ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง นิยาย บท 471

บทที่ 471 การมาถึงของหยางเชียนฮ่วน

ดึกสงัด!

ภานในเมืองเวิ่งที่อยู่หัวเมือง ถ่านกำลังลุกไหม้อย่างเงียบๆ ขับไล่ความหนาวเย็นของค่ำคืนในฤดูใบไม้ร่วง

น้ำเดือดในกาทองเหลืองไหลจ๊อกๆ หลี่เมี่ยวเจินนำผ้าเช็ดเหงื่อที่เปื้อนเลือดแช่ในน้ำอุ่นแล้วค่อยๆ ซัก น้ำในอ่างทองเหลืองเปลี่ยนเป็นสีแดงเข้มในทันที

“นี่ นี่มันเกิดอะไรขึ้น เลือดเขาไหลไม่หยุดแบบนี้ คืนนี้ไม่รอดแน่!”

จางไคไท่เดินไปเดินมาด้วยความร้อนใจอยู่ในห้องโถง

แม่ทัพคนอื่นๆ บางคนนั่ง บางคนยืน บางคนก็ลูบหูลูบแก้มอย่างจนใจ ร้อนใจจนหน้านิ่วคิ้วขมวด แต่ก็หมดปัญญา

หลังจากที่จางไคไท่นำสวี่ชีอันกลับมาที่หัวเมืองแล้ว เขาก็หมดสติแน่นิ่งไป ลมหายใจรวยริน เมื่อฉีกเสื้อผ้าออกเพื่อตรวจบาดแผลแล้ว ทุกคนก็ต้องตกใจ ทั่วร่างกายของเขาไม่มีส่วนไหนเหมือนเดิม มีรอยบาดแผลทั่วทั้งตัว ภายในบาดแผลเหมือนกระเบื้องที่แตกร้าวเหล่านั้นมีเลือดไหลซึมออกมาไม่หยุด

โดยเฉพาะอาการบาดเจ็บที่น่ากลัวบริเวณเอวของเขาที่ถูกฟันจนเกือบขาด ทำเอาจางไคไท่และคนอื่นๆ พากันขนหัวลุก ถึงจะเป็นพวกเขา หากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที ก็อาจเสียชีวิตภายในหนึ่งชั่วยามได้

ทหารขั้นสี่ไม่มีร่างอมตะเหมือนขั้นสาม และไม่เหมือนวิชาวิญญาณโลหิตของพ่อมด ที่สามารถกระตุ้นเลือดลม รักษาอาการบาดเจ็บได้

ในฐานะศิษย์ของลัทธิเต๋า หลี่เมี่ยวเจินยังคงมีฝีมือทางด้านการแพทย์อยู่บ้าง อยากเล่นแร่แปรธาตุ ก็ต้องมีความเชี่ยวชาญด้านยา และนางก็ได้พกยาอายุวัฒนะที่ใช้รักษาอาการบาดเจ็บภายนอกติดตัวมาจำนวนหนึ่ง แต่ยาอายุวัฒนะเหล่านี้ไม่มีผลในการรักษาอาการบาดเจ็บของสวี่ชีอันแม้แต่น้อย กลืนลงไปก็ไม่ได้ผล

บดเป็นผงแล้วทาแผล ก็ไม่ได้ผลแม้แต่น้อย

“ขืนเป็นแบบนี้ต่อไปคงไม่ดีแน่ ต้องพาเขากลับเมืองหลวง มีเพียงสำนักโหราจารย์เท่านั้นที่จะช่วยเขาได้” หลี่เมี่ยวเจินถอนหายใจ

บาดแผลที่เกือบทำให้ถึงแก่ชีวิตบริเวณเอวนั้น นางไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่รอยแตกร้าวเหมือนกระเบื้องทั่วร่างนั้น หลี่เมี่ยวเจินเดาว่าเกี่ยวข้องกับการลั่นประกาศิตของลัทธิขงจื๊อ เกิดจากการที่วรยุทธ์ตีกลับ เช่นเดียวกับวันนั้นที่เขาอวดเก่งเอาชนะตัวเองและฉู่หยวนเจิ่น แต่ผลสุดท้ายก็ต้องอกสั่นขวัญหาย

หลี่เมี่ยวเจินหวนนึกถึงความหลังครู่หนึ่ง จำได้ว่าในตอนแรกสวี่ชีอันใช้วรยุทธ์ของลัทธิขงจื๊อเพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้กับจิตเดิม ดังนั้นจิตเดิมจึงถูกตีกลับ ครั้งนี้ร่างกายแตกร้าวเลือดไหลไม่หยุด อาจเป็นเพราะเพิ่มพลังปราณ

“ต้องรบกวนท่านผู้นำหลี่แล้ว”

จางไคไท่รู้สึกตัว จ้องมองที่นางด้วยแววตาเร่งเร้า

หลี่เมี่ยวเจินส่ายหน้าช้าๆ ด้วยสีหน้าเศร้าหมอง “แก่นปราณของข้าอยู่ในร่างกายของเขา และแก่นปราณทำให้อาการบาดเจ็บของเขาสงบในระดับหนึ่ง มิฉะนั้น เขาอาจจะ…”

ไม่เอาแก่นปราณคืนมา นางจะบินด้วยกระบี่บินได้อย่างไรโดย หลังจากเอาแก่นปราณคืนมา บางทียังไม่ถึงเมืองหลวง ชายคนนี้อาจจะเสียชีวิตไปแล้ว

จางไคไท่และแม่ทัพคนอื่นๆ มีสีหน้าสิ้นหวังอย่างยิ่ง

นิ้วอันอ่อนนุ่มของนางเฉียดแก้มของสวี่ชีอันเบาๆ ในใจรู้สึกเศร้าเสียใจอย่างเงียบๆ เจ้ากอบกู้ด่านอวี้หยางและช่วยทหารหนึ่งหหมื่นสี่พันคนเหล่าไว้ แต่ข้าจะเอาอะไรมาช่วยเจ้า

นางเสียใจอยู่ครู่หนึ่ง จู่ๆ ก็คิดอะไรขึ้นมาได้ จึงเอื้อมมือเข้าไปหยิบเศษหนังสือปฐพีในอกเสื้อออกมา พร้อมกับเดินออกไปทางนอกเมืองเวิ่ง และพูดว่า

“พวกท่านช่วยดูแลเขาด้วย ข้าไปไม่นานแล้วจะกลับมา”

หลี่เมี่ยวเจินเปิดประตูเมืองเวิ่ง และทันใดนั้นก็ต้องตกตะลึง ในสายตาของนาง เต็มไปด้วยเงาของคนมืดฟ้ามัวดิน บนถนน มีประตูเมืองเวิ่งเป็นศูนย์กลาง ฝูงชนแผ่ขยายออกไปทั้งสองฝั่ง ลึกเข้าไปในความมืดจนสุดสายตา ทุกคนอยู่ในความสงบ ผู้คนนับพันนับหมื่น ไม่มีเสียงแม้แต่น้อย ราวกับกลัวว่าจะรบกวนคนที่นอนหลับสนิทอยู่ข้างใน

“เจ้าช่วยฆ้องเงินสวี่ได้ เจ้าช่วยฆ้องเงินสวี่ได้ ใช่หรือไม่…” ท่ามกลางฝูงชน พลทหารนายหนึ่งพูดด้วยสีหน้าวิงวอน

การสนทนาด้านใน พวกเขาได้ยินทั้งหมด เมื่อหลี่เมี่ยวเจินมองไปที่พวกเขาอีกครั้ง จึงพบว่าขอบตาของชายชาตรีที่ดาบเปื้อนเลือดทุกคนล้วนแดงก่ำกันทุกคน

เวลานี้ หลี่เมี่ยวเจินจึงเข้าใจอย่างลึกซึ้งแล้วว่า ‘ความรู้สึกเหมือนถูกทุบที่หน้าอกอย่างแรง’ นั้นเป็นอย่างไร

“ข้ารับปาก…”นางพยักหน้าเบาๆ และกลับเข้าไปในเมืองเวิ่งอีกครั้ง

หลังจากปิดประตู นางไม่ได้หันกลับมา หันหลังให้จางไคไท่และคนอื่นๆ หยิบเศษหนังสือปฐพีออกมา และส่งข้อความว่า

‘ทุกท่าน ข้าและสวี่ชีอันอยู่ที่ด่านอวี้หยางชายแดนเซียงโจว เขาได้รับบาดเจ็บสาหัสปางตาย ชีวิตแขวนอยู่บนเส้นด้าย…’

หลี่เมี่ยวเจินแบ่งเป็นสามวรรค อธิบายอาการของสวี่ชีอันโดยใช้ภาษาง่ายแต่ได้ใจความ

สุดท้ายส่งข้อความถามว่า ‘ตอนนี้ควรทำอย่างไรดี’

หมายเลขหก ‘อาการของใต้เท้าสวี่แย่ขนาดนี้แล้วหรือ อมิตตาพุทธ อาตมาอยากจะเดินทางไปภาคตะวันออกเฉียงเหนือเพื่อโปรดสัตว์ชาวหมานอี๋เหล่านี้เหลือเกิน’

แม้จะถูกกั้นด้วยหนังสือปฐพี แต่ทุกคนก็สามารถสัมผัสได้ถึงความวิตก กังวล และความเดือดดาลแต่ทำอะไรไม่ได้ของไต้ซือเหิงหย่วน

หมายเลขหนึ่ง ‘แก่นปราณของเจ้าอยู่ในร่างกายของเขา จึงยังอยู่ได้ชั่วคราว?’

ดูเหมือนว่าทุกครั้งที่เกี่ยวข้องกับสวี่ชีอัน ฮว๋ายชิ่งก็จะทรงกระตือรือร้นมาก เปลี่ยนไปจากเดิมที่เป็นคนเงียบขรึมไม่พูดจาในทันที…หลี่เมี่ยวเจินลอบขมวดคิ้ว แล้วส่งข้อความตอบกลับ

‘ถูกต้อง ถ้าไม่มีแก่นปราณ ข้าก็ไม่สามารถบินด้วยกระบี่บินได้ ถ้าไม่มีแก่นปราณ สวี่ชีอันคงอยู่ไม่ถึงกลับมาเมืองหลวง ข้า ข้าไม่สามารถเอาชีวิตเขามาเสี่ยง’

‘เจ้าหมายความว่าอย่างไรเจ้าไม่สามารถเอาชีวิตของเขามาเสี่ยง ตามนิสัยของจอมยุทธ์หญิงนกนางแอ่นเหินอย่างเจ้า ไม่น่าจะเชื่อเรื่องสามส่วนคือลิขิตฟ้าเจ็ดส่วนต้องใช้ความพยายามนี่นา ข้าจะพาเจ้ากลับเมืองหลวงเดี๋ยวนี้ จะเป็นหรือจะตายต้องขึ้นกับวาสนาของน้องชายอย่างนั้นหรือ ใช่หรือไม่…’ ฉู่หยวนเจิ่นอดบ่นในใจไม่ได้

หมายเลขหนึ่ง ‘จะอยู่ได้นานแค่ไหน’

หมายเลขสอง ‘ก่อนเที่ยงตรงวันพรุ่งนี้จะยังไม่มีอันตรายถึงชีวิต แต่ถ้านำแก่นปราณออก อาจมีชีวิตอยู่ได้เพียงหนึ่งชั่วยาม หรือสั้นกว่านั้น’

โดยไม่รอคำตอบของฮว๋ายชิ่ง ฉู่หยวนเจิ่นชิงพูดก่อน โดยส่งข้อความว่า

‘ถ้าเช่นนั้นก็จัดการง่ายแล้ว ถ้าเจ้ากลับไปไม่ได้ ก็ให้คนจากสำนักโหราจารย์มาที่นี่ หยางเชียนฮ่วนส่งต่อค่ายกลเร็วกว่าการบินโดยกระบี่บิน เขามีเวลามากพอที่จะรีบออกจากเมืองหลวงมาที่นี่ น่าจะกลับถึงเมืองหลวงก่อนเที่ยงตรงวันพรุ่งนี้’

ดวงตาของหลี่เมี่ยวเจินเป็นประกาย

วิธีการนี้ง่ายมาก นางคิดไม่ถึงเลยจริงๆ คงจะเป็นห่วงจนสับสนไปหมดนั่นเอง

ฉู่หยวนเจิ่นยังคงส่งข้อความต่อ ‘เวลานี้ห้ามออกนอกบ้าน ลี่น่าและเหิงหย่วนไม่สามารถไปมาหาสู่กันในเมืองชั้นในได้แล้ว หมายเลขหนึ่ง เรื่องนี้ต้องมอบให้เจ้าแล้ว’

หมายเลขหนึ่งมีตำแหน่งสูงส่งอำนาจมากล้นในราชสำนัก คิดว่าการห้ามออกนอกบ้านคงไม่สามารถกักขังเขา/นางได้

หมายเลขหนึ่ง ‘ได้’

ลี่น่าถอนหายใจ แล้วส่งข้อความว่า ‘หากมีอุปสรรคอะไรก็บอกมาได้เลย ทุกคนช่วยกันแก้ไขปัญหา ขจัดอุปสรรค ดีมากๆ’

‘ดูเหมือนเจ้าจะไม่ได้ทำอะไรเลย แต่น้ำเสียงเหมือนตัวเองเป็นผู้มีส่วนร่วมสำคัญ นี่มันหมายความว่าอย่างไรกัน…’ ในใจของสมาชิกพรรคฟ้าดินทุกคน คงบ่นแบบนี้คล้ายๆ กันไม่มากก็น้อย

หมายเลขหนึ่ง ‘หมายเลขสี่ สงครามชายแดนทางเหนือเป็นอย่างไรบ้าง’

หมายเลขสี่ ‘ทหารม้าของจิ้งกั๋วถอนกำลังแล้ว เดิมทีคิดว่าคงต้องต่อสู้กันต่อไปอีกหลายเดือน คิดไม่ถึงว่าภายในระยะเวลาสั้นๆ เพียงสิบวัน เว่ยกงก็สามารถโจมตีไปถึงแท่นบูชาหลักของสำนักพ่อมดได้…’ หลังจากที่เขาส่งข้อความนี้เสร็จ ก็หยุดพูดทันที

หลังจากนั้นไม่กี่วินาที ฮว๋ายชิ่งหมายเลขหนึ่งก็ทรงเปลี่ยนหัวข้อสนทนา ‘หลี่เมี่ยวเจิน ตอนนี้ช่วยเล่ารายละเอียดได้หรือยัง’

ฉู่หยวนเจิ่นถอนหายใจในใจ และเข้าร่วมในหัวสนทนาใหม่ด้วยความกระตือรือร้น

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง