บทที่ 502 ผีดิบ ‘เขาอยู่ที่ใด’ (1)
ฝนฤดูใบไม้ร่วงเทลงมาอย่างต่อเนื่อง แม้จะไม่รุนแรงเท่าฝนฤดูร้อน แต่ก็มีสายลมหนาวเหน็บบาดลึกลงไปในผิวหนัง
ยงโจวอยู่ติดกับเมืองหลวงไปทางใต้ ความชื้นนอากาศสูง ในช่วงหน้าฝน อากาศจะหนาวเย็นและเหนอะหนะเป็นพิเศษ หากบ้านไหนไม่ปิดประตูหน้าต่างให้ดี เครื่องนอน เครื่องใช้ และเสื้อผ้ามักจะชื้นเสียหมด
ภายในห้องโถงที่เพิ่งพูดคุยดื่มกินกันอย่างสนุกสนานเมื่อครู่ ตกอยู่ในความเงียบสงัด ท่ามกลางม่านฝนโปรยปรายข้างนอก
จอมยุทธ์ระดับหลอมวิญญาณผู้หนึ่งเอ่ยพึมพำขึ้นมา
“ก่อนฝนตกน่าจะมีสัญญาณอะไรสักอย่าง แต่นี่ไม่เห็นมี”
บรรยากาศความเงียบถูกทำลาย จอมยุทธ์อีกคนหนึ่งก็กล่าวเสริม “จริงสิ พวกปลาในทะเลสาบน่าจะโผล่ขึ้นมาหายใจเหนือผิวน้ำเมื่อครู่นี้กระมัง”
เขากล่าวถึงเกร็ดความรู้เล็กๆ น้อยๆ ที่สามารถคาดการณ์เรื่องฝนฟ้าได้
เมื่อเห็นเช่นนี้ จอมยุทธ์คนอื่นๆ ก็เริ่มออกความเห็น บอกเล่าถึงภูมิปัญญาเล็กๆ ที่ใช้คาดการณ์ฝนตก
พูดคุยกันไปเรื่อยๆ ก็รู้สึกว่า ‘ปากประกาศิต’ ของเจ้าหนุ่มคนนั้นดูจะเป็นเรื่องจริง ที่พวกเขาต้องตกใจ ก็เป็นเพราะเทวดาดูจะให้ความร่วมมือดีเหลือเกิน
บอกว่าฝนจะตก ก็ตกจริงๆ ชวนให้รู้สึกคล้ายกับว่าเจ้าหนุ่มคนนั้นกำลังลั่นประกาศิตออกมา
กงซุนซิ่วจิบสุราไปอึกหนึ่ง เห็นนักพรตเฒ่านั่งนิ่งไม่พูดไม่จา ก็ขมวดคิ้วพร้อมเอ่ยถาม
“ท่านนักบวชชิงกู่ ดูเหมือนท่านจะมีความคิดต่างออกไปสินะ”
ทุกคนก็มองไปยังนักพรตเฒ่าทันควัน
นักพรตเฒ่าผู้มีนามฉายาว่า ‘ชิงกู่’ ฟื้นคืนสติ ไม่ได้ตอบกลับทันที ทว่านิ่งเงียบไปอึดใจ ก่อนจะเอ่ยเสียงขรึม
“เช่นนั้นนักพรตเฒ่าผู้นี้ขอพูดตามตรงก็แล้วกันนะ ฝนฟ้านั้นสุดจะคาดเดา ฝนบางจำพวกมีสัญญาณบ่งบอก ฝนบางจำพวกไม่มีสัญญาณเตือน ฝนบางจำพวกตั้งเค้าชัดเจนแต่ไม่ตกลงมา ฝนบางจำพวกไม่มีแม้แต่สัญญาณส่อเค้า นึกอยากจะตกก็ตก
“พอรู้ว่าคืนนี้จะต้องลงไปสำรวจสุสาน อาตมาก็คำนวณฟ้าฝนตั้งแต่ค่ำวานนี้ แต่ไม่พบเค้าลางสักนิดว่าวันนี้ฝนจะตก”
นักพรตเฒ่าทอดสายตาไปยังทะเลสาบ และกล่าวว่า “นี่เป็นฝนที่ผิดไปจากปกติ”
กงซุนซิ่วครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าว “ปลาในทะเลสาบไม่โผล่ขึ้นมาหายใจ”
คำพูดของนางหักล้างกับคำพูดของจอมยุทธ์คนเมื่อครู่
ในตอนนี้ สีหน้าของทุกคนก็พลันแปลกประหลาดไป
ผ่านไปอีกครู่หนึ่ง ทหารระดับหลอมวิญญาณผู้นั้นก็เอ่ยถามเป็นการลองเชิงว่า “หากไม่ใช่เรื่องบังเอิญ เช่นนั้นแล้วเขานับว่าอยู่ในขั้นใดเล่า”
การพยากรณ์ฟ้าฝน ในสายตาของทหารระดับต่ำนั้น เป็นการกระทำของเทพเซียนชัดๆ
อย่าว่าแต่ทหารเลย ในสายตาของคนธรรมดานั้น คนที่สามารถพยากรณ์อากาศ บันดาลฟ้าฝนได้ ล้วนแต่เป็นเทพผู้ปกปักแผ่นดินทั้งสิ้น
นักพรตเฒ่ากล่าวเนิบๆ ว่า
“เท่าที่ข้ารู้ เจ้าแห่งวัสสานแห่งสำนักพ่อมดสามารถบันดาลฝนได้ โหรจากสำนักโหราจารย์สามารถสังเกตปรากฏการณ์บนท้องฟ้า และกำหนดปฏิทินโหราศาสตร์ได้ หมอผีของเผ่าเทียนกู่จากซินเจียงตอนใต้ สามารถล่วงรู้เวลาและสถานที่ที่ฝนจะตกได้
“มีเพียงสิ่งเดียวที่สามารถยืนยันได้ คือคนที่เข้าใจในศาสตร์เหล่านี้ ต้องเป็นผู้ที่อยู่ในระดับสูงจนน่าตกใจอย่างแน่นอน”
เหล่าจอมยุทธ์ทั้งหลายต่างมองหน้ากันไปมา ในใจพลันสั่นสะท้าน
กงซุนซิ่วลุกขึ้นเดินออกไปจากห้องโถง มองออกไปยังทะเลสาบหยางไป๋ท่ามกลางม่านพิรุณ หมอกลงหนาทึบ สายฝนยามสารทฤดูหนาวเหน็บ ไม่เห็นเงาของเรือ ‘หวังจี้อวี๋ฟาง’ อีกต่อไป
“เจ้าลืมสัญญากับคนผู้นั้นไปแล้วหรือ…”
กงซุนซิ่วเอ่ยประโยคนี้พึมพำซ้ำไปซ้ำมา
…
ในปลายฤดูใบไม้ร่วง ฝนระลอกนี้ยังคงตกลงมาอย่างต่อเนื่องถึงสองชั่วยาม และยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุด
สวี่ชีอันอยู่ในห้องสุขาของอาคารเรือ หยิบเสื้อคลุมฟางและหมวกสานทรงกรวยออกมาจากชิ้นส่วนหนังสือปฐพี จะออกไปข้างนอกก็ต้องเตรียมชุดกันฝนกันหน่อย
เรือ ‘หวังจี้อวี๋ฟาง’ จอดเทียบชายฝั่งอย่างเชื่องช้า เหล่าลูกค้าต่างแยกย้ายกันไปคนละทาง
มู่หนานจือหน้านิ่วคิ้วขมวด ตั้งใจมองพื้นถนนอย่างระมัดระวัง ตั้งใจไม่ให้เหยียบโดนจุดที่เป็นดินโคลน แต่ก็ไร้ประโยชน์
รองเท้าปักลายยังคงเปรอะเปื้อนโคลน ซึ่งทำให้นางอารมณ์เสียอย่างมาก
เจ้าเป็นเทพดอกไม้กลับชาติมาเกิดไม่ใช่หรือ ตามหลักการแล้วเจ้าน่าจะชอบวันฝนตกและดินโคลนสิถึงจะถูก…สวี่ชีอันจ้องมองนางที่ทำท่าทีกระฟัดกระเฟียดอยู่คนเดียว ลอบสบถสาบานในใจ
‘โคลน โคลน…ถ้าข้าซ่อนอยู่ในโคลนตม ใครก็หาข้าไม่เจอ…ไม่ หยุดเลย เลิกคิดไปเสีย ข้าเป็นคนไม่ใช่ปลาหนีชิว…’
เขาพยายามต้านทานผลข้างเคียงจากอั้นกู่อย่างเต็มที่ การใช้ความสามารถของอั้นกู่ติดต่อกันเมื่อครู่ ทำให้เกิดผลสืบเนื่องอันรุนแรง
เมื่อกลับมาถึงโรงเตี๊ยม สวี่ชีอันก็สั่งให้เสี่ยวเอ้อร์ยกอาหารเครื่องดื่มขึ้นไปส่ง และเริ่มกินอาหารเที่ยงมื้อที่สอง
มู่หนานจือเข้ามาในห้องแล้ว ก็เตะรองเท้าปักลายของนางกระเด็นไปถึงหลังประตู เดินไปเดินมารอบห้องด้วยเท้าน้อยๆ ขาวนวล อ่อนนุ่ม
นางเปิดหน้าต่าง และปิดลงทันที เม้มปากแล้วเอ่ยว่า “ข้าไม่ชอบยงโจวเลยสักนิด ทั้งหนาวทั้งชื้น”
จะว่าไปแล้ว นี่เป็นฤดูหนาวแรกหลังจากออกมาจากจวนอ๋อง สละฐานันดรพระชายา บอกลาพื้นทำความร้อนสุดหรูหรา นี่จะต้องเป็นฤดูหนาวที่ยากลำบากสำหรับนางทีเดียว
“รู้ว่าหนาวแล้วยังจะเดินเท้าเปล่าอีก”
สวี่ชีอันชำเลืองมองต่ำลงไป ก่อนจะผละสายตาออก
ผิวเท้าขาวผ่องอวบอิ่ม สวมแตะไม้ผ้าปักลายขาวบุพื้นแดง…เป็นเท้าหยกที่เรียกได้ว่าเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทีเดียว
สวี่ชีอันหลับนอนกับหญิงสาวในสำนักสังคีตมามากมาย แต่ไม่มีเท้าของหญิงคนใดที่งดงามเท่าเท้าหยกของมู่หนานจืออีกแล้ว
ทั้งนี้เป็นเพราะ หนึ่ง สาวๆ ในสำนักสังคีตจำเป็นต้องฝึกฝนการร่ายรำ จึงไม่อาจมีเท้าที่อ่อนแอ ขาวผ่องมีเลือดฝาดได้ สอง สาวงามนั้นแบ่งได้เป็นหลายระดับ ขึ้นชื่อว่าเป็นมนุษย์ ย่อมมีข้อบกพร่องทั้งสิ้น ไม่มีใครสมบูรณ์แบบ
มีเพียงสาวงามอันดับหนึ่งแห่งต้าฟ่งเบื้องหน้าเขาแต่เพียงผู้เดียวเท่านั้น เทพดอกไม้ผู้กลับชาติมาเกิด ผู้งดงามและเฉลียวฉลาดอย่างแท้จริง แม้แต่ผู้ที่มีสายตาเฉียบแหลมที่สุด ก็ไม่อาจมองหาจุดด่างพร้อยในรูปร่างหน้าตาของนางได้
อืม คำชมเมื่อครู่ออกจะฉาบฉวยไปสักนิด เพราะอย่างไรเสียสวี่ชีอันและนางยังไม่รู้ไส้รู้พุงกันดี
“เจ้ากินเยอะขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไร” พระชายานั่งลงข้างโต๊ะ ยกมือเท้าคาง จ้องมองเขาพร้อมกับยิ้มแป้น
“ตั้งแต่ถูกคนถีบหัวส่ง กินอะไรก็อร่อยทั้งนั้นล่ะ ร่างกายถึงได้แข็งแรงอย่างไรเล่า” สวี่ชีอันเยาะเย้ยตัวเอง
เขาจัดการอาหารอันโอชะเต็มโต๊ะจนหมดเกลี้ยง ตะโกนเรียกเสี่ยวเอ้อร์ให้มาเก็บจาน มู่หนานจือค่อยๆ ซุกเท้าหยกไว้ใต้กระโปรงของตน
‘คมในฝัก’ ดูเหมือนจะเป็นสิ่งที่นางเรียนรู้ด้วยตนเอง ในฐานะเทพดอกไม้กลับชาติมาเกิดผู้ทรงเสน่ห์ไร้ที่สิ้นสุด เพียงซ่อนเร้นความงดงามบนใบหน้ายังไม่เพียงพอ รูปร่างอวบอัดสมส่วนของนางยังมีแรงดึงดูดใจชายทั้งหลายได้ ดังนั้นนางจึงสวมใส่อาภรณ์ตัวหลวมโคร่งโดยเจตนา
ท้องฟ้าค่อยๆ มืดลง สวี่ชีอันยืนมองอยู่ข้างหน้าต่างชั่วขณะ และเอ่ยขึ้น
“คืนนี้ข้าจะไปวังใต้ดิน ไปหาศพโบราณพันปีนั่น”
มู่หนานจือสะดุ้งโหยง
“ข้าจะไปดูสภาพของสิ่งสิ่งนั้น และหยิบยืมอะไรบางอย่างมาจากมัน ไม่ต้องห่วง ข้าจะกลับมาก่อนฟ้าสาง”
สวี่ชีอันปลอบประโลม
ในตอนนี้เอง รถม้าคันหนึ่งก็วิ่งผ่านมาโดยบังเอิญ เงาร่างของสวี่ชีอันอันตรธานหายไป แล้วไปโผล่อยู่ใต้ท้องรถม้า เขาหลบซ่อนในเงามืด และจากไปพร้อมกับรถม้า
สวี่ชีอันกระโดดไปมาระหว่างรถม้าหลายคัน ค่อยๆ เข้าใกล้ประตูเมืองขึ้นเรื่อยๆ แล้วออกจากเมืองพร้อมกับเงาสะท้อนตื้นๆ ของเกวียนวัว
อ้างอิงจากความสามารถในการควบคุมอั้นกู่ในปัจจุบันของเขา ระยะทางสูงสุดที่เงาสามารถกระโดดได้คือรัศมีห้าสิบเมตร ระยะเวลาที่สามารถซ่อนตัวในเงาได้ คือไม่เกินหนึ่งเค่อ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง