ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง นิยาย บท 472

บทที่ 472 กลับเมืองหลวง

หลี่เมี่ยวเจินรู้ได้ทันทีว่าศิษย์พี่สามหมกมุ่นกับการเลียนแบบสวี่ชีอันมากแค่ไหน จากที่เขากล่าวมา สวี่ชีอันเป็นเจ้าแห่งการประสบความสำเร็จเกินหน้าเกินตาชาวบ้าน ทุกครั้งที่ก้าวนำไปก่อนคนอื่นก็มักคว้าโอกาสไว้ได้เสมอ

แต่หยางเชียนฮ่วนไม่ใช่คนที่ครหาใคร เขาเป็นคนมีเหตุผล จากตอนพิธีต้าวฮวดของสำนักพุทธ ท่านโหราจารย์จงใจขังเขาไว้ที่ด้านล่างของหอดูดาว แล้วผลักสวี่ชีอันให้ออกมาต่อสู้ในนามของสำนักโหราจารย์

ทั้งตอนศึกระหว่างนิกายสวรรค์และมนุษย์ระหว่างหลี่เมี่ยวเจินและฉู่หยวนเจิ่น ในตอนนั้นหยางเชียนฮ่วนเองก็ ‘บังเอิญ’ ถูกขังไว้ที่ด้านล่างหออีกเช่นกัน

ถ้าเขารู้เรื่องที่สวี่หนิงเยี่ยนทำล่ะก็มีหวังได้ตีอกชกหัวตัวเองด้วยความอิจฉาแน่นอน…และหลี่เมี่ยวเจินไม่ได้วางแผนที่จะบอกเขาตอนนี้ อย่างน้อยก็ต้องรอจนกว่าอาการบาดเจ็บของสวี่ชีอันจะคงที่

ดังนั้นนางจึงกลั้นรอยยิ้มเอาไว้ ประสานมือพลางพูดอย่างสัตย์ซื่อ “สวี่ชีอันทำให้พี่หยางลำบากแล้ว”

หยางเชียนฮ่วนพยักหน้า พึงพอใจยิ่งกับท่าทางเว้าวอนของเทพธิดานิกายสวรรค์

ทันใดนั้นเขาก็หยิบขวดยาพร้อมด้วยเข็มและด้ายออกจากถุงสำภาระ หยางเชียนฮ่วนเปิดปากของสวี่ชีอันออก จากนั้นเสียง ‘ป๊อก’ ของจุกขวดกระเบื้องลายครามที่ถูกเปิดก็ดังขึ้น ขวดกระเบื้องสี่ห้าขวดถูกกรอกเข้าไปในปากของสวี่ชีอัน

ด้วยวิธีเทียบยาอันแสนโหดร้าย ไม่นานใบหน้าของสวี่ชีอันที่อยู่ในขั้นวิกฤติก็เปลี่ยนเป็นสีม่วงราวกับกำลังขาดอากาศหายใจ

“เขาเป็นอะไรไป?” หลี่เมี่ยวเจินเลิกคิ้วขึ้น

“เขาได้รับบาดเจ็บสาหัสมาก พิษบาดแผลกำลังต่อต้านยาอย่างรุนแรง!”

หยางเชียนฮ่วนอธิบายอย่างเป็นเหตุเป็นผล พลางตบกรามของสวี่ชีอันให้เขากลืนยาลงไป

อาการของการต่อต้านยาอย่างรุนแรงเป็นเช่นนี้หรือ? เจ้าแน่ใจนะว่าไม่ได้แก้แค้นน่ะ? จอมยุทธ์หญิงนกนางแอ่นเหินหันหน้าไปมองเขา

หลังจากเทียบยาแล้ว หยางเชียนฮ่วนก็เย็บแผลให้เขาอีกครั้ง เลือดค่อยๆ หยุดไหล ก่อนเอ่ย

“ข้ารักษาได้เพียงอาการบาดเจ็บของเขาเท่านั้น หากต้องการจะช่วยเขา ท่านอาจารย์ต้องลงมือด้วยตัวเอง”

“แม้แต่ท่านก็ทำไม่ได้งั้นหรือ?” หลี่เมี่ยวเจินตกตะลึง

ในความคิดของนาง หยางเชียนฮ่วนนับว่าเป็นผู้อาวุโสคนหนึ่งของสำนักโหราจารย์ นอกจากท่านโหราจารย์แล้ว ในสำนักโหราจารย์ หลี่เมี่ยวเจินก็ไม่เคยเห็นโหรที่ระดับสูงไปกว่าหยางเชียนฮ่วนเลย

หยางเชียนฮ่วนนิ่งเงียบอยู่นาน จากนั้นค่อยๆ พูดขึ้น “เด็กคนนี้หาเรื่องใส่ตัวเอง ไม่เกี่ยวกับความสามารถของข้าสักหน่อย”

คำคมของศิษย์พี่หยางที่ว่า ‘หากฟ้าไม่สร้างข้าหยางเชียนฮ่วน ราชวงศ์ต้าฟ่งคงราวกับค่ำคืนอันยาวนาน’ ในความคิดของหลี่เมี่ยวเจินแล้วถือเป็นการยั่วยุซึ่งๆ หน้า

เขาหยุดครู่หนึ่งและพูดต่อ

“เขาคงลั่นประกาศิตขงจื๊อเป็นแน่แท้ เฮ้อ ตนปราศจากร่างแห่งปราณแท้ๆ กล้าใช้วรยุทธ์ของลัทธิขงจื๊อได้อย่างไร ดูจากบาดแผลอันน่าสลดใจบนร่างกายของเขาแล้ว เขาใช้วรยุทธ์ลัทธิขงจื๊อไปเพื่ออะไรกัน?”

หลี่เมี่ยวเจินครุ่นคิดอยู่นานพร้อมเอ่ย “บางทีอาจเกี่ยวกับพลังต่อสู้และสถานะก็เป็นได้”

“ทะเยอทะยานจะยกระดับพลังต่อสู้น่ะหรือ…ไม่กลัวตายจริงๆ สินะ” หยางเชียนฮ่วนเดาะลิ้นของเขา

“ขั้นสี่ลัทธิขงจื๊อล้วนไม่มีผู้ใดกล้าเล่นเช่นนี้หรอก”

“จริงหรือ?” หลี่เมี่ยวเจินเอ่ยถาม

“แน่นอนสิ!”

หยางเชียนฮ่วนทำปากยื่น

“เวลาต่อสู้ขั้นสี่สำนักอวิ๋นลู่มักกล้าพูดเพียงไม่กี่ประโยค อย่าง ‘กางเกงหลุดแล้ว’ หรือไม่ก็ ‘ถอยออกไปร้อยลี้’ วิธีเหล่านี้ได้ผลชะงัดนัก ทั้งไม่ทำให้เกิดการนองเลือดมากจนเกินไปด้วย นั่นเป็นเพราะพลังปราณอันน่าเกรงขามสามารถทรยศหักล้างได้จึงทำให้เกิดข้อจำกัด มิฉะนั้นลัทธิขงจื๊อคงไม่ขึ้นเป็นใหญ่หรอก จริงหรือไม่?”

หลี่เมี่ยวเจินกล่าว “ในยุคที่ลัทธิขงจื๊อรุ่งเรือง ไม่ใช่ว่ายิ่งใหญ่อยู่แล้วหรือ?”

หยางเชียนฮ่วนไม่อยากต่อความยาวสาวความยืดกับแม่นางผู้นี้อีก เขาจึงกระแอมไอพลางพูดว่า “รอจนกว่าเขาจะซึมซับยาเข้าไปเบื้องต้น เมื่อความเจ็บปวดทุเลา เราค่อยพาเขากลับไปก็แล้วกัน หึ อย่าได้ประมาทความเจ็บปวดเชียว มันอาจคร่าชีวิตเขาถึงตายได้”

เขาเดินจ้ำอ้าวออกไปข้างนอก “ข้าจะออกไปเดินเล่นสักหน่อย”

ไต้ซือแห่งสำนักโหราจารย์อย่างหยางเชียนฮ่วนมาถึงทั้งที จะให้หลบซ่อนบารมีได้อย่างไร ต้องออกไปแสดงตนให้เป็นที่ประจักษ์ต่อหน้าคนอื่นสิ

‘ครืด…’

เขาเปิดประตูทางเข้าเมืองเวิ่ง พลันปรากฏตัวต่อหน้าทหารอารักขาด้านนอก

เหล่าทหารอารักขามึนงงเล็กน้อยเมื่อเห็นชายในชุดขาวปรากฏตัวขึ้นกะทันหัน

ดวงตาของหยางเชียนฮ่วนที่ซ่อนอยู่ภายใต้ริ้วผ้าของหมวกค่อยๆ กวาดมองใบหน้าที่งุนงงเหล่านั้น น้ำเสียงเรียบนิ่งวางท่าทีสงบเสงี่ยมราวปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ป่าวประกาศก้อง

“ข้าคือหยางเชียนฮ่วนแห่งสำนักโหราจารย์ ลูกศิษย์คนที่สามของท่านโหราจารย์”

โหรแห่งสำนักโหราจารย์…ลูกศิษย์คนที่สามของท่านโหราจารย์…

หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง ทันใดนั้นทหารอารักขาที่อยู่นอกเมืองเวิ่งก็ส่งเสียงโห่ร้องครืนครั่น

หือ ยินดีต้อนรับอย่างนั้นหรือ? นี่ นี่มันไม่สมเหตุสมผลเอาเสียเลย…ไม่สิ นี่สมเหตุสมผลแล้ว! หยางเชียนฮ่วนเหยียดหลังตรงในทันใด จากนั้นก็หันหลังชี้ไปที่ท้ายทอยอย่างมั่นอกมั่นใจต่อหน้าฝูงชน

แต่ทว่าท้ายทอยของเขาถูกปกคลุมอยู่ในริ้วผ้า

ขณะนั้นเขาก็ได้ยินเสียงทหารที่อยู่ห่างออกไปตะโกนถามท่ามกลางเสียงโห่ร้องว่า “เกิดอะไรขึ้น ทุกคนนี่มันเกิดอะไรขึ้น?”

ทหารคนหนึ่งเอ่ยตอบ “ชายผู้นั้นเป็นโหรของสำนักโหราจารย์ ลูกศิษย์คนที่สามของท่านโหราจารย์ขอรับ”

“ว่าไงนะ? ช่างโชคดีเหลือเกิน โชคดีจริงๆ…”

“ใช่ๆ ฆ้องเงินสวี่รอดแล้ว ในที่สุดฆ้องเงินสวี่ก็ได้รับการช่วยเหลือเสียที”

ผู้คนต่างร้องไห้ด้วยความดีใจ

ในฐานะพลเมืองของต้าฟ่ง ใครบ้างจะไม่รู้ว่าโหรของสำนักโหราจารย์สามารถชุบชีวิตคนตายให้ฟื้นขึ้นมาใหม่ได้

‘ที่พวกเขาโห่ร้องเป็นพะ…เพราะสวี่ชีอันรอดแล้ว ไม่ใช่ข้าอย่างนั้นหรือ?!’

หัวใจของหยางเชียนฮ่วนพลันจมดิ่งเมื่อได้ยิน ยังคงหันหลังให้ฝูงชน ก่อนมือที่ยกขึ้นจะถูกวางลงอย่างแรง

เมื่อเห็นท่าทางของเขา เหล่าทหารก็ค่อยๆ เงียบเสียงลง

หยางเชียนฮ่วนกดเสียงต่ำเอ่ย “สวี่ชีอัน เขาทำอะไรงั้นหรือ?”

เขารู้ดีว่าสวี่ชีอันเป็นที่นิยมชมชอบในต้าฟ่งมาก (ซึ่งฉกฉวยมาจากหยางเชียนฮ่วน) ทว่าแม้แต่หัวหน้าทหารที่รู้จักเพียงการสู้รบกลุ่มนี้ก็ยังเทิดทูนฆ้องเงิน อีกทั้งฉากเบื้องหน้านี้ยังดูเกินจริงไปหน่อยด้วย

เขาอดรู้สึกแปลกไม่ได้

“คุณธรรมของฆ้องเงินสวี่สูงส่งเทียมฟ้า เพื่อลดแรงบีบคั้นของพวกเรา เขาจึงถลาเข้าประจัญบานสนามรบแต่เพียงผู้เดียวขอรับ” ทหารคนหนึ่งกล่าว

‘เหอะ กะเจริญรอยตามครั้นที่ไช่ซื่อโข่วฆ่ากั๋วกงล่ะสิ เขาถึงรู้วิธีเอาชนะใจผู้คนเป็นอย่างดีขนาดนี้!’ หยางเชียนฮ่วนวิเคราะห์ ในใจไม่ได้นึกอิจฉา เขามองท่าทีของสวี่ชีอันทะลุปรุโปร่งมานานแล้ว

“ฆ้องเงินสวี่บุกตะลุยเดี่ยว ข้าศึกโจมตีได้เพียงสองครั้งก็ล่าถอย เขาบั่นคอคนนับหมื่นคนเชียวนะขอรับ”

บั่นคอคนนับหมื่น ข้าศึกโจมตีได้เพียงสองครั้งก็ล่าถอย…เมื่อได้ยินหยางเชียนฮ่วนก็ค่อยๆ ตกตะลึง ทัศนะพร่ามัวไปทีละน้อย

“ฆ้องเงินสวี่อาศัยความแข็งแกร่งของเขา บั่นคอกษัตริย์เหยียนหนู่เอ่อร์เฮ่อเจียท่ามกลางกองทัพนับหมื่นเลย”

“ฆ้องเงินสวี่ไร้เทียมทาน”

“ชั่วชีวิตนี้ขอติดตามฆ้องเงินสวี่ตลอดไป”

ขณะพร่ำรำพันเหล่าทหารก็ตะโกนร้องออกมาทั้งดวงตาที่แดงก่ำ

หยางเชียนฮ่วนปิดประตูเมืองเวิ่งลงอย่างเงียบๆ

หลี่เมี่ยวเจินที่ได้ยินเสียงปิดประตูจึงออกมาดู เพียงเห็นหยางเชียนฮ่วนยืนพิงประตู จากนั้นก็ค่อยๆ ทรุดลงไปที่พื้น หมวกบิดเบี้ยวไปหมด…

“ท่านเป็นอะไรไปน่ะ”

ใบหน้าหลี่เมี่ยวเจินคล้ายกับว่า ‘ข้าเป็นเทพธิดาที่ได้รับการฝึกฝนมาอย่างเคร่งครัด ไม่ว่าอยากจะหัวเราะออกมาเพียงใดก็ห้ามทำเด็ดขาด’

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง