บทที่ 474 เขากำลังยิ้ม
สายลมแรงในฤดูใบไม้ร่วง แผดเสียงผ่านแท่นแปดทิศ ร่างของสมุหราชเลขาธิการหวาง ดูเหมือนจะสั่นคลอนไปตามสายลม
หลังจากผ่านไปนาน เขาก็เปิดปาก เปล่งเสียงอันแหบแห้งออกมา “คดีสังหารหมู่ของไหวอ๋อง เขาก็มีส่วน ใช่หรือไม่”
ท่านโหราจารย์ไม่ได้ตอบโต้อะไร แต่การเงียบก็ไม่ต่างอะไรกับการยอมรับ
ใบหน้าของชายชราอายุมากกว่าห้าสิบปีค่อยๆ ซีดลงทีละน้อย แววตาเต็มไปด้วยความเศร้าหมอง “ทำไมท่านไม่ห้ามตั้งแต่แรก?” เสียงสมุหราชเลขาธิการหวางแหบแห้ง
“แผ่นดินนี้เป็นของเขา ไม่ใช่รึ” ท่านโหราจารย์ถามกลับด้วยรอยยิ้ม
สมุหราชเลขาธิการหวางพูดไม่ออก ในสายตาของเขาเต็มไปด้วยความไม่เข้าใจและความสับสน เพราะแผ่นดินนี้เป็นของบุคคลนั้น เรื่องนี้จึงทำให้เขาไม่เข้าใจเหตุผล ซึ่งมันยากที่จะทำความเข้าใจจริงๆ
กระทั่งก่อนก้าวเข้าสู่หอดูดาว ก่อนบทสนทนานี้ สมุหราชเลขาธิการหวางก็ยังคงสงสัยเกี่ยวกับการคาดเดาของตนเอง
ท่านโหราจารย์กล่าวเพิ่มเติมว่า “แต่แผ่นดินนี้ก็เป็นของประชาชนทั่วไปเช่นกัน”
หลังจากกล่าวประโยคนี้แล้ว เขาก็ไม่พูดอะไรอีก
สมุหราชเลขาธิการหวางเดินจนถึงแท่นแปดทิศ พลางมองไปทางพระราชวัง ความโศกเศร้า ความโกรธ ความสับสน และความผิดหวังรวมอยู่ในสายตาของเขาทั้งหมด
‘ฝ่าบาท เหตุใดพระองค์ถึงต้องก่อกบฏ?!’
สมุหราชเลขาธิการหวางทำความเคารพด้วยการโค้งคำนับอีกครั้ง แต่ครั้งนี้กลับไร้ซึ่งคำถามใดๆ เขาเพียงแค่เดินจากไปอย่างสงบ
…
หอดูดาวชั้นเจ็ด
สวี่ชีอันนอนแน่นิ่งอยู่บนเตียงในห้องนอนราวกับไร้ชีวิต โดยมีโหรชุดขาวท่านหนึ่งกำลังเปลี่ยนยาให้เขา
ซ่งชิงพาโหรชุดขาวที่เลื่อมใสศรัทธาคุณชายสวี่มาเยี่ยมเขาที่ข้างเตียง
“ไอหยา บาดแผลสาหัสจริงๆ”
“เจ็บหนักเช่นนี้ ต่อให้หายดี ก็ย่อมมีโรคเรื้อรังตามมากระมัง”
“พวกเราเปลี่ยนร่างให้คุณชายสวี่ไม่ดีกว่ารึ ข้าคิดว่าเป็นวิธีที่น่าสนใจมาก”
“หลังจากนั้น ร่างนี้ก็เก็บไว้ให้ศิษย์พี่ซ่งทดลองการเล่นแร่แปรธาตุ?”
“คุณชายสวี่หมกมุ่นอยู่กับการเล่นแร่แปรธาตุมาทั้งชีวิต ข้าว่าเขาต้องมีความสุขมาก ที่ได้อุทิศร่างกายให้กับการเล่นแร่แปรธาตุ”
เหล่าโหรชุดขาวกล่าวกระซิบกระซาบ
‘พวกเจ้าเป็นปีศาจรึ?!’ หลี่เมี่ยวเจินเบิกตาโพลง และแทบอยากจะชักดาบไล่คนเหล่านี้ออกไปเสียเดี๋ยวนี้
ซ่งชิงยกมือขึ้นมาห้ามปรามเสียงอึกทึกของเหล่าศิษย์น้อง ก่อนจะกล่าวด้วยความไม่สบอารมณ์ว่า “ช่างวุ่นวายจริงๆ จู่ๆ จะใช้ร่างของคุณชายสวี่มาทำการทดลองได้อย่างไร อย่างน้อยก็ต้องถามความเห็นของเขาบ้าง นี่คือมารยาทขั้นพื้นฐาน”
“ไปไปไป!” หลี่เมี่ยวเจินสบถเล็กน้อย ก่อนจะไล่โหรที่น่ารำคาญเหล่านี้ออกไป
“ศิษย์ของท่านโหราจารย์ ไม่มีใครปกติเลยจริงๆ” นางบ่นกับฉู่ไฉ่เวยที่นั่งอยู่ที่โต๊ะ
ฉู่ไฉ่เวยได้ยินเช่นนั้นก็พยักหน้าเห็นด้วย “ในบรรดาลูกศิษย์ทุกคนที่สืบทอดโดยไต้ซือ ข้าเป็นคนที่ปกติและฉลาดที่สุดแล้ว”
‘บังอาจถามแม่นาง มีความมั่นใจมาจากที่ใดหรือ?’ หลี่เมี่ยวเจินชายตามองนางเล็กน้อย
…
ณ พระราชวัง
ภายในห้องสุสานจักรพรรดิอันโอ่อ่าตระการตา ขันทีชรากำลังรายงานข่าวลือในตลาดอย่างเอาจริงเอาจัง “ทุกคนในตลาดล้วนยกย่องชื่นชมสวี่…เรื่องของเจ้าสุนัขสวี่ชีอันนั่น บางคนก็พูดว่าเขาฆ่าศัตรูไปหนึ่งแสนคน บางคนก็พูดว่าหนึ่งแสนห้าหมื่นคน บางคนก็พูดว่าสองแสนคน และยังมีคนพูดว่าเขาฆ่าทหารชั้นยอดไปห้าแสนนายด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
ขันทีชรากล่าวเพิ่มเติมด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลอีกว่า “ถ้าไม่เช่นนั้นจะมีประโยคที่ว่า คำพูดของคนน่ากลัวที่สุดได้อย่างไร อย่าทรงสนพระทัยทั้งเรื่องดีและไม่ดีเลยพ่ะย่ะค่ะ ยิ่งแพร่กระจายไปมาก ใจความก็ยิ่งเปลี่ยน แต่ถึงแม้สวี่ชีอันผู้นี้จะน่ารังเกียจ แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไร้ประโยชน์เสียทีเดียวนะพ่ะย่ะค่ะ”
จักรพรรดิหยวนจิ่งชายตามองขันทีที่ซ่อนความยินดีไว้ในแววตา และกล่าวด้วยน้ำเสียงสงบนิ่ง “เรียกหยวนสยงและฉินหยวนเต้ามาเข้าเฝ้าข้า”
ขันทีชราเชี่ยวชาญในการพิจารณาจากคำพูดและสีหน้าเป็นอย่างดี เมื่อเห็นว่าฝ่าบาทดูเหมือนจะไม่มีความสุขเท่าใดนัก เขาก็ถอยออกไปอย่างเงียบๆ
ใบหน้าของจักรพรรดิหยวนจิ่งกระตุกอย่างรุนแรง เขาหายใจเข้าลึกๆ เพื่อระงับความโกรธที่ท่วมท้นอยู่ในอก
สำนักพ่อมดไร้ค่าเช่นนี้ กำลังพลทหารชั้นยอดแปดหมื่นนายถูกเด็กคนหนึ่งฆ่าอย่างโหดเหี้ยม แม้แต่นายพลทั้งสองท่านก็ยังตายด้วยน้ำมือของเขา หากไม่สังหารทั้งสามรัฐอย่าง เซียงโจว จิงโจว และอวี้โจวได้ ก็จะไม่สามารถลบล้างโชคชะตาของต้าฟ่ง และความดีของเขาได้เช่นกัน
“เว่ยเยวียนเอ๋ยเว่ยเยวียน ดูเหมือนจะเป็นชะตาฟ้าลิขิต ที่ต้องการให้เจ้ามีชื่อเสียงอันเหม็นโฉ่ไปชั่วกัปชั่วกัลป์!” จักรพรรดิหยวนจิ่งกล่าวพึมพำกับตนเองด้วยสีหน้ามืดมน
หลังจากครึ่งชั่วยาม ขันทีชราก็เข้ามารายงานว่า “ฝ่าบาท ฉินหยวนเต้าและหยวนสยงรอเข้าเฝ้าอยู่ข้างนอกพ่ะย่ะค่ะ”
จักรพรรดิหยวนจิ่งพยักหน้า “ให้ฉินหยวนเต้าเข้ามาก่อน”
“พ่ะย่ะค่ะ!”
ขันทีชราถอยออกไป หลังจากนั้นไม่นาน ก็นำทางรองเจ้ากรมทหารฉินหยวนเต้าเข้ามาด้านในอีกครั้ง
“เจ้าทำได้ดีมาก!”
จักรพรรดิหยวนจิ่งนั่งอยู่ที่โต๊ะขนาดใหญ่ ซึ่งปูด้วยผ้าไหมสีทองอร่าม พลางมองลงมาที่ฉินหยวนเต้า
เขาไม่ได้กล่าวว่าเรื่องอะไร แต่ระหว่างคู่กษัตริย์และขุนนางทั้งสองนี้ย่อมรู้อยู่แก่ใจดีอยู่แล้ว
จักรพรรดิหยวนจิ่งกล่าวต่อไปว่า “คณะปราชญ์มหาสำนักเป็นเสาหลักของประเทศ ข้าพิจารณามานานแล้ว คิดว่าใต้เท้าฉินมีความสามารถอย่างยิ่ง”
“ฝ่าบาททรงชื่นชมเกินไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมไม่คู่ควรกับคำชมเหล่านั้น”
จักรพรรดิหยวนจิ่งโบกมือ และกล่าวว่า “ใต้เท้าฉินไม่ต้องปฏิเสธ รอให้สิ้นเรื่องของเว่ยเยวียน สถานการณ์ของท้องพระโรงก็น่าจะเปลี่ยนแล้ว”
ฉินหยวนเต้าโค้งคำนับอย่างสุดซึ้ง “กินเงินเดือนของจักรพรรดิ แบกความกังวลของจักรพรรดิ การแบ่งเบาความทุกข์ของฝ่าบาท คือหน้าที่ของข้าราชบริพาร”
จักรพรรดิหยวนจิ่งพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ “เจ้าออกไปก่อนเถอะ”
เขาหันไปมองขันทีชรา และกล่าวว่า “ให้หยวนสยงเข้ามาพบข้า”
ไม่นาน หยวนสยงก็เข้ามาในห้องทรงพระอักษร
สีหน้าของจักรพรรดิหยวนจิ่งไม่อ่อนโยนอีกต่อไป เขากล่าวเสียงทุ้มต่ำด้วยความเย็นชาว่า “ว่ากันว่าวิถีการเป็นข้าราชบริพารนั้น สิ่งที่ต้องพิถีพิถันที่สุด ไม่ใช่ทำเพื่อประเทศ ไม่ใช่ทำเพื่อกษัตริย์ หรือทำเพื่อประชาชน แต่เป็นคำสี่พยางค์ที่ว่า ‘วางตัวสำรวม’ รองหัวหน้าสำนักตรวจสอบฝ่ายขวาน่าจะเชี่ยวชาญเรื่องนี้เป็นอย่างดี”
หยวนสยงตกตะลึงอย่างขีดสุด พลางคุกเข่าลงที่พื้น และตะโกนว่า “กระหม่อมสำนึกผิดแล้วพ่ะย่ะค่ะ!”
จักรพรรดิหยวนจิ่งพ่นลมหายใจด้วยความเย็นชา “หืม? เจ้าทำความผิดอะไร ลองพูดให้ข้าฟัง”
หยวนสยงมีประสบการณ์รับราชการมาหลายปี เขาย่อมคุ้นเคยกับเหตุผลที่ว่า อยู่ใกล้กษัตริย์ก็เหมือนอยู่ใกล้เสือ เขาจึงกล่าวด้วยท่าทีหวาดกลัวว่า “การไม่สามารถแบ่งเบาความกังวลของฝ่าบาทได้ ถือเป็นความผิดที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของข้าราชบริพารพ่ะย่ะค่ะ”
สีหน้าของจักรพรรดิหยวนจิ่งเปลี่ยนเป็นนุ่มนวลขึ้น และกล่าวว่า “ตอนนี้เว่ยเยวียนสิ้นชีพที่แท่นบูชาหลักของสำนักพ่อมดในเมืองจิ้งซานแล้ว หน่วยลาดตระเวนยามวิกาลไม่สามารถเป็นเรือที่ขาดหางเสือได้ จำเป็นต้องมีคนมาควบคุมดูแลหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลคนหนึ่ง และฝ่ายตรวจการคนหนึ่ง เดิมทีข้าชอบใจใต้เท้าหยวน”
หยวนสยงเกือบจะได้ยินเสียงหัวใจของตนเองเต้นรัวราวกับกลอง ความตื่นเต้นพลุ่งพล่านไปทั่วร่าง แต่ใบหน้าของเขายังคงสงบนิ่ง และไม่เปิดเผยความรู้สึก พลางโค้งคำนับอย่างสุดซึ้งและกล่าวว่า “กระหม่อมจะรับใช้ฝ่าบาทจนกว่าร่างกายจะเเหลกราญพ่ะย่ะค่ะ”
จักรพรรดิหยวนจิ่งกล่าวว่า “ใต้เท้าหยวนคิดอย่างไรกับสงครามตะวันออกเฉียงเหนือ?”
หยวนสยงกล่าวเสียงดังว่า “ขอฝ่าบาททรงชี้ทางสว่างด้วยพ่ะย่ะค่ะ!”
…
วันถัดมา การประชุมตอนเช้าดำเนินไปตามปกติ
สามวันมานี้ ราชสำนักล้วนหารือถึงผลที่ตามมาภายหลังอย่างแข็งขัน แต่ขุนนางทุกคนรู้อยู่แก่ใจดีว่า สิ่งที่สำคัญที่สุดอย่างแท้จริงยังไม่เริ่มต้นขึ้น
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง