บทที่ 499 กระหายพีซวง รสชาติที่แท้จริง!
คนสองคนหนึ่งหน้าหนึ่งหลังอ้อมผ่านลานเรือนใหญ่ไปยังส่วนลึกของสวนเล็ก
ระหว่างทาง สาวน้อยในชุดกระโปรงสีม่วงสวี่หยวนซวงก็เอ่ยเสียงแผ่ว
“มารดาข้าอยากถามเรื่องของเขา!”
จีเสวียนยิ้ม “อย่างที่คิดไว้ หลายปีมานี้คนในตระกูลต่างพูดจาว่าร้ายท่านอามาตลอด สารพัดสิ่งไม่น่าฟังทั้งนั้น แต่ข้ารู้สึกว่าการกระทำของท่านอาในปีนั้นเป็นธรรมชาติของมนุษย์ คนเป็นแม่จะไม่รักลูกได้อย่างไร”
สวี่หยวนซวงเหลือบมองเขา “พี่เจ็ดจะสื่อว่าบิดาของข้าไม่ต่างอะไรกับสัตว์ร้ายหรือ”
จีเสวียนยังคงยิ้มไม่เปลี่ยนแปลง “ราชครูเพียงแค่หยิบยกขึ้นมาพูดเท่านั้น น้องหยวนซวงคิดว่าคนผู้นั้นเป็นอย่างไรหรือ”
สวี่หยวนซวงถอนหายใจ “ท่านพ่อกับท่านลุงต้องการให้เขาตาย ข้าเปลี่ยนเรื่องนี้ไม่ได้ แต่สำหรับข้านะ ถึงอย่างไรเขาก็เป็นพี่ชายของท่านแม่ สิ่งที่ข้าทำได้มีเพียงพยายามไม่ไปสนใจเขา ทำเป็นเหมือนว่าไม่มีเขาอยู่เท่านั้น”
จีเสวียนหรี่ตาลง “แต่ข้าได้ยินหยวนไหวบอกว่าเจ้ามักจะไปสอบถามข่าวคราวของเขานี่นา”
“…”
ใบหน้าอ่อนหวานงดงามของสวี่หยวนซวงแดงเถือก
ทั้งคู่จบบทสนทนาแล้วเดินต่อไปอีกพักหนึ่งเงียบๆ
‘ฮู่ว ฮู่ว ฮู่ว!’
เสียงพัดหวีดหวิวเหมือนกับเสียงลมดังขึ้นมา เมื่อเข้ามาในลานกว้างก็พบว่าที่แท้คือเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่กำลังฝึกวิชาหอกอยู่นั่นเอง ในมือของเขามีหอกยาวเก้าฉื่อ (ประมาณ 33 เซนติเมตร) ทำให้ท่าทางดูดุดันแข็งกร้าว
หอกยาวด้ามนั้น ตัวด้ามมีสีดำสนิท หัวหอกเป็นรูปหัวมังกรสีทองที่อ้าปากกว้างและพ่นปลายหอกแหลมออกมาจากปาก
สีหน้าของเขาเยือกเย็นเคร่งขรึม เขาตวัดหอกพลางส่งเสียงร้องยามออกแรงจนเกิดสายลมแผ่วๆ พัดขึ้นในลานกว้างจนฝุ่นฟุ้งกระจาย
“หยวนไหว”
จีเสวียนหัวเราะแล้วเอ่ยทักทาย
เด็กหนุ่มผู้ฝึกหอกอยู่หยุดเคลื่อนไหว เขาหันหน้ามามอง บนใบหน้าเย็นชาเผยรอยยิ้มราบเรียบออกมา “พี่สาว พี่เจ็ด”
“วิชาหอกของหยวนไหวก้าวหน้าขึ้นอีกขั้นแล้ว ตระหนักถึงจิตหอกได้แล้วหรือ” จีเสวียนเอ่ยยิ้มๆ
“ใกล้แล้ว”
สวี่หยวนไหวพยักหน้าให้แล้วเอ่ย “ภายในครึ่งปีจะต้องเข้าสู่ขั้นสี่ให้ได้”
สีหน้าของเขาเยือกเย็น น้ำเสียงราบเรียบราวกับการเลื่อนสู่ขั้นสี่คือเรื่องง่ายๆ ไม่ควรค่าแก่การเอ่ยถึง
จีเสวียนทอดถอนใจ “พรสวรรค์ของหยวนไหวช่างน่ากลัวนัก”
สวี่หยวนไหว อายุสิบเจ็ดปี มีพรสวรรค์ด้านการฝึกตนที่น่าสะพรึงอย่างยิ่ง อายุสิบห้าอยู่ขั้นหลอมจิต อายุสิบหกอยู่ขั้นกระดูกเหล็กผิวทองแดง อายุสิบเจ็ดก็แตะธรณีประตู ‘จิต’ ของขั้นสี่แล้ว
แน่นอนว่าเรื่องนี้ย่อมเกี่ยวข้องกับทรัพยากรอันมากมายที่มีด้วย สถานะพี่น้องบ้านสกุลสวี่ในเมืองเฉียนหลงไม่ด้อยไปกว่าพี่น้องคนอื่นๆ และจีเสวียนเลย
ตั้งแต่เด็กๆ ก็จะมีอาจารย์มีชื่อมาคอยชี้แนะ โอสถอะไรไม่เคยขาด ทั้งยังมียอดฝีมือมาคอยทดสอบกระบวนท่าให้ด้วย เป็นต้น
สำหรับอัจฉริยะวัยเยาว์ผู้โดดเด่นเช่นนี้ ขั้นหลอมจิตจะสามารถฝึกได้เมื่อร่างกายเติบโตแล้ว แต่สำหรับขั้นหลอมวิญญาณ จะสามารถฝึกล่วงหน้าก่อนก้าวหนึ่งได้เลย
ตระหนักรู้ตั้งแต่อายุยังน้อย หล่อหลอมจิตเดิม และรอจนกว่าจะก้าวข้ามขั้นหลอมจิตและหลอมปราณ จากนั้นการก้าวสู่ขั้นหลอมปราณก็เป็นเรื่องที่จะเกิดขึ้นแน่นอนอยู่แล้ว ต่อมาเมื่อมียาโอสถระดับสูงมาช่วยหล่อหลอมร่างกายและวิญญาณ ขั้นกระดูกเหล็กผิวทองแดงก็ไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป
แต่การเลื่อนจากขั้นหกไปขั้นห้าสลายแรง สวี่หยวนไหวก็ยังใช้เวลาเลื่อนขั้นเพียงปีเดียวเท่านั้น เห็นได้ชัดถึงความแข็งแกร่งของพรสวรรค์ของเขา
แม้ว่าสวี่หยวนไหวจะอยู่ในขั้นห้าสลายแรง แต่หอกเปลวมังกรในมือนั้นเป็นอาวุธเวทมนตร์ชั้นเยี่ยมชิ้นหนึ่ง ตัวหอกหลอมขึ้นมาจากกระดูกสันหลังของมังกรน้ำขั้นสี่ ส่วนปลายหอกหลอมขึ้นมาจากเขี้ยวมังกรน้ำที่แหลมคมและแข็งที่สุด
นอกจากนั้น ในหอกยังผนึกจิตเดิมของมังกรน้ำขั้นสี่เอาไว้ด้วย
เมื่อมีหอกเล่มนี้และอาวุธเวทมนตร์อื่นๆ อยู่กับตัว ขั้นสี่ทั่วไปล้วนไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขาทั้งนั้น
เมื่อเทียบกับบุตรคนโตที่ถูกมองว่าเป็นภาชนะคนนั้น สวี่ผิงเฟิงปฏิบัติต่อบุตรคนที่สองได้ไม่เลวเลย
“พี่เจ็ดมีอะไรหรือ”
สวี่หยวนไหวเอ่ยถาม
จีเสวียนตอบ “ท่านอาอยากพบข้า”
สวี่หยวนไหวเหลือบมองพี่สาว เขาตั้งหอกในมือแล้วยืนตรง ก่อนพยักหน้ากล่าวว่า
“ท่านแม่อยู่ในโถงด้านใน ข้าจะพาพวกเจ้าไปเอง”
จีเสวียนส่ายหน้ายิ้ม ญาติผู้น้องคนนี้ราวกับจะสนใจพี่ชายที่เขาไม่เคยพบหน้าผู้นั้นทีเดียว
สามพี่น้องเดินผ่านสวนใหญ่เข้าไปในโถงด้านใน บนโต๊ะสูงมีสตรีออกเรือนแล้วในชุดงดงามผู้หนึ่งนั่งอยู่ นางมีใบหน้ารูปไข่ห่านที่สง่างาม ผิวสีหิมะริมฝีปากสีผลอิงเถา องคาพยพล้วนประณีตงดงามเป็นที่สุด
นางไม่ได้อยู่ในช่วงวัยเยาว์ แต่อายุกลับไม่ทิ้งร่องรอยเอาไว้บนใบหน้าอันงดงามพริ้มเพราของนางเลย แต่กลับทำให้บุคลิกของนางสุขุมขึ้นและมีกลิ่นอายโตเต็มวัยแบบที่สาวน้อยทั่วไปไม่มี
หว่างคิ้วของนางมีร่องรอยของความเศร้าโศกจางๆ ราวกับดอกติงเซียงที่ผูกมักความโศกาเอาไว้
“ท่านอา!”
จีเสวียนคำนับทักทายพร้อมรอยยิ้มหยี
“ท่านแม่!”
สองพี่น้องสวี่หยวนไหวและสวี่หยวนซวงร้องเรียกพร้อมกัน
ฮูหยินผู้งดงามยกถ้วยชาขึ้น นิ้วเรียวดุจหยกบีบอยู่บนฝาถ้วนชาแล้วเคาะเบาๆ ที่ขอบถ้วยจนเกิดเป็นเสียงอันนุ่มนวลทรงพลัง
“เขากลับมาแล้วหรือ”
ตอนที่เอ่ยถาม แววตาของนางก็จดจ้องเขม็งไปที่จีเสวียน นิ้วมือที่ถือฝาถ้วยชาก็เพิ่มเล็งเข้าไปเล็กน้อย
“ราชครูกลับมาแล้วขอรับ เมื่อครู่ไปเรียกตัวข้ากับท่านพ่อไปพบแล้ว”
จีเสวียนหัวเราะตาหยี ท่าทางเป็นมิตรน่าเข้าใกล้
ฮูหยินคนงามกลั้นหายใจไปพักหนึ่งแล้วเอ่ยขึ้นช้าๆ “เรื่องนั้นสำเร็จแล้วหรือ”
สองพี่น้องสวี่หยวนไหวและสวี่หยวนซวงมองตามไปทันทีด้วยท่าทางรอคอยคำตอบเงียบๆ
จีเสวียนนิ่งคิดแล้วเอ่ยตอบว่า “ท่านอาต้องการถามว่าโชคชะตาในร่างของสวี่ชีอันถูกสกัดออกมาแล้วใช่หรือไม่ขอรับ”
ทันใดนั้นเสียงหายใจของฮูหยินคนงามก็หนักหน่วงขึ้นมา
จีเสวียนส่ายหน้าและถอนหายใจ “ท่านราชครูล้มเหลวขอรับ”
‘เฮ้อ…’ ทรวงอกของฮูหยินคนงามขยับลงมาราวกับได้ปลดภาระหนัก
สวี่หยวนซวง สาวน้อยในชุดกระโปรงสีม่วงมีสีหน้าซับซ้อน
สวี่หยวนไหวยังคงมีสีหน้าเย็นชาเช่นเดิมไม่มีเปลี่ยน
ฮูหยินคนงามยากจะปกปิดรอยยิ้ม การตัดสินใจของนางในปีนั้นถูกต้องแล้ว ในจิ่วโจวแห่งนี้ หากมีใครที่จะสามารถปกป้องบุตรชายคนโตได้ ก็มีเพียงท่านโหราจารย์เท่านั้น
ไม่ว่าจะเป็นความรุ่งเรืองของตระกูลก็ดี ความทะเยอทะยานของสามีก็ช่าง แต่ในสายตาของนาง พวกนั้นล้วนเทียบกับบุตรชายที่ตั้งครรภ์ในเดือนกันยายนของตนไม่ได้เลย
แม้ว่านางจะถูกจองจำอยู่ที่นี่เพราะเรื่องนั้น และแม้ว่าหลังจากให้กำเนิดหนึ่งบุตรหนึ่งธิดาแล้ว แต่ก็ยังถูกทิ้งให้หนาวเหน็บมาสิบกว่าปี
คนในตระกูลล้วนกล่าวว่าเด็กคนนั้นเป็นคนธรรมดาไร้ความสามารถ เมื่อเทียบกับน้องชายและน้องสาว เขาเป็นแค่กองโคลนที่ไม่อาจค้ำยันกำแพงได้ ขยะเช่นนี้กลับนำมาใช้เป็นภาชนะบรรจุโชคชะตา ถือว่าเสียเปล่าแล้ว
เพียงเพราะความใจดีของสตรีอย่างนาง จึงทำให้การใหญ่ล่าช้าออกไป
นางแค่นเสียงหยัน ทำไมจะต้องเสียสละลูกของนางเพื่อความรุ่งโรจน์ของตระกูลด้วย
ในช่วงสิบกว่าปีที่ผ่านมา คนในตระกูลมักจะใช้คำว่าขยะมาเย้ยหยันและเสียดแทงนาง ในปีของการตรวจสอบข้าราชสำนัก คำพูดนี้ก็เริ่มน้อยลงจนกระทั่งในปีนี้ก็ไม่มีใครกล้าพูดว่าเด็กคนนั้นเป็นขยะอีกแล้ว
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง