ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง นิยาย บท 499

สรุปบท บทที่ 499 กระหายพีซวง รสชาติที่แท้จริง!: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

สรุปตอน บทที่ 499 กระหายพีซวง รสชาติที่แท้จริง! – จากเรื่อง ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง โดย Internet

ตอน บทที่ 499 กระหายพีซวง รสชาติที่แท้จริง! ของนิยายกำลังภายในเรื่องดัง ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง โดยนักเขียน Internet เต็มไปด้วยจุดเปลี่ยนสำคัญในเรื่องราว ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยปม ตัวละครตัดสินใจครั้งสำคัญ หรือฉากที่ชวนให้ลุ้นระทึก เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้อ่านที่ติดตามเนื้อหาอย่างต่อเนื่อง

บทที่ 499 กระหายพีซวง รสชาติที่แท้จริง!

คนสองคนหนึ่งหน้าหนึ่งหลังอ้อมผ่านลานเรือนใหญ่ไปยังส่วนลึกของสวนเล็ก

ระหว่างทาง สาวน้อยในชุดกระโปรงสีม่วงสวี่หยวนซวงก็เอ่ยเสียงแผ่ว

“มารดาข้าอยากถามเรื่องของเขา!”

จีเสวียนยิ้ม “อย่างที่คิดไว้ หลายปีมานี้คนในตระกูลต่างพูดจาว่าร้ายท่านอามาตลอด สารพัดสิ่งไม่น่าฟังทั้งนั้น แต่ข้ารู้สึกว่าการกระทำของท่านอาในปีนั้นเป็นธรรมชาติของมนุษย์ คนเป็นแม่จะไม่รักลูกได้อย่างไร”

สวี่หยวนซวงเหลือบมองเขา “พี่เจ็ดจะสื่อว่าบิดาของข้าไม่ต่างอะไรกับสัตว์ร้ายหรือ”

จีเสวียนยังคงยิ้มไม่เปลี่ยนแปลง “ราชครูเพียงแค่หยิบยกขึ้นมาพูดเท่านั้น น้องหยวนซวงคิดว่าคนผู้นั้นเป็นอย่างไรหรือ”

สวี่หยวนซวงถอนหายใจ “ท่านพ่อกับท่านลุงต้องการให้เขาตาย ข้าเปลี่ยนเรื่องนี้ไม่ได้ แต่สำหรับข้านะ ถึงอย่างไรเขาก็เป็นพี่ชายของท่านแม่ สิ่งที่ข้าทำได้มีเพียงพยายามไม่ไปสนใจเขา ทำเป็นเหมือนว่าไม่มีเขาอยู่เท่านั้น”

จีเสวียนหรี่ตาลง “แต่ข้าได้ยินหยวนไหวบอกว่าเจ้ามักจะไปสอบถามข่าวคราวของเขานี่นา”

“…”

ใบหน้าอ่อนหวานงดงามของสวี่หยวนซวงแดงเถือก

ทั้งคู่จบบทสนทนาแล้วเดินต่อไปอีกพักหนึ่งเงียบๆ

‘ฮู่ว ฮู่ว ฮู่ว!’

เสียงพัดหวีดหวิวเหมือนกับเสียงลมดังขึ้นมา เมื่อเข้ามาในลานกว้างก็พบว่าที่แท้คือเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่กำลังฝึกวิชาหอกอยู่นั่นเอง ในมือของเขามีหอกยาวเก้าฉื่อ (ประมาณ 33 เซนติเมตร) ทำให้ท่าทางดูดุดันแข็งกร้าว

หอกยาวด้ามนั้น ตัวด้ามมีสีดำสนิท หัวหอกเป็นรูปหัวมังกรสีทองที่อ้าปากกว้างและพ่นปลายหอกแหลมออกมาจากปาก

สีหน้าของเขาเยือกเย็นเคร่งขรึม เขาตวัดหอกพลางส่งเสียงร้องยามออกแรงจนเกิดสายลมแผ่วๆ พัดขึ้นในลานกว้างจนฝุ่นฟุ้งกระจาย

“หยวนไหว”

จีเสวียนหัวเราะแล้วเอ่ยทักทาย

เด็กหนุ่มผู้ฝึกหอกอยู่หยุดเคลื่อนไหว เขาหันหน้ามามอง บนใบหน้าเย็นชาเผยรอยยิ้มราบเรียบออกมา “พี่สาว พี่เจ็ด”

“วิชาหอกของหยวนไหวก้าวหน้าขึ้นอีกขั้นแล้ว ตระหนักถึงจิตหอกได้แล้วหรือ” จีเสวียนเอ่ยยิ้มๆ

“ใกล้แล้ว”

สวี่หยวนไหวพยักหน้าให้แล้วเอ่ย “ภายในครึ่งปีจะต้องเข้าสู่ขั้นสี่ให้ได้”

สีหน้าของเขาเยือกเย็น น้ำเสียงราบเรียบราวกับการเลื่อนสู่ขั้นสี่คือเรื่องง่ายๆ ไม่ควรค่าแก่การเอ่ยถึง

จีเสวียนทอดถอนใจ “พรสวรรค์ของหยวนไหวช่างน่ากลัวนัก”

สวี่หยวนไหว อายุสิบเจ็ดปี มีพรสวรรค์ด้านการฝึกตนที่น่าสะพรึงอย่างยิ่ง อายุสิบห้าอยู่ขั้นหลอมจิต อายุสิบหกอยู่ขั้นกระดูกเหล็กผิวทองแดง อายุสิบเจ็ดก็แตะธรณีประตู ‘จิต’ ของขั้นสี่แล้ว

แน่นอนว่าเรื่องนี้ย่อมเกี่ยวข้องกับทรัพยากรอันมากมายที่มีด้วย สถานะพี่น้องบ้านสกุลสวี่ในเมืองเฉียนหลงไม่ด้อยไปกว่าพี่น้องคนอื่นๆ และจีเสวียนเลย

ตั้งแต่เด็กๆ ก็จะมีอาจารย์มีชื่อมาคอยชี้แนะ โอสถอะไรไม่เคยขาด ทั้งยังมียอดฝีมือมาคอยทดสอบกระบวนท่าให้ด้วย เป็นต้น

สำหรับอัจฉริยะวัยเยาว์ผู้โดดเด่นเช่นนี้ ขั้นหลอมจิตจะสามารถฝึกได้เมื่อร่างกายเติบโตแล้ว แต่สำหรับขั้นหลอมวิญญาณ จะสามารถฝึกล่วงหน้าก่อนก้าวหนึ่งได้เลย

ตระหนักรู้ตั้งแต่อายุยังน้อย หล่อหลอมจิตเดิม และรอจนกว่าจะก้าวข้ามขั้นหลอมจิตและหลอมปราณ จากนั้นการก้าวสู่ขั้นหลอมปราณก็เป็นเรื่องที่จะเกิดขึ้นแน่นอนอยู่แล้ว ต่อมาเมื่อมียาโอสถระดับสูงมาช่วยหล่อหลอมร่างกายและวิญญาณ ขั้นกระดูกเหล็กผิวทองแดงก็ไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป

แต่การเลื่อนจากขั้นหกไปขั้นห้าสลายแรง สวี่หยวนไหวก็ยังใช้เวลาเลื่อนขั้นเพียงปีเดียวเท่านั้น เห็นได้ชัดถึงความแข็งแกร่งของพรสวรรค์ของเขา

แม้ว่าสวี่หยวนไหวจะอยู่ในขั้นห้าสลายแรง แต่หอกเปลวมังกรในมือนั้นเป็นอาวุธเวทมนตร์ชั้นเยี่ยมชิ้นหนึ่ง ตัวหอกหลอมขึ้นมาจากกระดูกสันหลังของมังกรน้ำขั้นสี่ ส่วนปลายหอกหลอมขึ้นมาจากเขี้ยวมังกรน้ำที่แหลมคมและแข็งที่สุด

นอกจากนั้น ในหอกยังผนึกจิตเดิมของมังกรน้ำขั้นสี่เอาไว้ด้วย

เมื่อมีหอกเล่มนี้และอาวุธเวทมนตร์อื่นๆ อยู่กับตัว ขั้นสี่ทั่วไปล้วนไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขาทั้งนั้น

เมื่อเทียบกับบุตรคนโตที่ถูกมองว่าเป็นภาชนะคนนั้น สวี่ผิงเฟิงปฏิบัติต่อบุตรคนที่สองได้ไม่เลวเลย

“พี่เจ็ดมีอะไรหรือ”

สวี่หยวนไหวเอ่ยถาม

จีเสวียนตอบ “ท่านอาอยากพบข้า”

สวี่หยวนไหวเหลือบมองพี่สาว เขาตั้งหอกในมือแล้วยืนตรง ก่อนพยักหน้ากล่าวว่า

“ท่านแม่อยู่ในโถงด้านใน ข้าจะพาพวกเจ้าไปเอง”

จีเสวียนส่ายหน้ายิ้ม ญาติผู้น้องคนนี้ราวกับจะสนใจพี่ชายที่เขาไม่เคยพบหน้าผู้นั้นทีเดียว

สามพี่น้องเดินผ่านสวนใหญ่เข้าไปในโถงด้านใน บนโต๊ะสูงมีสตรีออกเรือนแล้วในชุดงดงามผู้หนึ่งนั่งอยู่ นางมีใบหน้ารูปไข่ห่านที่สง่างาม ผิวสีหิมะริมฝีปากสีผลอิงเถา องคาพยพล้วนประณีตงดงามเป็นที่สุด

นางไม่ได้อยู่ในช่วงวัยเยาว์ แต่อายุกลับไม่ทิ้งร่องรอยเอาไว้บนใบหน้าอันงดงามพริ้มเพราของนางเลย แต่กลับทำให้บุคลิกของนางสุขุมขึ้นและมีกลิ่นอายโตเต็มวัยแบบที่สาวน้อยทั่วไปไม่มี

หว่างคิ้วของนางมีร่องรอยของความเศร้าโศกจางๆ ราวกับดอกติงเซียงที่ผูกมักความโศกาเอาไว้

“ท่านอา!”

จีเสวียนคำนับทักทายพร้อมรอยยิ้มหยี

“ท่านแม่!”

สองพี่น้องสวี่หยวนไหวและสวี่หยวนซวงร้องเรียกพร้อมกัน

ฮูหยินผู้งดงามยกถ้วยชาขึ้น นิ้วเรียวดุจหยกบีบอยู่บนฝาถ้วนชาแล้วเคาะเบาๆ ที่ขอบถ้วยจนเกิดเป็นเสียงอันนุ่มนวลทรงพลัง

“เขากลับมาแล้วหรือ”

ตอนที่เอ่ยถาม แววตาของนางก็จดจ้องเขม็งไปที่จีเสวียน นิ้วมือที่ถือฝาถ้วยชาก็เพิ่มเล็งเข้าไปเล็กน้อย

“ราชครูกลับมาแล้วขอรับ เมื่อครู่ไปเรียกตัวข้ากับท่านพ่อไปพบแล้ว”

จีเสวียนหัวเราะตาหยี ท่าทางเป็นมิตรน่าเข้าใกล้

ฮูหยินคนงามกลั้นหายใจไปพักหนึ่งแล้วเอ่ยขึ้นช้าๆ “เรื่องนั้นสำเร็จแล้วหรือ”

สองพี่น้องสวี่หยวนไหวและสวี่หยวนซวงมองตามไปทันทีด้วยท่าทางรอคอยคำตอบเงียบๆ

จีเสวียนนิ่งคิดแล้วเอ่ยตอบว่า “ท่านอาต้องการถามว่าโชคชะตาในร่างของสวี่ชีอันถูกสกัดออกมาแล้วใช่หรือไม่ขอรับ”

ทันใดนั้นเสียงหายใจของฮูหยินคนงามก็หนักหน่วงขึ้นมา

จีเสวียนส่ายหน้าและถอนหายใจ “ท่านราชครูล้มเหลวขอรับ”

‘เฮ้อ…’ ทรวงอกของฮูหยินคนงามขยับลงมาราวกับได้ปลดภาระหนัก

สวี่หยวนซวง สาวน้อยในชุดกระโปรงสีม่วงมีสีหน้าซับซ้อน

สวี่หยวนไหวยังคงมีสีหน้าเย็นชาเช่นเดิมไม่มีเปลี่ยน

ฮูหยินคนงามยากจะปกปิดรอยยิ้ม การตัดสินใจของนางในปีนั้นถูกต้องแล้ว ในจิ่วโจวแห่งนี้ หากมีใครที่จะสามารถปกป้องบุตรชายคนโตได้ ก็มีเพียงท่านโหราจารย์เท่านั้น

ไม่ว่าจะเป็นความรุ่งเรืองของตระกูลก็ดี ความทะเยอทะยานของสามีก็ช่าง แต่ในสายตาของนาง พวกนั้นล้วนเทียบกับบุตรชายที่ตั้งครรภ์ในเดือนกันยายนของตนไม่ได้เลย

แม้ว่านางจะถูกจองจำอยู่ที่นี่เพราะเรื่องนั้น และแม้ว่าหลังจากให้กำเนิดหนึ่งบุตรหนึ่งธิดาแล้ว แต่ก็ยังถูกทิ้งให้หนาวเหน็บมาสิบกว่าปี

คนในตระกูลล้วนกล่าวว่าเด็กคนนั้นเป็นคนธรรมดาไร้ความสามารถ เมื่อเทียบกับน้องชายและน้องสาว เขาเป็นแค่กองโคลนที่ไม่อาจค้ำยันกำแพงได้ ขยะเช่นนี้กลับนำมาใช้เป็นภาชนะบรรจุโชคชะตา ถือว่าเสียเปล่าแล้ว

เพียงเพราะความใจดีของสตรีอย่างนาง จึงทำให้การใหญ่ล่าช้าออกไป

นางแค่นเสียงหยัน ทำไมจะต้องเสียสละลูกของนางเพื่อความรุ่งโรจน์ของตระกูลด้วย

ในช่วงสิบกว่าปีที่ผ่านมา คนในตระกูลมักจะใช้คำว่าขยะมาเย้ยหยันและเสียดแทงนาง ในปีของการตรวจสอบข้าราชสำนัก คำพูดนี้ก็เริ่มน้อยลงจนกระทั่งในปีนี้ก็ไม่มีใครกล้าพูดว่าเด็กคนนั้นเป็นขยะอีกแล้ว

ดีที่ตลอดทางมา พวกเขาทั้งขึ้นเรือและขี่ม้า และยังเชื่องช้าไม่รีบร้อน บางครั้งก็พักอยู่ในโรงเตี๊ยมสักวันสองวันเพื่อบรรเทาความเหนื่อยล้าจากการเดินทาง

ชายหญิงหน้าตาธรรมดาคู่นี้ เมื่อเข้าไปอยู่ในหมู่ฝูงชนก็ไม่สะดุดตา ทั้งยังไม่มีแรงดึงดูดเท่าแม่ม้าน้อยสุดองอาจที่หญิงสาวนั่งได้เลย

อย่างน้อยม้าตัวนี้ก็สูงใหญ่แข็งแรง เส้นโค้งสวยสดงดงาม โดดเด่นออกมาตั้งแต่แรกเห็น

“ข้าเคยมาที่ยงโจวครั้งหนึ่งเพื่อช่วยเพื่อนคนหนึ่ง ข้าจะบอกความลับให้เจ้าฟัง ในภูเขาหลายสิบลี้ที่ทางใต้นอกเมืองมีพระราชวังใต้ดินโบราณอยู่ ข้างในมีศพโบราณหลายพันปีนอนหลับอยู่ด้วยนะ ชั่วร้ายมากทีเดียว”

มู่หนานจือเผยสีหน้าหวาดกลัว “เจ้าหลอกข้า”

สวี่ชีอันยักคิ้วหลิ่วตาเอ่ย “ข้าจะหลอกเจ้าไปทำไม ตอนค่ำเวลาจะเข้านอนก็อย่าลืมปิดประตูหน้าต่างให้ดีเล่า หากมีคนมาเคาะประตูก็อย่าเปิดเด็ดขาด”

มู่หนานจือมองเขาอย่างสงสัย “คนที่จะมาเคาะประตูของข้าได้ก็มีแต่เจ้า”

“เหลวไหล”

สวี่ชีอันทำท่าทางจริงจัง “เราเดินทางด้วยกันมาตั้งหลายวันขนาดนี้ ข้าเคยไปเคาะประตูห้องเจ้าหรือ”

“นี่ก็จริง!”

มู่หนานจือยกบั้นท้ายของตนอีกครั้งแล้วเอนไปบนหลังของแม่ม้าน้อยเสียครึ่งตัวเพื่อบรรเทาความเจ็บปวดที่ก้นกบ

ทั้งคู่เดินเข้าเมือง มีคนเดินเท้ามากมายอยู่บนถนน ม่านประดับที่ซุ้มประตูพลิ้วไหวไปตามลม จนเกิดเป็นภาพอันคึกคักมีชีวิตชีวา

สวี่ชีอันถามชาวเมืองที่อยู่ข้างทางเกี่ยวกับโรงเตี๊ยมที่ดีที่สุดของเมืองยงโจว หลังจากรู้ที่อยู่แล้ว เขาก็จูงม้าแล้วเดินไปตามทางที่คนใจดีชี้บอก

มุมปากของมู่หนานจือเผยรอยยิ้มออกมา

เจ้าบุรุษหน้าเหม็นผู้นี้ยังนับว่าเชื่อถือได้ เขาพานางไปพักในโรงเตี๊ยมที่ดีที่สุดและกินอาหารเลิศรสที่ดีที่สุดจริงๆ ตอนนี้พวกเขามาถึงเมืองยงโจวแล้ว นางจึงคิดจะไปเดินเล่นที่ร้านเครื่องสำอางสักหน่อย

เมื่อเดินผ่านร้านยา สวี่ชีอันก็ผูกแม่ม้าน้อยไว้ที่เสาผูกม้านอกร้านแล้วหันมาพูดพร้อมรอยยิ้ม “รอเดี๋ยวนะ ข้าจะไปซื้อของสักหน่อย”

มู่หนานจือขี้เกียจลงจากม้า นางตอบรับเสียง ‘อืม’

เมื่อเข้ามาในร้านและเดินไปยังหน้าแท่นจ่ายเงิน สวี่ชีอันก็เอ่ยถาม “ผู้จัดการ ขอพีซวงสองจิน (1 กิโลกรัม)”

“สะ สองจิน?”

ผู้จัดการร้านที่สวมชุดคลุมสีน้ำเงินมองพิจารณาลูกค้าที่เพิ่งมาถึงก็เข้าประเด็นผู้นี้

สวี่ชีอันวางเงินสองก้อนไว้บนโต๊ะ

ผู้จัดการร้านรู้สึกทันทีว่าบุคลิกและรูปลักษณ์ของลูกค้าผู้นี้เบ่งบานราวดอกไม้ จึงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ท่านลูกค้ารอสักครู่”

เขารีบสั่งให้เสี่ยวเอ้อร์นำพีซวงสองจินมาทันที

เสี่ยวเอ้อรีบนำพีซวงและที่ชั่งน้ำหนักมาทันที เขาชั่งปริมาณต่อหน้าสวี่ชีอันแล้วห่อให้อย่างเรียบร้อย

“ท่านลูกค้า นี่ของท่าน”

สวี่ชีอันรับมาแล้วเปิดห่อกระดาษออกอีกครั้ง จากนั้นปลดถุงน้ำออกมาแล้วเทพีซวงส่วนหนึ่งใส่ลงไปในถุงน้ำ ก่อนเขย่าเบาๆ แล้วดื่มลงไปต่อหน้าผู้จัดการร้านและเสี่ยวเอ้อร์

“สมกับเป็นร้านยาของยงโจว”

สวี่ชีอันชูนิ้วโป้งให้ “รสชาติถูกต้องเลย!”

ผู้จัดการร้านนั่งจุ้มปุ๊กอยู่กับพื้นและมองเขาด้วยสีหน้าหวาดกลัว

กรามของเสี่ยวเอ้อร์ก็แทบจะร่วงลงบนพื้น

“ขอโทษที่รบกวน ข้าขอตัวล่ะ!”

สวี่ชีอันนำพีซวงที่เหลือจากไปอย่างพึงพอใจ

………………………………………………

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง