ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง นิยาย บท 500

บทที่ 500 กินปู

“ขะ…ของเถ้าแก่…”

เสี่ยวเอ้อร์มองด้านหลังลูกค้าผู้สวมชุดสีครามอมดำด้วยใบหน้าซีดเซียว

ต่อให้เจอผีสาง ก็ยังไม่แสดงความกลัวออกมามากขนาดนี้ด้วยซ้ำ เพราะถึงไม่เคยเห็นผีมาก่อน แต่ในวันนี้เขาได้เห็นคนสติฟั่นเฟือนกระดกพีซวงหมดไปเกินกว่าครึ่งชั่ง

“ระ…รีบไปตามหมอจากสำนักฝังเข็มทองเร็ว…”

หลังสิ้นเสียงร้องตะโกนของเถ้าแก่ เขาพลันเอ่ยอย่างตกตะลึงขึ้นมาทันที “ไม่สิ รีบทำให้เขาอาเจียนออกมาเร็ว!”

มีคนจำนวนสองคนวิ่งออกจากร้านไป เมื่อมองซ้ายแลขวา ก็พบว่าลูกค้าผู้สวมชุดสีครามอมดำได้หายตัวไปในฝูงชนที่กำลังหลั่งไหลเข้ามา

หอปู้จุ้ย คือหนึ่งในภัตตาคารชั้นเลิศแห่งเมืองยงโจว

เวลากินดื่มที่ห้องโถงอาหาร ค่าอาหารจะเฉลี่ยอยู่ที่ครึ่งตำลึงเงินต่อหัว ถ้าเป็นห้องรับรองส่วนตัว จะอยู่ที่สองตำลึงเงินต่อหัว แต่หากเป็นภัตตาคารที่มีห้องพักหรู พักค้างแรมหนึ่งคืนในห้องเซียงฝาง[1]อย่างดี จะมีราคาสามตำลึงเงินต่อหัว

มู่หนานจือและสวี่ชีอันเดินทางอย่างเชื่องช้าเป็นเวลานาน เพราะระหว่างทางคอยไถ่ถามเส้นทางกับผู้คนอยู่หลายครั้ง จนในที่สุดก็มาถึงยังด้านหน้าภัตตาคาร

เสี่ยวเอ้อร์ที่บริการต้อนรับลูกค้าอยู่บริเวณทางเข้า เมื่อเห็นทั้งสองกำลังตรงมายังภัตตาคาร ก็ก้าวไปข้างหน้า พยักหน้าพร้อมโค้งตัวเอ่ยว่า “นายท่านทั้งสองมาเพื่อกินมื้ออาหารหรือค้างแรมหรือขอรับ”

“ค้างแรม!”

สวี่ชีอันนำบังเหียนม้าให้เสี่ยวเอ้อร์ ถอดถุงบรรจุน้ำ แล้วเทน้ำปนเปื้อนจากการผสมพีซวงออก จากนั้นนำมาถูบนอานม้าอย่างเบาๆ

ระหว่างนั้นเอง มือของเขาก็เปลี่ยนเป็นสีเขียวแกมดำ หลังจากถูเสร็จ เมื่อยกมือขึ้น เนื้อหนังมังสาที่มือก็ฟื้นฟูกลับเป็นปกติแล้ว

ฤทธิ์ของตู๋กู่ เมื่อผสานกับวัตถุดิบและสภาพแวดล้อมแล้วนั้น ก็จะเป็นการสร้างพิษร้ายขั้นพิเศษขึ้นมา

สวี่ชีอันใช้พีซวง เพื่อสร้างพิษชนิดที่ออกฤทธิ์ช้ามาทาบนอานม้า หากมีคนกล้าขี่เจ้าม้าเพศเมียตัวนี้ พิษร้ายที่จับตัวอยู่บนอานม้าก็จะค่อยๆ ระเหยออกตามอุณหภูมิร่างกาย ทะลุผ่านกางเกงสู่ผิวหนัง และจากผิวหนังซึมเข้ากระแสเลือด

อย่างมากสิบห้านาทีก็ตายแล้ว พระเจ้าก็ช่วยไว้ไม่ได้

เสี่ยวเอ้อร์ผู้มีความรู้เพียงน้อยนิด จึงดูความคิดอันซับซ้อนไม่ออก ซ้ำยังต้องมางงงวยอีก เมื่อเจอลูกค้าชุดครามอมดำโยนเศษเงินชิ้นเล็กๆ หนึ่งเม็ดพร้อมเอ่ยว่า “ม้าตัวนี้ของข้า ต้องให้อาหารบำรุงเป็นพิเศษ ทั้งถั่ว ข้าวสาลี ข้าวโพด เกลือ ไข่ไก่ และนมผึ้ง สิ่งเหล่านี้ไม่อาจขาดแม้แต่อย่างเดียว อีกสักพักข้าจะมาตรวจสอบ หากเจ้ากล้ามักง่าย ข้าจะเลาะผิวหนังเจ้าซะ”

ร่างของผู้สกุลสวี่หวังกินเปล่ายามเที่ยวสำราญ เผยจิตสังหารและรัศมีอำมหิตอย่างล้นหลาม สร้างความกดดันมหาศาลเมื่อจ้องมอง

เสี่ยวเอ้อร์กำเศษเงินแน่นด้วยความตื่นตระหนกและหวาดกลัว แล้วเอ่ยว่า “นายท่านโปรดวางใจ…วางใจได้เลยขอรับ ข้าน้อยจะดูแลม้าอันเป็นที่รักของท่านอย่างดีแน่นอนขอรับ”

จากนั้นเขาก็จูงม้าไปยังหลังลานด้านหลังทันที

“เมื่อท่องยุทธภพ ย่อมมีกลิ่นอายอย่างนักท่องยุทธภพ ด้วยเปลือกนอกที่แสร้งทำเป็นอ่อนโยน มีเมตตา ให้เกียรติ มัธยัสถ์ และถ่อมตน อาจจะทำให้ผู้คนรู้สึกเหมือนว่าเจ้าเป็นแกะอ้วนพี[2] ไม่ว่าใครก็ล้วนอยากจะควบคุมเจ้าทั้งสิ้น”

สวี่ชีอันยิ้มพลางอธิบายให้คนงามอันดับหนึ่งแห่งต้าฟ่ง

ยุทธภพกับวัดอารามเป็นคนละโลกอย่างสิ้นเชิง อยู่ในเมืองหลวงนั้น ต้องทำตัวค้อมต่ำ ทำงานทะยานสูง ทั้งเน้นจุดสำคัญเรื่องความรู้สึกของคนและลำดับขั้นอาวุโส

ไม่เหมือนกับยุทธภพ มีทั้งเลวและดีปะปนกันไป จิตวิญญาณของเหล่าอนุชน บางครั้งก็ไม่พ้นการประดาบสัประยุทธ์อย่างดุเดือด ต้องเปิดเผยด้านโหดร้าย แต่เช่นนี้ก็สามารถลดปัญหาที่ยุ่งยากเกินจำเป็นได้เยอะทีเดียว

เมื่อเข้ามายังห้องโถงภัตตาคาร สวี่ชีอันก็พามู่หนานจือเดินไปที่โต๊ะรับรองแขก ระหว่างทางนั้น ก็บังเอิญได้ยินลูกค้าคนอื่นที่อยู่ไม่ไกลพูดว่า “ได้ยินมาว่ามีคนพบเจอสุสานขนาดใหญ่ ภายในภูเขาอันแห้งแล้งทางตอนใต้ที่ห่างไกลจากนอกเมืองสามสิบลี้ และคนมากกว่าสิบคนที่เข้าไปสำรวจ ยังไม่ออกมาเลย”

“ได้ยินมาว่าคนจากตระกูลกงซุนก็ส่งคนไปที่สุสานนั่นเหมือนกัน จนข้างในเสียหายหมด ตอนนี้ข้างนอกนั่นเลยมีข่าวลือว่า ในนั้นมีทรัพย์สมบัติหายากอยู่ ไม่เช่นนั้น จะดูอันตรายขนาดนี้เชียวหรือ”

“เป็นทางตระกูลกงซุนที่ตั้งใจแพร่ข่าวลือนี้กระมัง คงอยากให้เหล่าจอมยุทธพเนจรกลายเป็นผู้ติดตามคอยรับใช้น่ะสิ”

“อาจจะใช่ ยิ่งสุสานอันตราย ทรัพย์สมบัติก็ยิ่งมาก หากในสุสานแค่มีสิ่งของไร้ค่าเพียงไม่กี่อย่าง ใครจะไปใส่ใจติดตั้งกลไกเล่า?”

“มีเหตุผลนะเนี่ย”

“ตระกูลกงซุนที่อยู่ใกล้เมืองยงโจวกำลังรับสมัครผู้กล้า ซึ่งขอนักรบผู้มีความเชี่ยวชาญกลไกฮวงจุ้ยเป็นเลิศ ช่างน่าเสียดายข้ามันแค่ทหาร ความสามารถมีอยู่จำกัด มิเช่นนั้นก็คงเข้าร่วมด้วยแล้ว”

มู่หนานจือได้ยินเช่นนั้นสีหน้าก็พลันเปลี่ยนเล็กน้อย

สวี่ชีอันเลิกคิ้วขึ้น

วังใต้ดินที่อยู่นอกเมืองยงโจวถูกค้นพบแล้วหรือ? อืม ช่วงแรกที่เสินซูต่อสู้กับพวกมัมมี่ก็ค่อนข้างเกิดความเสียหายครั้งใหญ่แล้ว บางส่วนของภูเขานั่นย่อมพังทลายลง จึงเป็นเรื่องปกติที่พวกชอบสอดรู้สอดเห็นจะถูกดึงดูดเข้ามาสำรวจในภายหลัง…

จากการดำรงอยู่ของเสินซู ถึงจะระยะสั้นเพียงครึ่งปีเท่านั้น แต่ก็น่าจะยังไม่มีปัญหาเรื่องมัมมี่ หวังว่าจะไม่มีปัญหานะ ไม่เช่นนั้น การมายงโจวครั้งนี้คงเสียเที่ยวแล้ว…

เขาครุ่นคิดพลางเดินไปยังโต๊ะรับรองแขก แล้วพูดว่า “ขอห้องเซียงฝางสองห้องที่อยู่ติดกัน”

มู่หนานจือที่อยู่ด้านข้างรีบเอ่ยขึ้นอย่างกะทันหัน “มะ…ไม่ต้องถึงสองห้องหรอก แค่ห้องเดียวก็พอแล้ว…”

เสียงของนางค่อยๆ แผ่วเบาลง พร้อมกับก้มหน้างุดเล็กน้อย

นางเขินอายแล้ว…สวี่ชีอันมองพระมเหสี การได้ร่วมห้องเดียวกันกับหญิงงามอันดับหนึ่งแห่งต้าฟ่ง เขาหาได้ดีใจเป็นบ้าเป็นหลังขนาดนั้นไม่ กลับเพียงเลิกคิ้วเท่านั้น

อันดับแรก ผลข้างเคียงของฉิงกู่อาจจะไปกระตุ้นอารมณ์ทางเพศเจ้าของร่างได้ตลอดเวลา สวี่ชีอันจึงกลัวจะควบคุมตัวเองไว้ไม่อยู่

เรื่องต่อมาคือ ผลข้างเคียงของอั๋นกู่จะส่งผลให้เจ้าของร่างชอบอยู่ในที่มืดและอับชื้น ทุกๆ วันต้องอยู่ในพื้นที่ส่วนตัวห้ามให้ใครพบเจอเป็นเวลาสองชั่วยาม

การสะสมพลังปราณของพระมเหสีต้องบรรลุจุดสูงสุดขั้นสามถึงจะสามารถ ‘เก็บเกี่ยว’ ได้ ทว่าผลข้างเคียงจากหนอนกู่ก็ไม่เป็นที่พอใจนัก เพราะมันอาจส่งผลกระทบต่อการเจริญเติบโตของเจ็ดยอดกู่ ทั้งยังส่งผลกระทบต่อตบะของข้าด้วยนี่สิ…

สวี่ชีอันลอบถอนหายใจในใจ สตรีคือจุดอ่อนของเขาเสียจริงด้วย!

ดังนั้นเขาเลยบอกเถ้าแก่ว่าขอห้องเซียงฝางที่มีราคาหนึ่งถึงสองตำลึงเงิน

หลังจากเถ้าแก่รับเงินสองตำลึงแล้ว ก็ดูมีท่าทีที่กระตือรือร้นมากกว่าเดิม ทั้งยังพาแขกผู้มีเกียรติทั้งสองขึ้นไปชั้นบนด้วยตัวเอง

ห้องพักอยู่สุดโถงทางเดิน ยามเปิดหน้าต่างก็จะสามารถมองเห็นทิวทัศน์ของถนนสายหลักที่แสนคึกคัก ซึ่งมู่หนานจือชื่นชอบเป็นอย่างยิ่ง แต่สวี่ชีอันกลับรู้สึกว่ามันเสียงดังโหวกเหวกเสียมากกว่า

สมแล้วที่เป็นหนึ่งในภัตตาคารราคาสูงแห่งเมืองยงโจว สมแล้วที่ห้องเซียงฝางเป็นหน้าตาของภัตตาคาร โต๊ะเขียนหนังสือเป็นไม้หวงฮวาหลี[3]แกะสลักอย่างดี และมีสิ่งล้ำค่าในห้องหนังสือทั้งสี่[4]ถูกวางอยู่บนโต๊ะ

มู่จือหนานเข้าห้องพัก กวาดสายตาพินิจรอบสี่ทิศ ก่อนส่งเสียงจิ๊แล้วเอ่ย “ภาพที่แขวนล้วนชื่อดังทั้งนั้น แต่ก็เป็นของปลอมหมด ไม่มีของแท้สักภาพเดียว”

นอกนั้นมีเพียงภาพ ‘บันทึกกำยานมอดไหม้ในกระท่อมสุราน้อย’ ที่เป็นของแท้ ซึ่งแขวนอยู่ในห้องหนังสือของพระมเหสีแห่งอ๋องสยบแดนเหนือ

“จานฝนหมึกนี้ไม่เลวทีเดียว”

นางเดินเข้าไปด้านข้างโต๊ะ และหยิบจานฝนหมึกสีฟ้าระคนขาวขึ้นมา ซึ่งลวดลายสีฟ้าปนขาวของจานฝนหมึกนี้ ประหนึ่งเปรอะเปื้อนด้วยสีน้ำหมึก จากนั้นมู่หนานจือก็เอ่ยอย่างเสียดายว่า “มีพื้นผิวละเอียดลออ แต่ยังไม่มันลื่นพอ เป็นของชั้นดี ทว่าไม่ถึงกับชั้นยอดเยี่ยมที่สุด”

ถ้าจะมันลื่นได้มากกว่านี้ ก็ลื่นไถลหนีเจ้าแล้ว…สวี่ชีอันวิจารณ์แขวะในใจ

นางเริ่มทำการตรวจสอบสิ่งของภายในห้อง ไม่ว่าจะเป็นพู่กัน หมึก กระดาษ จานฝนหมึก ภาพเขียน และเครื่องเรือนต่างๆ

เถ้าแก่ตกตะลึงจนตาค้าง พร้อมเอ่ยยกยอความเก่งกาจอีกฝ่ายว่า “แม่นางเป็นผู้เชี่ยวชาญตัวจริงเสียงจริงเลยสินะขอรับ”

ทันใดนั้นความดูถูกที่อยู่ภายในใจเล็กน้อยก็ถูกยกออกไป ชายหญิงที่ดูธรรมดาคู่นี้ คงจะเกิดในตระกูลใหญ่ฐานะร่ำรวย ทว่าไม่ได้สุรุ่ยสุร่าย จึงไม่ได้มีรสนิยมและวิสัยทัศน์เช่นนั้น

สวี่ชีอันราวกับได้ฟังคัมภีร์สวรรค์ทั้งเล่ม จึงนำตัวเถ้าแก่มายังข้างโต๊ะ ยิ้มพลางเอ่ยว่า “เถ้าแก่อยู่พูดคุยกันอีกหน่อยเถิด”

“เกรงใจๆ” ท่าทีของเถ้าแก่เปลี่ยนไปดีถึงขีดสุด

สวี่ชีอันเอ่ยถาม “เมื่อครู่ในห้องโถงได้ยินคนพูดว่ามีการค้นพบสุสานขนาดใหญ่ในภูเขาลึกทางตอนใต้?”

เถ้าแก่พยักหน้ากล่าว “มีเรื่องเช่นนี้อยู่ ทว่าก็ไม่รู้ว่าเป็นเรื่องจริงหรือเท็จ ว่ากันว่ามีคนตายเยอะทีเดียว และตอนนี้ภูเขาลูกนั้นก็โดนพวกตระกูลกงซุนยึดครองอยู่”

สวี่ชีอันดื่มชา แล้วพึมพำ “ตระกูลกงซุนรึ? เถ้าแก่ ในเมืองยงโจวแห่งนี้ พวกนั้นเผยกองกำลังจอมยุทธ์บ้างหรือไม่?”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง