ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง นิยาย บท 489

บทที่ 489 ย้อนกลับ

ภาพตรงหน้าของสวี่ชีอันเปลี่ยนจากพร่ามัวเป็นชัดเจนในเวลาเพียงไม่ถึงวินาที

จากนั้น เขาพบว่าตัวเองอยู่ที่ปากหุบเขาแห่งหนึ่ง ในหุบเขานั้นเงียบสงัด ดอกไม้ใบหญ้าโรยรา ต้นไม้โกร๋น บรรยากาศซบเซาและเงียบสงบ

สวี่ชีอันหลับตา สัมผัสกับอุณหภูมิและความชื้นในอากาศ แล้วถอนหายใจเบาๆ อากาศไม่แตกต่างจากในเมืองหลวงมากนัก นี่แสดงว่าท่านโหราจารย์รุ่นที่หนึ่งไม่ได้พาเขาออกจากไปจากต้าฟ่งหรือพาไปที่ชายแดน

สำหรับนักพรตขั้นสูงส่วนใหญ่ยกเว้นทหารแล้ว ระยะทางหลายสิบลี้และหลายร้อยลี้ล้วนเท่ากับระยะเพียงก้าวเดียว

โหรชุดขาวยกมือขึ้น นิ้วกลางแตะนิ้วโป้ง แล้วดีดเลือดออกมาหยดหนึ่ง ‘ติ๋ง’ หยดเลือดกระทบกำแพงอากาศ ในอากาศมีระลอกคลื่นสั่นไหวเกิดขึ้น

“นี่คือสถานที่ลับที่ข้าใช้พลังวิญญาณไปไม่น้อยในตอนสร้าง มีเพียงข้า หรือสายเลือดของข้าเท่านั้นที่จะเข้ามาได้ แม้แต่ท่านโหราจารย์ก็เข้ามาไม่ได้ การบุกรุกเข้ามา มีแต่จะทำให้สถานที่แห่งนี้แตกเป็นเสี่ยงๆ”

โหรชุดขาวหิ้วตัวสวี่ชีอัน ก้าวเข้าไปในเขตแดน

สวี่ชีอันทะลุชั้นบรรยากาศใสๆ บางๆ นั้น ภาพเบื้องหน้าเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง หุบเขายังคงเป็นหุบเขา แต่ไม่มีต้นไม้ใบหญ้า มีเพียงแผ่นหินขนาดใหญ่ที่แกะสลักคาถาต่างๆ ไว้เต็มไปหมด

เส้นผ่านศูนย์กลางของแผ่นหินคือสิบจั้ง ครอบคลุมพื้นที่เกือบทุกตารางนิ้วของหุบเขา

ทันทีที่เห็นแผ่นหิน สวี่ชีอันก็เกิดความรู้สึกคุ้นเคย และหน้ามืดตาลายขึ้นมาอีกครั้ง อาการคล้ายหญิงมีครรภ์ที่ทนไม่ได้จนอยากจะอาเจียน

“ค่ายกลนี้ ข้าใช้เวลาแกะสลักมาเป็นระยะๆ เป็นเวลานานกว่าสามสิบปี รวมหนึ่งร้อยแปดค่ายกล เป็นค่ายกลเดียว การป้องกันและการโจมตีไร้เทียมทาน นอกจากท่านโหราจารย์ขั้นหนึ่งแล้ว ก็ยากที่จะมีใครสามารถตีสถานที่นี่แตกได้” โหรชุดขาวอธิบายด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวล

เหตุใดสถานที่ลับของเขาจึงอยู่ไม่ไกลจากเมืองหลวง…สวี่ชีอันขมวดคิ้ว แสดงความข้องใจนี้

สวี่ชีอันไม่ได้คิดอะไรมาก เพราะถูกศพแห้งในค่ายกลที่นั่งขัดสมาธิร่างหนึ่งดึงดูดไว้

เสื้อผ้าที่ศพแห้งสวมค่อนข้างแปลก ตัดเย็บจากผ้าและหนังสัตว์ มีหินสีสันงดงามห้อยอยู่ที่เอว บนศีรษะสวมหมวกซับเหงื่อซ้อนกันเป็นชั้นๆ

‘คนซินเจียงตอนใต้?’

นี่คือรูปแบบเสื้อผ้าตามแบบฉบับของชาวซินเจียงตอนใต้

“เขา เขาเป็นอดีตหัวหน้าเผ่าเทียนกู่?!” หัวใจของสวี่ชีอันเต้นแรง พูดสิ่งที่คาดเดาในใจออกมา

“ถูกต้อง เขาคือผู้เฒ่าเทียนกู่ที่ร่วมมือกับข้าขโมยโชคชะตาของต้าฟ่ง”

โหรชุดขาวตอบทุกคำถาม เมฆจาง ลมสงบนิ่ง ราวกับว่าทุกอย่างอยู่ภายใต้การควบคุม

“ทำไมเขาจึงตายอยู่ที่นี่”

สวี่ชีอันจ้องไปที่ใบหน้าเบลอแบบโมเสกของท่านโหราจารย์รุ่นที่หนึ่ง เต็มไปด้วยความสงสัย ราวกับกำลังพูดว่า ‘พวกท่านขัดแย้งกันหรือ’

“เดิมทีเขาก็มีอายุขัยไม่ยืนยาวนัก การร่วมมือกับข้าขโมยโชคชะตาของต้าฟ่ง ทำให้ถูกตอบโต้กลับ เมื่อสงครามที่ด่านซานไห่สิ้นสุดลงไม่นาน เขาก็เสียชีวิต”

โหราจารย์รุ่นที่หนึ่งกล่าวด้วยความไม่สบายใจ “การขโมยโชคชะตาของประเทศ ย่อมต้องถูกตอบโต้กลับ ข้าก็จะต้องถูกตอบโต้กลับเช่นเดียวกัน นี่คือราคาที่ต้องจ่าย”

ลี่น่าเคยบอกว่า จุดประสงค์ที่ผู้เฒ่าเทียนกู่แสวงหาโชคชะตาของต้าฟ่ง ก็เพื่อซ่อมแซมรูปปั้นของปราชญ์ขงจื๊อศักดิ์สิทธิ์ และเพื่อปิดผนึกพ่อมดใหม่อีกครั้ง…

สวี่ชีอันพึมพำว่า “เขาจะยอมลำบากเพื่อช่วยเจ้าโดยไม่หวังผล ?”

ผู้แข็งแกร่งที่สามารถวางแผนขโมยโชคชะตาของต้าฟ่งได้ เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่รู้อายุขัยและสภาพร่างกายของตัวเอง เหตุใดจึงยอมลำบากเพื่อช่วยผู้อื่นโดยไม่หวังผลกันนะ

โหรชุดขาวยืนเคียงข้างสวี่ชีอัน มองไปที่ศพแห้งที่อยู่กลางค่ายกลแล้วพูดว่า

“ของขวัญชิ้นนี้มีราคาที่ต้องจ่าย ราคาของมันก็คือการปิดผนึกเทพเจ้ากู่ นี่เป็นเหตุต้นผลกรรมระหว่างข้ากับเขา เจ้าไม่ต้องสนใจ”

สวี่ชีอันเงียบไปครู่นึ่ง แล้วกระซิบว่า “ข้าจะต้องตายหรือไม่”

โหรชุดขาวเงียบไม่พูดอะไร

สวี่ชีอันหันหน้ามองเขาอย่างจริงใจ “ข้าไม่อยากได้โชคชะตานี้ เดิมทีนี่เป็นของของเจ้า สามารถคืนให้เจ้าได้”

โหรชุดขาวพูดช้าๆ “เมื่อเจ้าก้าวขึ้นสู่ขั้นสอง กลายเป็นทหารผสานเต๋า ก็จะสามารถรับผลที่ตามมาจากการสูบโชคชะตา แต่ข้าไม่สามารถรอนานขนาดนั้น

“เว่ยเยวียนตายแล้ว เจินเต๋อตายแล้ว ชีพจรมังกรสลายไปแล้ว สิ่งเหล่านี้เปรียบเหมือนกระแสน้ำเชี่ยว ผู้หลอมปราณจะต้องฝึกตามกระแส หากไม่คว้าโอกาสไว้ รอจนกว่าเจ้าเลื่อนสู่ขั้นสอง โอกาสก็ผ่านไปแล้ว”

“จะทำการใหญ่ให้สำเร็จ จะต้องคว้าโอกาสไว้ เจ้าควรเข้าใจ”

ชะงักไปครู่หนึ่ง เขาก็ถอนหายใจแล้วพูดว่า “นอกจากนี้ รอจนกว่าเจ้ากลายเป็นทหารผสานเต๋า ข้าอาจจะไม่สามารถปราบเจ้าได้อีก”

ดวงตาสวี่ชีอันฉายแววโศกเศร้า เขารีบสงบอารมณ์ทันที แล้วถามว่า

“เจ้าปิดบังท่านโหราจารย์ได้อย่างไร เก็บโชคชะตาไว้ในตัวข้า?”

คำถามนี้ ทำให้เขาลำบากใจอยู่เป็นเวลานาน ต้องรู้ว่าท่านโหราจารย์เป็นโหรระดับหนึ่ง และไม่มีใครเข้าใจโชคชะตาได้ดีไปกว่าเขา คนรุ่นที่หนึ่งนิ่งเงียบได้อย่างไร จนทำให้โชคชะตาหลับสนิทอยู่ในตัวเขาเป็นเวลายี่สิบปี

โหรชุดขาวมองไปที่ศพแห้งแล้วพูดเรียบๆ ว่า “นี่ไม่ใช่ความสามารถของข้า แต่เป็นวิธีการของผู้เฒ่าเทียนกู่ ตอนนั้นก็ใช้วิธีเดียวกัน ปิดบังท่านโหราจารย์ได้ จนขโมยโชคชะตาได้สำเร็จ”

วิธีอะไร…สวี่ชีอันรออยู่ครู่หนึ่ง แต่ก็ไม่ได้รับคำอธิบายจากโหรชุดขาว

“ในการแก้ระฆังนั้นต้องการคนที่ผูกระฆัง การสูบโชคชะตาของเจ้า ต้องการความช่วยเหลือจากเขา และค่ายกลแห่งนี้”

โหรชุดขาวหิ้วตัวสวี่ชีอัน ดูเหมือนเบาแต่ความจริงแล้วยากที่จะคาดเดา แล้ววางเขาไว้ที่แห่งหนึ่ง ซึ่งบังเอิญตรงข้ามกับศพแห้งพอดี

เขาต้องการสูบโชคชะตา ซึ่งต้องการความช่วยเหลือจากค่ายกลนี้ จึงได้เริ่มวางแผนตั้งแต่สามสิบปีก่อนแล้ว…สวี่ชีอันถอนหายใจในใจ เฒ่าเหรียญเงินปากผีทำอะไรไม่เปิดเผย

เขาไม่ได้ต่อต้าน และไร้เรี่ยวแรงที่จะต่อต้านเช่นกัน หลังจากยืนอย่างว่าง่ายแล้ว ก็ถามว่า

“ข้าอยากรู้จริงๆ ว่าวิชาอำพรางความลับสวรรค์จะสามารถลบชื่อของข้าออกไปได้หรือไม่”

โหรชุดขาวชะงักครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “เหตุใดเจ้าจึงถามเช่นนี้”

สวี่ชีอันยิ้มโดยไม่ได้แสดงความรู้สึกใดๆ

“แค่ความสงสัยส่วนตัวเท่านั้น อำพรางคนคนหนึ่ง สามารถทำได้ในระดับใด ลบเขาออกไปจากโลกอย่างสิ้นซาก? อำพรางคนที่ทุกคนรู้จัก ทุกคนจะรู้สึกเช่นไร อย่างเช่นองค์จักรพรรดิ อย่างเช่นข้า

“ทุกคนจะลืมจนหมดสิ้น หรือแค่ความจำสับสน? หากคนคนหนึ่งถูกวิชาอำพรางความลับสวรรค์กลับปรากฏตัวต่อสายตาผู้คนอีกครั้ง จะเกิดอะไรขึ้น

“ญาติที่ใกล้ชิดที่สุดของผู้ที่ถูกวิชาอำพรางความลับสวรรค์ และคนอื่นๆ จะมีความแตกต่างกันอย่างไร”

โหรชุดขาวมองมาที่เขา และไม่ได้พูดอะไรเป็นเวลานาน

สวี่ชีอันสบตาเขาด้วยแววตาสงบ “ถ้าหากเขียนเรื่องราวลงบนกระดาษไว้ล่วงหน้า ถ้าหากญาติที่ใกล้ชิดที่สุดได้อ่านเนื้อหาที่ไม่สอดคล้องกับความทรงจำ แล้วจะเป็นอย่างไร”

บนถนนหลวง ในเขตชานเมือง

สวี่ผิงจื้อควบม้า มุ่งหน้าไปทางสำนักอวิ๋นลู่ จางเซิ่นปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่เดินอาดๆ เคียงข้างม้าอย่างสบายๆ

เบื้องหน้ามีปราณใสลอยวนเวียน ปรากฏเงาของร่างร่างหนึ่งขึ้น สวมหมวกลัทธิขงจื๊อและสวมเสื้อลัทธิขงจื๊อเก่าๆ ง่ายๆ

“เจ้าสำนัก?”

จางเซิ่นตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง และพูดด้วยน้ำเสียงที่ประหลาดใจเป็นอย่างยิ่ง แล้วพูดว่า “ท่านมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร”

เจ้าสำนักจ้าวโส่วไม่ได้สนใจเขา หยิบกระดาษข้อความสามแผ่นออกมาจากอกเสื้อ เขาคลี่แผ่นหนึ่งออก ในนั้นมีข้อความเขียนไว้ว่า

‘หากพรุ่งนี้ลืมช่วย (เว้นว่าง) โปรดนำกระดาษข้อความแผ่นที่สองมอบให้กับสวี่ผิงจื้อ’

ตรงกลางมีช่องว่างอยู่ท่อนหนึ่ง ช่วยใคร ในกระดาษไม่ได้เขียนไว้ หรืออาจจะเคยเขียน แต่ถูกลบออกไปแล้ว

“หมายความว่าอย่างไร”

จางเซิ่นมองเนื้อหาในกระดาษข้อความ และเห็นสีหน้าของจ้าวโส่วที่เคร่งขรึมอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ทำให้เขาตระหนักได้ว่าดูเหมือนเจ้าสำนักจะพบกับความยุ่งยากแล้ว

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง