหรือ” อารองสวี่เอ่ยอย่างอับจนปัญญา
อาสะใภ้หันหน้ามา ถลึงดวงตางดงามใส่ “เจ้าคนสารเลวคนนั้นไม่มีมโนธรรมเลยสักนิด ตอนนั้นที่ข้ารับเขามาจากมือท่าน เขายังตัวเท่าลูกแมวอยู่เลย ใครเลี้ยงดูเขาให้เติบใหญ่ขนาดนี้กัน”
“รู้ว่าจะทำให้ข้าโกรธ รู้อยู่ว่าข้าจะโกรธ แล้วทำไมจะต้องเลี้ยงเขาจนโตขนาดนี้ด้วย สู้ไปให้อาหารหนูยังดีกว่า”
นางกำลังบ่นว่าอยู่ แต่จู่ๆ ก็เห็นสามีหยิบกล่องไม้กล่องหนึ่งออกมาจากอกเสื้อแล้วยื่นให้ บนกล่องไม้สลักคำว่า ‘เป่าชี่ซวน’ อยู่
ริมฝีปากแดงก่ำอ้าออก มองไปยังสามีด้วยความงุนงงตกใจ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง