บทที่ 473 ว่าอย่างไรนะ? ฆ้องเงินสวี่บั่นคอกองทัพศัตรูด้วยดาบเดียว?
“เว่ยเยวียนเพิ่งจะยกทัพไปปราบแท่นบูชาหลักของสำนักพ่อมดไม่ใช่หรือ? ไม่ใช่ว่าทะลวงผ่านแผ่นดินส่วนลึกของเหยียนกั๋วเข้าไปหรอกหรือ”
เฉียนชิงซูตกใจจนตาเบิกโพลงเท่าไข่ห่าน
ตามการคาดการณ์ของเหล่าขุนนางผู้สูงศักดิ์ สำนักพ่อมดที่พ่ายแพ้ย่อยยับมีแนวโน้มที่จะกล้ำกลืนความโกรธแค้นของตน และฟื้นกำลังกลับมา
หรืออาจจะเรียกขวัญกำลังใจของชาวเมืองกลับมาเป็นอันดับแรก ด้วยการฟื้นฟูบ้างเมือง จัดระเบียบกองทัพใหม่อีกครั้ง ซึ่งงานเหล่านี้ไม่สามารถเสร็จสิ้นได้ภายในเวลาสองสามเดือนถึงครึ่งปี
ไฟสงครามปะทุขึ้นในอาณาเขตของสำนักพ่อมด ราษฎรต้องหนีตาย บ้านเมืองล่มสลาย แม้แต่แท่นบูชาหลักยังถูกพิชิตและถูกทำลายสิ้น
การฟื้นฟูและเรียกขวัญกำลังใจกลับมาในช่วงหลังสงครามเป็นกระบวนการที่เชื่องช้าและยุ่งยากมาก
ใครเลยจะคิดว่าหลังจากเว่ยเยวียนพิชิตเมืองจิ้งซานได้ไม่ถึงหนึ่งเดือน สองอาณาจักรเหยียนและคังก็รวบรวมกำลังพลถึงแปดหมื่นนาย บุกโจมตีด่านอวี้หยาง?!
พฤติกรรมที่ผิดแผกไปจากวิถีปกติหลังสงคราม ทำเอาปราชญ์มหาสำนักหลายท่านทั้งตกใจ โกรธแค้น และสับสน
หวางเจินเหวินสีหน้าเรียบสงบดุจผิวน้ำ “สถานการณ์การรบเป็นอย่างไรบ้าง…”
หลังจากหยุดไปชั่วขณะ เขาก็เปลี่ยนหัวข้อ “เซียงโจวยึดหัวเมืองได้กี่เมือง”
กองทัพพันธมิตรมีทหารกว่าแปดหมื่นนาย กองทัพศัตรูจะต้องพลีชีพด้วยไฟแห่งความแค้น เป็นไปได้ที่ขวัญกำลังใจของทหารอารักขาชายแดนจะถดถอยหลังจากการสิ้นชีพของเว่ยเยวียนในสนามรบ
จำนวนพลทหารเองก็ต่างกันมาก อีกทัั้งหลี่อี้ยังต้องกลับไปยังเมืองหลวง…ข้อมูลเหล่านี้ล้วนรายงานต่อหวางเจินเหวิน ด่านอวี้หยางแตกพ่ายแล้ว ชาวเมืองเซียงโจวต้องทนทุกข์ทรมานจากการรุกรานของทหารม้า
นี่ทำให้สมุหราชเลขาธิการเฒ่าประจำเมืองรู้สึกตึงเครียดพอสมควร จนนั่งไม่ติดที่
เมื่อได้ยินเช่นนั้น หลี่อี้ก็คลื่ยิ้มออกมา แววตาเต็มไปด้วยความชื่นชม
เขายื้มแล้ว…จ้าวถิงฟางและคนอื่นๆ ต่างมีสีหน้าเฉื่อยชา แต่จากนั้นก็ได้ยินหลี่อี้พูดขึ้นมาว่า
“โชคดีที่ตอนนั้นฆ้องเงินสวี่อยู่ด้วย พลังของเขาเพียงคนเดียว สามารถสยบกองทัพศัตรูได้ราบคาบได้ทั้งหมด”
เมื่อฟังมาถึงตอนนี้ บรรดาปราชญ์มหาสำนักก็ถอนหายใจอย่างโล่งอกโดยไม่รู้ตัว ด้วยความสามารถในการแก้ปัญหาที่ผ่านมาของสวี่ชีอัน เขามันจะมีวิธีคลี่คลายสถานการณ์เสมอ ไม่ว่าจะด้วยกำลังหรือกลยุทธ์อันสุดโต่งใดๆ ก็ตาม
จู่ๆ ก็รู้สึกถึงบางอย่างที่แปลกพิกล ด้วยระดับตบะของสวี่ชีอัน ที่กล่าวว่า ‘พลังของเขาคนเดียว’ เอาจากไหนมาพูด
หวางเจินเหวินขมวดคิ้วแน่น และเอ่ยถามในสิ่งที่ตนสงสัย
หลี่อี้กล่าวว่า “ฆ้องเงินสวี่ฝ่าฟันกองทัพศัตรู ตัดหัวอริรวมกว่าหมื่นหัว สังหารซูกู่ตูหงสยง แม่ทัพแห่งคังกั๋ว ทั้งยังเด็ดหัวหนู่เอ่อร์เฮ่อเจีย ผู้ปกครองเหยียนกั๋วได้ท่ามกลางทหารนับพันได้ด้วยดาบเดียว…”
เมื่อได้ฟังคำพูดที่คมคายของหลี่อี้ เหล่าปราชญ์มหาสำนักต่างตกตะลึงกันยกใหญ่ ใบหน้าที่แก่ชราก็แข็งทื่อไปพร้อมกัน
ถ้วยชาที่สมุหราชเลขาธิการหวางถือไว้ค่อยๆ เอียงลง จนกระทั่งชาร้อนหลั่งริน ลวกมือของเขาจนตื่นจากภวังค์ สะดุ้งโหยงไปทั้งตัว
“จริงหรือ?!”
สมุหราชเลขาธิการหวางได้ยินเสียงอันสั่นเครือของตน
“ข้าน้อยไม่บังอาจรายงานข่าวเท็จได้ ข้าน้อยได้แจ้งต่อกรมทหารแล้ว ที่มาที่นี่ก็เพราะได้รับมอบหมายจากผู้บัญชาการจาง หวังว่าสมุหราชเลขาธิการหวางและใต้เท้าทุกท่านจะรีบพิจารณา ส่งกำลังเสริมไปช่วยชายแดนทั้งสามเมืองโดยเร็ว” หลี่อี้กล่าว
สมุหราชเลขาธิการหวางพยักหน้าน้อยๆ พลางกล่าว “เจ้าออกไปรอข้างนอกก่อนเถิด พวกข้าขอหารือกันสักประเดี๋ยว”
เมื่อหลี่อี้เดินออกไปแล้ว ภายในห้องประชุมก็ตกอยู่ในความเงียบสงัด
เหล่าปัญญาชนทั้งหลาย ต่างนึกถึงภาพของฆ้องทองแดงผู้ต่ำต้อยในปีแห่งการตรวจสอบข้าราชสำนักนั้นขึ้นมาอย่างพร้อมเพรียง โดยไม่ได้นัดหมาย ตัวเขาในตอนนั้น เป็นเพียงคนต่ำต้อยที่เที่ยวก่อเรื่องไปทั่ว โดยอาศัยบารมีของเว่ยเยวียน
มาวันนี้เว่ยเยวียนล่วงลับในสนามรบ เขากลายเป็นบุคคลในตำนานที่ยืนหยัดได้ด้วยตนเอง
สรรพสิ่งหยุดนิ่ง มีเพียงคนที่เปลี่ยนแปลง
จ้าวถิงฟางกล่าวอย่างทอดถอนใจ
“คิดไม่ถึงเลยว่าเขาจะเติบโตขึ้นมาจนถึงจุดนี้ได้ ภายในห้าปีหรืออย่างช้าสิบปี เขาต้องก้าวขึ้นไปแทนที่อ๋องสยบแดนเหนือ และเป็นทหารอันดับหนึ่งแห่งต้าฟ่งได้อย่างไร้ข้อกังขา”
บุกประชิดกำแพงเมืองสังหารศัตรูเรือนหมื่น บั่นคอหนู่เอ่อร์เฮ่อเจียผู้ปกครองเหยียนกั๋วได้ในดาบเดียว
ลำพังแค่คุณงามความดีครั้งนี้ ก็สามารถแต่งตั้งให้เขาเป็นโหวได้สบายๆ
น่าเสียดายที่คนผู้นี้ตัดขาดตำแหน่งขุนนางในดาบเดียว ไม่กลับมารับราชการอีก
เฉียนชิงซูผู้อารมณ์ร้อนกระแทกเสียงเย็นชา
“ฝ่าบาทเห็นแก่ไหวอ๋อง เห็นแก่หน้าตาของราชวงศ์ ถึงขั้นตัดขาดจากเขาไม่เหลือเยื่อใย เขาไม่อาจหวนคืนสู่ราชสำนักและเป็นขุนนางอีกแล้ว แต่ด้วยนิสัยใจคอของเขา ต่อให้ฝ่าบาทจะปล่อยผ่านอดีตที่แล้วมา เขาก็ไม่กลับเข้ามาในราชสำนักอีก”
น่าเสียดาย น่าเสียดายยิ่งนัก!
ปราชญ์มหาสำนักใต้ร่มเศวตฉัตรเอ่ยเสียงทุ้มต่ำ “หลังจากเว่ยเยวียนสิ้นชีพแล้ว เขาอาจจะไปจากเมืองหลวงก็ได้…. “
ปราชญ์มหาสำนักต่างนิ่งเงียบ
เฉียนชิงซูตบโต๊ะหนึ่งที เผยอปากออก แต่ในที่สุดก็ไม่ได้สบถคำผรุสวาทใดออกมา
สมุหราชเลขาธิการหวางกวาดสายตามองสหายคนสนิทผู้นี้ แล้วเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “คิดไม่ถึงว่า การล้างแค้นของสำนักพ่อมดจะมาถึงรวดเร็วขนาดนี้ ช่างไม่สมเหตุสมผลเอาเสียเลย”
เฉินฉี ปราชญ์มหาสำนักตำหนักเจี้ยนจี๋ ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยขึ้น “หนู่เอ่อร์เฮ่อเจียอาจจะถูกไฟแค้นบังตา ทว่าคังกั๋วไม่เป็นเช่นนั้น เหนือจากเขาขึ้นไปยังมีพ่อมดระดับสูงของสำนักพ่อมดอยู่
“จิ้งกั๋วทำศึกกับแดนเหนือ เหยียนกั๋วประสบกับความพ่ายแพ้อย่างหนักหน่วง ต้องฟื้นฟูอย่างเร่งด่วน มีแต่คังกั๋วเท่านั้นที่รักษากำลังทหารไว้ได้เป็นอย่างดี การรุกรานเช่นนี้ อาจจะได้ผลในชั่วขณะหนึ่ง แต่เมื่อใดที่ต้าฟ่งตอบโต้ ส่งกำลังเสริมไปสมทบ เมื่อนั้นดินแดนเหยียนกั๋วก็มีความเสี่ยงที่จะล่มสลาย” ถ้าเห็นข้อความนี้จากที่อื่นโปรดกลับมาเยี่ยมเราบ้างนะ ไอรีนโนเวล ขอบคุนจ้า
สถานการณ์ในปัจจุบัน จิ้งกั๋วทางตอนเหนือถูกปีศาจรุกราน ส่วนแท่นบูชาหลักในเมืองจิ้งซานพังทลาย พ่อมดระดับต่ำและกลางได้รับบาดเจ็บสาหัส
ตราบใดที่ต้าฟ่งยังกัดฟันทน ต่อสู้กับสำนักพ่อมดอีกสักครั้ง เหยียนกั๋วก็มีสิทธิ์ที่จะพินาศย่อยยับ ส่วนคังกั๋วก็จะมีสภาพที่ไม่ต่างกัน
ดังนั้นสมุหราชเลขาธิการหวางจึงเสนอให้ระดมพลจากแว่นแคว้นต่างๆ ทว่ากลับถูกปฏิเสธจากจักรพรรดิหยวนจิ่ง
ปราชญ์มหาสำนักเฉินฉีกวาดตามองทุกคน “เช่นนั้นอะไรคือสาเหตุที่ทำให้พวกเขาบุกลงใต้โดยไม่ยั้งคิดล่ะ”
“บางทีท่านโหราจารย์อาจจะให้คำตอบเราได้ “สมุหราชเลขาธิการหวางเอ่ยเสียงเคร่งขรึม จากนั้นหันไปมองเฉียนชิงซู และกล่าว “ชิงซู เชิญแม่ทัพท่านนั้นกลับมา”
หลี่อี้กลับเข้ามาในห้องประชุมอีกครั้ง สมุหราชเลขาธิการหวางกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ยังมีเรื่องใดอีกหรือไม่”
หลี่อี้ลังเลอยู่เล็กน้อย ก่อนจะกล่าว “เฉินอิงมาถึงเมืองหลวงหรือยัง”
สมุหราชเลขาธิการหวางระลึกความทรงจำเล็กน้อย พอจำได้รางๆ ว่าเฉินอิงเป็นใคร ก็ส่ายหน้าพร้อมกล่าวว่า “ยังไม่ถึง เรื่องนี้มีอะไรอีกหรือ”
ดูเหมือนว่าเขาจะไม่ได้รวดเร็วถึงขนาดนั้น….หลี่อี้แสดงท่าทีขุ่นเคืองออกมา
“นอกจากเสบียงอาหารและหญ้าที่ติดตัวมาระหว่างการเดินทางแล้ว กองสนับสนุนแนวหลังก็ไม่เคยส่งเสบียงอาหารมาให้อีกแม้แต่ครั้งเดียว กองทัพกำลังต่อสู้กับศัตรู แต่กรมการคลังของสามเมืองกลับตัดเสบียงของพวกเรา ตอนที่พวกข้าถอยทัพกลับมา ก็ไปพบขุนนางกรมการคลังทั้งสามเมือง ถึงได้รู้ว่าเสบียงกองทัพหายไปแล้ว”
เมื่อถ้อยคำนี้เปล่งออกมา บรรดาปราชญ์มหาสำนักในที่นั้นก็สีหน้าเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว เฉียนชิงซูค่อยๆ ลุกขึ้นยืนอย่าง ‘ช้าๆ’
สมุหราชเลขาธิการหวางเคาะนิ้วที่โต๊ะรัวๆ น้ำเสียงของเขาพลันร้อนรนใจยิ่งขึ้น
“หมายความว่าอย่างไรที่ว่าเสบียงหายไป แล้วเสบียงที่ขนส่งไปยังชายแดนก่อนที่กองทัพจะออกเดินทางล่ะ? กรมการคลังของสามเมืองไม่ตรวจนับเลยหรือ พวกเจ้าไม่ได้นับรวมเลยหรือ พนักงานคุ้มกันอยู่ที่ใด ไม่ได้กำกับดูแลเสบียงกันเลยหรือ”
สิ่งที่สำคัญที่สุดในการทำศึกสงครามคืออะไร
ข้าวและหญ้าสำคัญที่สุด คนนับแสนต้องกินข้าว ม้าก็ต้องกินหญ้า หากไม่มีเสบียงก็ต้องลุกฮือขึ้นก่อกบฏ
“ปกติพวกข้าส่งคนไปเก็บอยู่แล้ว แต่พอพวกข้าถอนทัพกลับมา จึงได้พบว่าเสบียงอาหารหายไปแล้ว มีคนขโมยไปตั้งแต่แรก พวกเจ้าพนักงานคุ้มกัน และกำกับติดตามเสบียงก็หาตัวไม่พบ
“พอเฉินอิงไปไต่ถามขุนนางกรมการคลัง พวกขุนนางชาติหมาพวกนั้นก็เอาแต่บอกว่าตนทำตามคำสั่ง ไม่ยอมอธิบายอะไรสักคำ ดังนั้น…เฉินอิงก็เลยโมโห ฆ่าพวกมันทิ้งหมดเลย”
หลี่อี้ก้มหน้างุด และพูดออกมาทุกอย่าง
ตู้ม!
ราวกับถูกฟ้าผ่าเข้ากลาวศีรษะ ปราชญ์มหาสำนักทั้งหลายต่างแน่นิ่งกันหมด
“ทำตามคำสั่ง ทำตามคำสั่งของใคร ทำตามคำสั่งของใคร ?! จะ เจ้าเฉินอิงนั่น…ใครใช้ให้มันฆ่าคนทิ้งเสียหมด เล่นฆ่าจนเกลี้ยงแล้ว เราจะไปถามใครล่ะทีนี้
“ไอ้คนชั้นต่ำ ไอ้สวะเวรตะไล!”
เฉียนชิงซูผู้อารมรณ์ร้อนโกรธจนสติหลุดไปแล้ว
มีเพียงสมุหราชเลขาธิการหวางเท่านั้นที่ยังนิ่งเงียบอยู่ เขาจมจ่อมในห้วงความคิดอยู่นาน จนกระทั่งการโต้เถียงของเหล่าปราชญ์มหาสำนักเริ่มซาลง ก็หยิบหมวกขุนนางที่วางไว้ข้างตัวขึ้นอย่างเงียบเชียบ เมื่อสวมแล้ว ก็เดินจากไปช้าๆ
“ข้าจะไปพบท่านโหราจารย์”
น้ำเสียงของเขาไม่ยินดียินร้าย
…
ขณะนี้ ภายในที่ทำการกรมทหาร เจ้ากรมทหารกำลังนั่งอ่านรายงานข่าวกรองอยู่ในห้อง
ในเนื้อหาบันทึกไว้เพียงสองเรื่อง เรื่องแรก เหยียนกั๋ว และคังกั๋วสองอาณาจักรบุกโจมตีด่านอวี้หยาง พ่ายแพ้ให้กับสวี่ชีอันเพียงคนเดียว สังหารศัตรูนับหมื่น และผู้ปกครองเหยียนกั๋ว ฝ่ายกองทัพพันธมิตรพ่ายแพ้!
เรื่องที่สอง เสบียงอาหารและหญ้าสูญหายไปอย่างไร้ร่องรอย
นอกจากรายงานข่าวกรองแล้ว ยังมีจดหมายลายมือของจางไคไท่อีกหนึ่งฉบับ ที่ขอร้องให้เจ้ากรมทหารและฝ่ายตรวจการจางสิงอิงช่วยเหลือเฉินอิงด้วย
สังหารขุนนางกรมการคลังเช่นนี้ก็เท่ากับก่อกบฏ
ตั้งแต่สมัยโบราณ การก่อกบฏนั้น ลูกน้องยังได้รับการให้อภัย แต่ผู้นำต้องตายสถานเดียว
เจ้ากรมทหารเป็นคนที่เว่ยเยวียนผลักดันกับมือ ถือเป็นกระดูกสันหลังของพรรคเว่ย
เจ้ากรมทหารครุ่นคิดอยู่นาน ก่อนจะเรียกคนสนิทเข้ามา และกล่าว “ปล่อยเนื้อหาข่าวกรองออกไป พูดเฉพาะเรื่องแรก อย่าปริปากถึงเรื่องที่สอง”
เรื่องเสบียงยังไม่เป็นที่แน่ชัด อีกทั้งยังเป็นเรื่องใหญ่ จึงยังไม่เหมาะที่จะเปิดเผยในตอนนี้
แต่เรื่องของสวี่ชีอันนั้นสามารถแพร่งพรายออกไปได้ เป้าหมายเพื่อประกาศชัยชนะในสมรภูมิครั้งนี้ ฝ่าบาททรงลังเล อิดออดไม่อยากมอบยศให้กับเว่ยกงผู้ล่วงลับนักใช่หรือไม่ เช่นนั้นเขาจะกระตุ้นฝ่าบาทเอง
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง