ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง นิยาย บท 501

บทที่ 501 ฝนเทลงมา

เรือโหลวฉวนที่แขวนธงประจำตระกูล ‘กงซุน’ ค่อยๆ แล่นเข้ามา ภายในห้องชมทิวทัศน์โปรงโล่งสองชั้น ก็มีเหล่าผู้กล้าจอมยุทธ์กำลังนั่งโต๊ะร่ำสุราพลางพูดคุย

กงซุงซิ่วกำลังถือจอกสุรา ยิ้มแย้มต้อนรับผู้มีฝีมือหน้าใหม่ทั้งหกคน การบำเพ็ญของเหล่าหกคนนี้ล้วนไม่ได้ต่างห่างชั้นกันนัก มีเพียงสองคนที่หลอมวิญญาณอยู่ในระดับสูงสุดแล้ว ซึ่งก็มากพอที่จะเป็นแขกผู้มีเกียรติของพวกตระกูลกงซุน

คนที่กงซุนซิ่วจับตามองมากที่สุดก็คือ นักพรตชราผู้แทนตนว่านักพรตเฒ่าชิงกู่

พวกเขาต่างเป็นจอมยุทธ์มือดีที่สู้จนกว่าชีวิตจะหาไม่ ทว่าการสำรวจสุสานใต้ดินไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาถนัด

ผู้รอบรู้เรื่องศาสตร์ฮวงจุ้ยและศาสตร์คานอวี๋ ไม่เป็นนักพรต ก็ต้องเป็นโหร แต่คนก่อนหน้าส่วนมากล้วนหลอกลวง และช่วงหลังในยุทธภพก็หายากแทบจะไม่เหลืออยู่แล้ว

กงซุนซิ่วได้ลองทดสอบนักพรตเฒ่าชิงกู่ผู้นั้นแล้ว มีเชี่ยวชาญในศาสตร์ฮวงจุ้ยและศาสตร์คานอวี๋จริง ซ้ำยังมีความรู้เรื่องค่ายกลอยู่บ้างอีกด้วย

“การสำรวจสุสานภูเขาหนานซานคืนนี้ ต้องพึ่งพาทุกท่านแล้ว” กงซุนซิ่วยิ้มพลางยกจอกสุรา

เหล่าจอมยุทธ์ที่นั่งอยู่พากันยกจอกสุราโดยพลัน เมื่อรู้ว่าเป็นคุณหนูใหญ่กงซุนที่เอ่ยขึ้นตามมารยาท ตระกูลกงซุนเป็นกลุ่มเจ้าถิ่นที่มีอิทธิพลอันดับต้นๆ ของเมืองยงโจว ซึ่งสืบทอดมานานสามร้อยกว่าปี และเมื่อหลายปีก่อนหัวหน้าตระกูลคนปัจจุบันก็เป็นจอมยุทธ์สลายแรง

เขาห่างจากขั้นสี่เพียงแค่ก้าวเดียว หากเมื่อใดที่เลื่อนสู่ขั้นสี่ เมื่อนั้นก็จะได้เป็นเจ้ายุทธจักรแห่งยุทธภพ

นอกจากนี้ การหลอมวิญญาณขั้นเจ็ดและกระดูกเหล็กผิวทองแดงขั้นหก ตระกูลกงซุนก็ได้ล้ำหน้าไปสองเท่าตัวแล้ว

ทว่าคนที่คอยตัดสินใจเรื่องต่างๆ ในตระกูลกงซุนตอนนี้ คือคุณหนูใหญ่ที่อยู่เบื้องหน้าผู้นี้ นางมีรูปโฉมงดงาม ใส่ชุดเสื้อคลุมตัวใหญ่สีฟ้า ส่วนด้านล่างสวมกระโปรงรัดอกทรงจับจีบ

ดูสุภาพชดช้อยอ่อนหวาน ตามแบบกุลสตรีชั้นสูงผู้รอบรู้มีมารยาทงาม

แต่คนที่คุ้นเคยกับคุณหนูใหญ่ต่างรู้ดีว่า การบ่มเพาะของหญิงคนนี้อยู่ในระดับสูง เมื่อปีก่อนก็เข้าสู่ขั้นสลายแรงแล้ว และภายในตระกูลกงซุนก็มีเพียงหัวหน้าตระกูลเท่านั้นที่สามารถกดดันนางได้

นอกจากนี้ นางยังประสบความสำเร็จด้านการทำกิจการอีกด้วย กิจการของตระกูลกงซุนที่อยู่ภายใต้การดูแลของนางนับวันยิ่งเจริญรุ่งเรืองขึ้นเรื่อยๆ ในฐานะที่เป็นกลุ่มอิทธิพลแห่งยุทธภพ ตระกูลกงซุนจึงให้ความเคารพต่อการยุทธ์ แม้ว่าจะเป็นสตรี แต่ก็สามารถดำรงตำแหน่งหัวหน้าตระกูลได้

ดังนั้นจึงมีเหล่าจอมยุทธหนุ่มจำนวนมากปานขนบนตัววัวที่ยินดีจะแต่งเป็นเขยเข้าบ้านตระกูลกงซุน

หลังดื่มไปได้หนึ่งจอก ผู้คนก็เพลิดเพลินไปกับมื้ออาหารและเนื้อปูอันอวบอ้วนกันต่อ กงซุนซิ่วที่ไม่ได้มีความอยากอาหารอันใด จึงหันไปดูทิวทัศน์ทะเลสาบ ทั้งมองเรือลำเล็กลำใหญ่ที่ลอยอยู่รอบๆ

จากนั้นก็มองเรือ ‘หวังจี้อวี๋ฟาง’ ที่กำลังเข้ามาใกล้เรื่อยๆ เมื่อชำเลืองบนดาดฟ้าเรือ ก็เห็นเด็กสองสามคนที่กินอิ่มแล้ว ออกมาวิ่งเล่นนอกห้องผู้โดยสาร

“พวกเราก็กินในส่วนของเรากันเถอะ” สวี่ชีอันเอ่ยขึ้นประโยคหนึ่ง ก่อนจะถอนสายตากลับมาแทะขาปูอยู่คนเดียว

คืนนี้เขาคิดว่าจะไปวังสุสานใต้ดิน เพื่อหาเล็บมัมมี่ สารพิษ และไอซากศพ ซึ่งได้จากเจ้ามัมมี่พันปีนั่นโดยไม่ต้องเสียเงินเลยสักนิด

แต่การเคลื่อนไหวของตระกูลกงซุน ก็สร้างความปวดหัวให้เขาอยู่บ้าง จากการประโคมข่าวใหญ่อย่างต่อเนื่อง การกระทำที่ครึกโครมยิ่งกว่าเดิม และคนที่ตายมากขึ้นเรื่อยๆ

นอกจากสามเรื่องดังกล่าว อยู่ต่อหน้าซากศพของนักพรตลึกลับนั่น จะต่างอะไรกับไก่ดินสุนัขดินเผาเล่า?

หากปล่อยให้เจ้ามัมมี่นั่นฉกฉวยแก่นโลหิตมากขึ้นเรื่อยๆ จนสะสมพลังทำลายผนึกได้ จะต้องเกิดภัยพิบัติเป็นแน่ และย่อมมีมารปีศาจโผล่ออกมายามชาติจะล่มสลาย ซึ่งจากแต่ละเรื่องก็เป็นการยืนยันประโยคนี้แล้ว…สวี่ชีอันถอนหายใจอยู่ในใจ

ทันใดนั้นเองเสียงหัวเราะที่ราวกับเสียงระฆังเงินก็ดังขึ้นจากนอกหน้าต่าง เขาจึงหันหน้าไปมอง เด็กสองสามคนที่กินปูจนอิ่มหนำแล้วก็กำลังวิ่งเล่นอยู่ด้านนอก ตามทางเดินนอกห้องโดยสาร ซึ่งกำลังวิ่งไล่กันพลางหยอกล้อ

ชุดเสื้อผ้าที่พวกเขาสวมใส่ดูดีไม่เลว เป็นเนื้อผ้าคุณภาพสูง คิดดูแล้วคงเกิดในครอบครัวฐานะร่ำรวยมีอันจะกิน ทว่าการมีอำนาจกับการมีเงินนั้นแตกต่างกันไม่น้อย

ระหว่างที่กำลังวิ่งไล่กันอยู่นั้น เด็กตัวโตคนหนึ่งเข้ามาขวางทาง จนกระแทกเด็กหญิงคนด้านหน้า

เด็กหญิงจึงเซ ก่อนจะกรีดร้องขณะร่วงตกลงไปยังทะเลสาบ

สวี่ชีอันปล่อยขาปูจากมือ ภายในดวงตาเกิดประกายแสงสลัว ร่างกายพลันหายวาบ เพียงชั่วครู่ เขาก็โผล่ออกมาจากเงาของเด็กหญิง โดยที่จับคอเสื้อเด็กหญิงเอาไว้

ซึ่งเป็นวิชากระโดดสู่เงาของอั้นกู่

“โอ้โฮ…”

เด็กสองสามคนที่อยู่โดยรอบต่างจ้องมองเขาด้วยความชื่นชม

สวี่ชีอันเขกศีรษะเด็กแต่ละคน แล้วเอ่ยสั่งสอนว่า “วิ่งเล่นบนเรือแล้ว ยังจะกล้าก่อเรื่องขึ้นอีก เดี๋ยวจับพวกเจ้าฟาดให้ตายเสียเลย” ซึ่งเขายามกล่าวน้ำเสียงดูดุดันตามแบบจอมยุทธ์อยู่บ้าง

ขณะเดียวกันเรือ ‘หวังจี้อวี๋ฟาง’ ก็ทำหน้าที่เป็นเรือจับปลา เพื่อความสะดวกในการดึงอวน บนดาดฟ้าจึงไม่มีราวกั้น เลยไร้ความปลอดภัย

เด็กเหล่านี้โดนตีไป จึงไม่กล้าโต้เถียง จากนั้นก็เดินกลับด้วยสีหน้าหงอยๆ

จากนั้นเขาก็กลับไปยังห้องโดยสาร เพิ่งจะนั่งลงได้ไม่นาน ก็มีสามีภรรยาคู่หนึ่งเดินเข้ามาหา ในมือผู้เป็นภรรยากำลังจูงเด็กคนหนึ่งอยู่ ซึ่งก็คือเด็กหญิงที่ตกลงไปในทะเลสาบเมื่อครู่นี้

“ขอบคุณท่านที่ช่วยนะขอรับ” ชายหนุ่มประสานมือยกคารวะ เขาสวมชุดคลุมที่เป็นนิยมอยู่ตอนนี้ ซึ่งแต่งตัวได้ดูมีภูมิฐานทีเดียว

ส่วนบนศีรษะผู้เป็นภรรยาก็ปกปิ่นระย้าทองคำ

สวี่ชีอันโบกปัดมือ กล่าวอย่างรำคาญว่า “ไม่ต้องพูดเรื่องไร้สาระหรอก เจ้าจ่ายค่าปูโต๊ะนี้ก็แล้วกัน”

ชายหนุ่มนิ่งอึ้งชั่วขณะ แต่เขากลับโล่งใจ แล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “สมควรแล้ว สมควรแล้ว”

หลังจากเอ่ยขอบคุณอีกหลายครั้ง จากนั้นเขาก็กลับไปด้วยใบหน้าเปี่ยมรอยยิ้ม

ขณะที่เด็กหญิงตัวน้อยถูกผู้เป็นมารดาจูงออกไป ก็พลันหันกลับมาทำหน้าบูดบึ้งใส่ลุงแปลกประหลาดขี้หงุดหงิดคนนี้

“เจ้าเป็นอะไร?” มู่หนานจือรู้สึกว่าอารมณ์ของอีกฝ่ายแปลกไปนิดหน่อย

สวี่ชีอันตอบอย่างไม่สบอารมณ์ “เวรเอ๊ย ฝนใกล้ตกแล้ว”

นางเริ่มรู้สึกไม่ดีขึ้นมาในทันที

มู่หนานจือกะพริบตาคู่งาม ก่อนชำเลืองไปที่นอกหน้าต่าง เห็นว่าแดดส่องสว่างจ้า มันเหมือนฝนจะตกตรงไหนกันเนี่ย?

อีกทางด้านหนึ่ง กงซุนซิ่วที่เห็นทุกอย่างกับตาตัวเอง ก็เอ่ยด้วยดวงตาเปล่งประกายว่า “ทุกท่าน มีใครดูออกบ้างว่าเมื่อครู่นี้เขาทำได้อย่างไร?”

จอมยุทธ์ที่นิสัยหยาบคายสองสามคนขมวดคิ้วมองหน้ากัน พวกเขาไม่ได้สนใจเหตุการณ์เมื่อครู่นี้เลย

เมื่อกงซุนซิ่วพูดจบ ก็เผยสีหน้าประหลาดใจออกมาอย่างกะทันหัน เพราะผู้คนโดยรอบมีความรู้และมากประสบการณ์ กลับไม่สามารถบอกอะไรได้เลย

สุดท้ายนักพรตชราที่ไว้เคราแพะ ก็พึมพำเอ่ยว่า “เท่าที่ฟังคุณหนูใหญ่อธิบาย น่าจะเป็นเคล็ดวิชาของเผ่าพันธุ์กู่ชนิดอั้นกู่ หลายปีก่อนอาตมาได้เดินทางไปยังซินเจียงตอนใต้ จึงเคยเห็นเคล็ดวิชาของพวกเขา ซึ่งเชี่ยวชาญการกระโดดออกจากเงา ดูลึกลับซับซ้อน และยากที่จะป้องกัน มีเพียงจอมยุทธ์ขั้นหลอมวิญญาณเท่านั้นถึงจะสามารถหยุดยั้งไว้ได้”

กงซุนซิ่วมุ่นคิ้วกล่าว “เคล็ดวิชาเผ่าพันธุ์กู่ สามารถถ่ายทอดได้หรือไม่?”

“แน่นอนว่าไม่ได้”

“คนผู้นั้นไม่ใช่คนซินเจียง” กงซุนซิ่วพูด

นักพรตเฒ่าชิงกู่ตะลึง ส่ายศีรษะกล่าวว่า “เช่นนั้นบางทีอาตมาอาจคาดเดาผิดรึ?”

กงซุนซิ่วพลันลุกขึ้นโดยไร้ความลังเล แล้วยิ้มเอ่ยว่า “เมื่อบังเอิญได้เจอยอดฝีมือแล้ว หญิงสาวอย่างข้าขอเข้าไปทักทาย ทุกท่านเชิญทำตัวตามสบาย”

นางหยิบตะเกียบคู่ ก่อนจะขว้างออกไป

ตะเกียบคู่นั้นพุ่งลงผิวทะเลสาบ ก่อนจะลอยอย่างเชื่องช้า ทันใดนั้นเองกงซุนซิ่วก็กระโดดออกมาจากชั้นสองของเรือ แต่ด้วยร่างของนางอรชรอ้อนแอ้นราวกับขนนกไร้น้ำหนัก จึงโฉบผ่านผิวทะเลสาบ เมื่อปลายเท้าแตะบนตะเกียบคู่ ตะเกียบจมลงเล็กน้อย จนปรากฏระลอกคลื่นอย่างเบาบาง

นางใช้กำลังดีดตัวออกไปสิบจั้ง ค่อยๆ ร่วงลงดาดฟ้าของเรือ ‘หวังจี้อวี๋ฟาง’

ไม่ว่าจะไกลหรือใกล้ ก็สามารถมองเห็นแขกเหล่านี้กำลังปรบมือส่งเสียงรื่นเริงนี้ได้

สวี่ชีอันก็เห็นฉากดังกล่าวเช่นกัน ทว่าเขากลับไม่ได้สนใจว่ามีหญิงสาวรูปโฉมงามคนนี้ที่กำลังเดินเข้ามาหาเขา และพูดวิจารณ์ว่า “ไม่เลวๆ สลายแรงขั้นห้านับว่าเก่งกาจทีเดียว มีฝีมือไม่เบาเลย”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง