ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง นิยาย บท 490

บทที่ 490 กลยุทธ์สองพ่อลูก

แม้จะมี ‘กำแพง’ อันเลือนรางไม่ชัดขวางกั้นอยู่หนึ่งชั้น แต่สวี่ชีอันกลับสามารถจินตนาการถึงมันได้ โหรในชุดสีขาวผู้นั้นทำสีหน้าเคร่งขรึม อีกทั้งยังดูบูดบึ้งไม่น่ามอง…

“หรือจะให้เรียกเจ้าว่า ‘สวี่ผิงเฟิง’ ดีเล่า หากว่านี่คือนามจริงของเจ้าละก็”

โหรชุดขาวไม่ตอบอันใด ภายในหุบเขาพลันเงียบสงัด สองพ่อลูกต่างจ้องหน้ากันอย่างนิ่งเงียบ

คนหนึ่งสวมชุดขาวดั่งหิมะ อีกคนกลับเปรอะเปื้อนด้วยสีแดงโลหิต

สายลมพัดพาชุดสีขาวของโหรปลิวไสว ไม่นานนักเขาก็ถอนหายใจดูราวกับขอยอมแพ้ ก่อนจะเอ่ยว่า “เจ้ารู้ได้อย่างไร?”

สวี่ชีอันยิ้มยิงฟันพร้อมกับทำสายตาโอหัง “เจ้าทายดูสิ”

ใบหน้าของเขาซีดเซียว เสื้อผ้าต่างก็ขาดรุ่งริ่งปนเปื้อนเต็มไปด้วยเหงื่อเย็นและหยาดเลือด ทว่าหลังรู้ตัวตนที่แท้จริง สายตาคู่นั้นกลับยิ่งดูทระนงมากขึ้นเรื่อยๆ

โหรชุดขาวลังเลไปชั่วครู่หนึ่ง แล้วกล่าวว่า “สำเร็จวิชาความลับสวรรค์…”

สวี่ชีอันหัวเราะเสียงเย็น “ย่อมสำเร็จเป็นธรรมดา และอย่างไร้รอยตำหนิอีกด้วย สำหรับข้าแล้ว วิชาอำพรางความลับสวรรค์ยังมีข้อบกพร่อง นั่นก็คือมันไม่ได้ไร้ที่ติเสียทีเดียว”

โหรชุดขาวมิได้กล่าวอันใด ทำเพียงเสกรวมแผ่นหินเล็กๆ ร้อยแปดชิ้นจนเปลี่ยนสภาพเป็นหินขนาดมหึมา ก่อนจะหลอมกับโชคชะตาภายในร่างของสวี่ชีอัน

สวี่ชีอันที่ร่างกายกำลังอยู่ในขั้นวิกฤติกลับเอ่ยอย่างสุขสบายว่า “วิชาอำพรางความลับสวรรค์ นี่น่ะหรือวิชาอำพรางความลับสวรรค์? สิ่งที่จะซ่อนเร้นคนคนหนึ่งออกจากโลกได้อย่างสมบูรณ์แบบ? เห็นกันอยู่ชัดๆ ว่าไม่ใช่ มิเช่นนั้นคงไม่มีคนรู้เรื่องท่านโหราจารย์รุ่นที่หนึ่งหรอก และท่านโหราจารย์คนปัจจุบันคงได้กลายเป็นรุ่นที่หนึ่งในสายตาโลกไปแล้ว

“เมื่อข้ารู้ความจริงเบื้องหลังของคดีภาษี และรู้ว่าเจ้าคือศัตรูตัวฉกาจที่ซ่อนอยู่ในเงามืด ข้าก็ครุ่นคิดมาตลอดว่าจะรับมือกับวิชานี้อย่างไรดี โดยเฉพาะสิ่งที่ยากจะคาดเดาอย่างวิชาอำพรางความลับสวรรค์ บัดนี้เจ้าจะซ่อนเร้นตัวตนของข้า สถานการณ์นี้ข้าไม่เคยคิดมาก่อน

“ช้าก่อนเถิด ข้าทำการสรุปได้ว่าวิชาอำพรางความลับสวรรค์มีข้อจำกัดอยู่สองประการ

“ประการแรก วิชาอำพรางความลับสวรรค์มีขอบเขตจำกัด ซึ่งขอบเขตนี้มีสองด้าน ข้าแบ่งเป็นด้านผลกระทบและด้านความสัมพันธ์ระหว่างเหตุกับผล

“ทุกสิ่งย่อมมีผลกระทบ หากเจ้าซ่อนเร้นหินข้างทางก้อนหนึ่ง จะไม่มีใครพบว่ามันหายไป มันจะเสมือนถูกลบล้างออกโลกนี้อย่างสมบูรณ์แบบ เพราะมันไม่ส่งผลกระทบอันใดตั้งแต่แรก เป็นเพียงหินก้อนหนึ่งที่ไร้คนให้ความสนใจ

“แต่เจ้าไม่อาจซ่อนเร้นตำหนักกระดิ่งทองในพระราชวังได้ เพราะสำคัญเกินไป สำคัญเกินกว่าจะไม่มีมัน ผู้คนจะรู้ถึงปัญหานี้ เพราะมันไม่สมเหตุสมผลเอาเสียเลย และผลกระทบจากวิชาอำพรางความลับสวรรค์ก็จะเริ่มปรากฏขึ้นทีละนิด

“ก็เหมือนกับท่านโหราจารย์คนปัจจุบันที่ได้ซ่อนเร้นรุ่นที่หนึ่งไป ปิดบังทั้งห้าร้อยปีก่อนล้วนสิ้น ทว่าผู้คนยังรู้ว่าจักรพรรดิอู่จงก่อกบฏชิงราชบัลลังก์อยู่ เพราะเรื่องราวมันใหญ่โต ไม่อาจเทียบกับหินข้างทาง

“เช่นเดียวกับตรรกะที่ว่า นำสิ่งของเปลี่ยนเป็นมนุษย์ หากเจ้าซ่อนเร้นคนคนหนึ่งไป เช่นนั้นก็เสมือนว่าได้เกี่ยวพันกับเขาคนนั้น หรือถ้าเป็นคนที่ไม่ความสัมพันธ์อันใดเลย ก็อาจลืมเขาหมดสิ้นได้ เพราะคนคนนี้เหมือนมีตัวตนแต่ก็ไม่มีตัวตน ย่อมไม่ส่งผลกระทบต่อชีวิตของผู้คนอยู่แล้ว

“แต่หากเขาคนนั้นมีญาติสนิท มิตรสหาย หรือกระทั่งเพื่อนสาวที่เขาแอบรัก มันจะไร้ความสมเหตุสมผลทันที ยกตรรกะง่ายๆ เช่น หากเจ้าซ่อนเร้นบิดามารดาของข้า ข้าก็ยังคงไม่อาจลืมบิดามารดาได้ เพราะเป็นมนุษย์ย่อมมีบิดามารดา ไม่มีใครเกิดออกมาจากก้อนหินหรอก

“ด้วยเหตุนี้จึงต้อง ‘พูดโน้มน้าว’ ตัวเอง เพื่อให้ทุกสิ่งสมเหตุสมผลกัน ก็อาจต้องโกหกตัวเอง คอยพร่ำบอกตัวเองว่า ยามที่ข้าเพิ่งเกิดบิดามารดาได้เสียไปแล้ว และนี่คือความสัมพันธ์ระหว่างเหตุกับผล ยิ่งเหตุกับผลสัมพันธ์กันลึกล้ำมากเท่าไร ก็ยิ่งยากที่จะโดนวิชาอำพรางความลับสวรรค์เท่านั้น”

ความจริงแล้วยามแรกเริ่มที่อยู่ในตำหนัก ณ ยงโจวนั้น บังเอิญเจอเข้ากับท่านโหรแห่งพงไพรกงหยางซู่ และได้บอกกับสวี่ชีอันว่า ตนเป็นโหรแห่งพงไพรของท่านโหราจารย์รุ่นที่หนึ่ง ซึ่งได้รับการสืบทอดวิชาอำพรางความลับสวรรค์จากเขามานานแล้ว ซ้ำยังอธิบายวิชาอย่างละเอียดชัดเจน

โหรชุดขาวถอนหายใจกล่าว “ร้ายแรงเสียจริง แล้วข้อจำกัดประการที่สองคืออะไร”

สวี่ชีอันเอ่ยเสียงทุ้ม “ข้อจำกัดประการที่สองก็คือ หากเป็นชาวยุทธ์ผู้ที่มีฝีมือระดับสูงจะซ่อนเร้นได้เพียงชั่วระยะหนึ่งเท่านั้น”

เว่ยเยวียนสามารถระลึกถึงการมีอยู่ของท่านโหราจารย์รุ่นที่หนึ่งได้ แต่เมื่อพยายามใคร่ครวญสุดความสามารถจากแหล่งข้อมูลต่างๆ แล้ว กลับมีความรู้สึกแปลกแยกต่อข้อมูลประวัติศาสตร์ จึงตระหนักได้ในทันทีว่าสำนักโหราจารย์ยังมีท่านโหราจารย์รุ่นที่หนึ่งอยู่อีกคน

โหรชุดขาวผงกศีรษะ “ก็ต้องดูเหตุและผลด้วย ถ้าชาวยุทธ์ที่มีฝีมือระดับสูงไม่ได้เกี่ยวพันกับเจ้าล้ำลึก คงจำเจ้าผู้นี้ไม่ได้ตั้งแต่แรกด้วยซ้ำ ทว่าหากเหตุและผลของเจ้าต่างสัมพันธ์กันอย่างลึกซึ้งขั้นสุด อาจจะมีคนจำเจ้าได้ไวๆ แต่ประเดี๋ยวก็ลืมเลือนอย่างรวดเร็วอีกครา กลายเป็นวัฏจักรเช่นนี้ไป

“มิน่าเล่า ลั่วอวี้เหิงและจ้าวโส่วถึงระลึกถึงเจ้าได้ ทว่าพวกเขาหาที่นี่ไม่เจอหรอก เดิมทีการซ่อนเร้นเทียนจีของเจ้า ก็แค่เพื่อยื้อเวลาเท่านั้น”

นี่ชักจะดูน่ากลัวแล้วสิ…สวี่ชีอันเริ่มหวั่นใจ จึงเอ่ยต่อว่า “ความจริงข้ายังได้คาดเดาข้อจำกัดประการที่สามไว้ แต่ยังไม่ได้รับการยืนยันให้แน่ชัด สู้ให้เจ้าอธิบายความรู้สึกข้องใจให้ฟังจะดีกว่ากระมัง?”

แม้ท่าทีของโหรชุดขาวจะชะงักไปครู่หนึ่ง แต่เขาก็พึมพำกับตัวเองว่า “หากตอนนี้ปรากฏตัวต่อหน้าญาติ หรือสู่สายตาชาวเมืองหลวง พวกเขาจะจำจดข้าได้ไหม? อาคมของวิชาอำพรางความลับสวรรค์จะสิ้นสุดลงหรือไม่?”

“สิ่งนี้สำคัญมากรึ?”

โหรชุดขาวกล่าวพลางบรรจงวาดค่ายกลจากความว่างเปล่า อักขระแต่ละตัวพลันรวบรวมพากันเปล่งแสงพร่างพราย จากนั้นก็เข้าสู่ภายในร่างกายสวี่ชีอัน เพื่อเร่งความเร็วของการหลอมโชคชะตา

“สำคัญมาก หากการคาดเดาของข้าสอดคล้องกับข้อเท็จจริง เช่นนั้นยามเจ้าเผยตัวบนท้องฟ้าในเมืองหลวง ปรากฏตัวต่อสายตาผู้คน อาคมของวิชาอำพรางความลับสวรรค์จะสิ้นสุดลง ซึ่งอารองของข้าจะจำเจ้าได้ในสถานะที่เป็นพี่ใหญ่”

โหรชุดขาวเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ยังจำได้อยู่หรือ?”

สวี่ชีอันยกยิ้มมุมปาก “ท่านโหราจารย์มีทั้งสิ้นหกท่าน แต่ข้าคบค้าสมาคมกับเหล่าโหรของสำนักโหราจารย์มาช้านาน ในหมู่พวกเขาไม่มีใครได้ยินข่าวเกี่ยวกับศิษย์เอกสักคน ซึ่งนี่มันผิดปกติอย่างมาก

“พอมาคิดดูภายหลัง สิ่งเดียวที่สามารถอธิบายได้ก็คือ เขาซ่อนเร้นตัวเอง

“ทว่าในตอนนั้นข้าคิดไม่ถึงว่าศิษย์เอกของท่านโหราจารย์ จะเป็นโหรผู้มีฝีมือระดับสูงที่ปรากฏตัวในอวิ๋นโจว อีกทั้งยังเป็นฆาตกรที่คอยอยู่เบื้องหลัง เพราะข้ายังไม่รู้เรื่องการสืบทอดระหว่างโหรขั้นหนึ่งและขั้นสอง”

เขารู้เพียงหากโหรขั้นสองอยากเลื่อนระดับเป็นขั้นหนึ่ง จำเป็นต้องแทงข้างหลังอาจารย์ ซึ่งความจริงทุกอย่างถูกเปิดเผยนานมาแล้ว และไม่แน่อาจถูกทำร้ายจากการโคจรแห่งดาวเหวินฉวี่[1]อย่างคนสกุลสวี่ผู้นี้ด้วย

สวี่ชีอันพูดจาฉะฉาน ราวกับเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการสืบสวนที่มากประสบการณ์ และเสมือนว่าสถานการณ์ได้พลิกผันไปแล้ว เพราะโหรชุดขาวเริ่มที่จะตั้งใจฟังอย่างเงียบสงบ

ยามนี้สวี่ชีอันตกอยู่สภาวะความเป็นความตายขึ้นอยู่กับอีกฝ่าย กลับเอ่ยอย่างช้าๆ ไม่ได้มีความร้อนรนอันใด

ในเมื่อรู้ตัวตนของโหรชุดขาวตั้งนานแล้ว ก็น่าจะรู้อยู่แล้วว่าโชคชะตาของตัวเองเป็นเขาที่ได้มอบให้ สวี่ชีอันกลับชะล่าใจงั้นรึ?

แต่ไม่มีใครไม่ห่วงชีวิตความปลอดภัยของตัวเองหรอก

“เดิมทีถ้าวิเคราะห์ตามสถานการณ์นี้ ไม่ช้าก็เร็วข้าจะรู้อยู่ดีว่าศัตรูตรงหน้าคือศิษย์เอกแห่งสำนักโหราจารย์ ทว่าในภายหลัง ข้าบังเอิญพบจีเชียนยามที่อยู่เจี้ยนโจว แล้วได้เอ่ยถามถึงข้อมูลที่สำคัญยิ่งกับสายเลือดราชวงศ์ผู้นี้ จึงรู้ถึงการมีอยู่ของเชื้อสายนั่นเมื่อห้าร้อยปีก่อน และยังรู้เรื่องท่านโหราจารย์รุ่นที่หนึ่งยังมีชีวิตอยู่

“ทุกสิ่งต่างสอดคล้อง ไม่มีช่องโหว่แต่อย่างใด เจ้าใช้ประโยชน์จากส่วนที่ไม่สมบูรณ์ของแหล่งข่าว ทำให้ข้าเชื่อสนิทใจว่าท่านโหราจารย์รุ่นที่หนึ่งไม่ได้ตายเป็นเรื่องจริง จุดประสงค์ของเจ้าก็คือต้องการให้ข้าและท่านโหราจารย์ขัดแย้งกัน ทำให้ข้ารู้สึกบาดหมางกับเขา เพราะจีเชียนบอกข้าว่า หากโดนฉกฉวยโชคชะตา ข้าอาจจะตายได้

“เช่นนั้น ข้าย่อมต้องระวังท่านโหราจารย์ฉกฉวยโชคชะตา และระแวดระวังต่อทุกคน ทว่าที่จริงในตอนนั้นจีเชียนได้บอกหมดแล้ว ทุกอย่างล้วนเป็นเจ้าที่อยากให้ข้าได้รับรู้ มิน่าเล่ายามนั้นเจ้าจึงอยู่ที่เจี้ยนโจว”

โหรชุดขาวไม่ได้หยุดวาดค่ายกลแต่อย่างใด พยักหน้ากล่าวว่า “นี่ก็เป็นความจริงเช่นกัน ข้าหาได้โป้ปดเจ้าไม่”

สวี่ชีอันหรี่ตาก่อนผงกศีรษะ เอ่ยอย่างเห็นพ้องต้องกันกับเขา “แท้จริงแล้ว เจ้าจงใจส่งจีเชียนมาให้ข้าสังหาร และที่ต้องการให้ข้าเกิดความบาดหมางกับท่านโหราจารย์ก็เพียงส่วนหนึ่งของจุดประสงค์เท่านั้น ซึ่งจุดประสงค์หลักคือมอบเขี้ยวมังกรแก่ข้า เพื่อยืมมือข้าทำลายวิญญาณชีพจรมังกรสินะ”

โหรชุดขาวเงียบอยู่ครู่หนึ่งไปโดยปริยาย ก่อนจะถอนหายใจกล่าวว่า “ยังมีอีกเหตุผล ตายด้วยน้ำมือของรุ่นที่หนึ่ง ยังดีเสียกว่าตายในมือของผู้เป็นบิดา ข้าเลยไม่อยากให้เจ้ารู้ความจริงเช่นนี้ แต่จนแล้วจนรอดเจ้าก็รู้ตัวตนที่แท้จริงของข้า”

สวี่ชีอันทำเสียงเฮอะ “คงไม่ใช่ว่าอยากให้ข้าซาบซึ้งในความรักอันยิ่งใหญ่ดั่งขุนเขาของบิดาอย่างเจ้าหรอกนะ?”

เขาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วกล่าวต่อ “จะว่าไป ระหว่างที่ข้ากำลังสืบเรื่องจักรพรรดิเจินเต๋อ ถึงได้รู้ถึงการมีอยู่ของเจ้า บันทึกประจำวันของจักรพรรดิหยวนจิ่งรัชสมัยที่สิบกับสิบเอ็ด ไม่ได้มีการใส่ชื่อของอาลักษณ์ไว้ ด้วยความของเข้มงวดรอบคอบสำนักราชบัณฑิตหลวงแล้ว จึงแทบเป็นไปไม่ได้ที่จะเกิดความผิดพลาด

“ในตอนนั้นข้าคิดว่าความผิดพลาดของจักรพรรดิหยวนจิ่ง จึงลองตรวจสอบตามเบาะแส พบว่าเป็นปัญหาที่อาลักษณ์ ด้วยเหตุนี้เลยสืบสวนการสอบจอหงวนในรัชสมัยจักรพรรดิหยวนจิ่งที่สิบ ก็พบอีกว่าชื่อผู้สอบได้ระดับทั่นฮวาลำดับแรกถูกลบทิ้งไป

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง