ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง นิยาย บท 505

บทที่ 505 นิกายขยะ

กงซุนเซี่ยงหยางพยักหน้าโดยไม่พูดอะไร แล้วหันไปสั่งสาวใช้ใต้ชายคา

“แจ้งในครัวให้เตรียมยาบำรุงไว้ให้คุณหนูด้วย ยิ่งบำรุงยิ่งดี”

สองพ่อลูกพากันเข้าไปในห้องสมุด กงซุนเซี่ยงหยางเปิดช่องลับหลังตู้หนังสือ ดึงกล่องไม้ออกมาแล้วเปิดให้กงซุนซิ่ว

ภายในกล่องปูด้วยผ้าไหมสีเหลือง มีโสมม่วงรูปร่างน่าเกลียดดูเหี่ยวย่น ขนาดยาวเท่านิ้วกลาง แต่รากของมันพันกันยุ่งเหยิงเหมือนเส้นด้าย

ลักษณะเช่นนี้หาได้ยากในโสมคน

“โสมหยกม่วงเถานี้เป็นหนึ่งในของสะสมล้ำค่าที่สุดของพ่อ”

กงซุนเซี่ยงหยางชี้ที่กล่องแล้วพูดว่า “ที่มันเป็นแบบนี้ เพราะถูกสกัดเอาแก่นแท้จนกลายเป็นยาชูกำลังชั้นเยี่ยม หากพ่อแก่ตัวไปในอนาคตก็จะพึ่งพามันนี่แหละ”

กงซุนซิ่วมองปราดเดียวก็พยักหน้าแล้วพูดว่า “ในเมื่อท่านพ่อต้องการเก็บไว้ใช้ตอนแก่ ลูกสาวไม่จำเป็นต้องใช้มัน ใช่ว่าลูกสาวต้องกินสิ่งนี้ให้ได้เสียหน่อย”

กงซุนเซี่ยงหยางแค่นเสียง‘หึหึ’อย่างไร้ยางอาย

“ของสิ่งนี้จะทำให้อายุยืนได้อย่างไร พ่อจะใช้ของสิ่งนี้เมื่อแก่ตัวในอนาคต ก็เพื่อใช้ตอนทำน้องๆ ให้แก่เจ้า ดังนั้นมันจึงเป็นยาชูกำลังชั้นดี ชายชราอายุแปดสิบปีก็ยังฟื้นกำลังวังชาของเขาได้”

“…”

กงซุนซิ่วพูดด้วยความหงุดหงิด “ท่านจะมีลูกสักกี่คน ก็เอาชนะข้าไม่ได้หรอก ตำแหน่งประมุขต้องตกเป็นของข้าเพียงผู้เดียว”

กงซุนเซี่ยงหยางหัวเราะชอบใจแล้วพูดว่า “‘งั้นยิ่งต้องให้มี กำเนิดบุตรผู้มีพรสวรรค์สักคน สร้างแรงดันให้เจ้า หากไม่เกิดผล ก็ถือว่าข้าจะเพิ่มผู้ช่วยให้แก่เจ้า”

กงซุนซิ่วกลอกตา หยิบกระจุกรากฝอยที่บิดาฉีกให้ เคี้ยวสองสามคำถึงกลืน

ตอนประมุขกงซุนเซี่ยงหยางยังเยาว์วัย เขาเป็นหนุ่มเจ้าสำราญ เที่ยวสำมะเลเทเมาตามปกติ ถ้าไม่ใช่เพราะพรสวรรค์ทางด้านวรยุทธ์นั้นแกร่งกล้า เขาคงไม่มีวันรับตำแหน่งประมุขแน่

หลังจากขึ้นเป็นประมุขมาหลายปี ก็ยังคงทำนิสัยเก่าๆ เช่นนั้น อาจไม่ถึงกับหัวเราะเอิ๊กอ๊าก แต่สิ่งที่เรียกว่าเกียรติของผู้นำ กลับไม่ปรากฏให้เห็นในตัวเขา

เมื่อสองพ่อลูกซึ่งเปิดใจคุยกันถึงเรื่องผู้สืบทอดประมุข กลับรู้สึกโล่งใจและสงบนิ่งมากขึ้น

กงซุนเซี่ยงหยางเห็นว่าแก้มของลูกสาวขึ้นสีแดงเรื่อ ผิวพรรณกลับมาดีขึ้นหลายเท่าตัว ส่วนลึกของหัวใจพลันคลายกังวลจึงพูดต่อ

“พยายามกลั่นฤทธิ์ของยา อย่าให้เสียของล่ะ…เจ้าคงไม่อยากให้เราพบเจออันตรายในหลุมศพหรอกกระมัง?”

กงซุนซิ่วนั่งลงบนเก้าอี้ตัวใหญ่ ขณะกำลังสกัดเอาฤทธิ์ร้อนผ่าวๆ จากช่องท้องน้อย นางก็พูดขึ้น

“ข้าตัดสินใจถูกแล้ว พวกที่นอนตายอยู่ในหลุมศพย่อมไม่ได้ตายด้วยรูปลักษณ์ แต่ตายเพราะธาตุหยิน เมื่อคืนเราจับมันได้สำเร็จ แต่ก็ตายหลังจากต่อสู้กัน ถ้าหากว่าต้องเจอมันในหลุม ข้าเกรงว่ามีผู้คนจำนวนไม่น้อยที่ต้องถูกฆ่า”

ทันใดนั้นเองจึงเล่าเรื่องที่ล้อมฆ่าพวกหยินให้แก่บิดาฟัง

“ทำได้ดี”

หลังกงซุนเซี่ยงหยางฟังจบก็พยักหน้าเล็กน้อย

“จากนั้นพวกเราก็จัดยอดฝีมือสิบแปดนายลงไปในหลุม หลุมถล่มเป็นวงกว้าง ถูกทำลายไปจนเกือบหมดก็ยังหาของมีค่าใดไม่ได้เลย กระทั่งเข้าสู่สุสานหลัก”

เมื่อพูดถึงตรงนี้ ความหวาดกลัวได้ฉายชัดในดวงตากงซุนซิ่ว ตามด้วยอารมณ์อื่นๆ

ความหนาวเหน็บก่อตัวในใจกงซุนเซี่ยงหยาง เขารีบถามว่า “มีอะไรในสุสานหลักงั้นหรือ?”

กงซุนซิ่วถอนหายใจ “สุสานหลักใต้ดินมีซากศพโบราณ ไม่แน่ใจเรื่องอายุ พวกเราพบมันตอนลงไปในหลุม มันทรงพลังมาก เมื่อปากนั้นอ้าแล้วสูดลมเข้าไปก็จะเกิดลมพายุ…”

นางสาธยายความน่าสะพรึงของซากศพโบราณ ปล่อยยอดฝีมือสิบแปดนายที่ไม่อาจต้านทานได้ไป

กงซุนเซี่ยงหยางดีดตัวขึ้นดังฉับ สองฝ่ามือวางบนโต๊ะ ดวงตาเบิกกว้าง

“ยงโจวมีปีศาจน่ากลัวเช่นนั้นเชียวหรือ? ไม่ควรเลย ไม่ควรอย่างยิ่ง ถ้าเป็นเช่นนั้นจริงคงไม่เงียบมาหลายปีขนาดนี้ หากฟังตามที่เจ้าพูดแล้วนั่นหมายความว่า มันกำลังกระหายเลือด”

ประมุขกงซุนทั้งตกใจทั้งหวาดกลัว ยงโจวเป็นฐานหลักของตระกูลกงซุน หากมีสิ่งที่น่ากลัวอยู่ใต้ดินจริง ย่อมเป็นหายนะสำหรับยงโจวแน่ๆ

สิ่งแรกที่กงซุนเซี่ยงหยางตอบสนองคือการแจ้งให้ทางการทราบและขอให้ผู้ว่าการยงโจวออกหนังสือถึงราชสำนัก เพื่อที่ราชสำนักจะได้ส่งผู้เชี่ยวชาญมาจัดการเรื่องนี้

ศพโบราณนั่นต้องไม่ใช่ขั้นสี่อย่างแน่นอน สิ่งชั่วร้ายที่น่าสะพรึงกลัวอาจจะเป็นขั้นสาม ราชสำนักเองก็ไม่มีทหารขั้นสาม แต่โหรแห่งสำนักโหราจารย์ต้องจัดการได้แน่ เช่นนั้นการนำเรื่องนี้ไปแจ้งย่อมถูกต้องแล้ว…

ราชวงศ์ปกครองที่ราบลุ่มตอนกลางได้ แม้ทุกวันนี้อำนาจประเทศจะอ่อนแอลงอย่างรุนแรง แต่ก็เทียบไม่ได้กับพลังแห่งยุทธภพ

‘ช้าก่อน!’

ในห้วงความคิดแวบหนึ่ง กงซุนเซี่ยงหยางพลันได้สติขึ้น เขาจ้องลูกสาวด้วยตาที่เบิกกว้างแล้วพูดว่า

“เจ้า เจ้ารอดกลับมาได้อย่างไร”

ถ้าศพโบราณนั่นชั่วร้ายจนน่าสะพรึงกลัวเช่นนั้นตามอย่างที่นางสาธยายมา ผู้ที่ยืนอยุ่ตรงหน้าตอนนี้ อาจเป็นวิญญาณของนาง ไม่สิ เกรงว่าจะไม่มีแม้แต่วิญญาณกลับมาด้วยซ้ำ

“เพราะพวกเราเจอยอดฝีมือผู้หนึ่ง”

“ยอดฝีมือ?”

กงซุนซิ่วพยักหน้า “ข้าต้องเล่าย้อนกลับไปตอนยามอู่[1]ของเมื่อวาน ข้ากำลังเลี้ยงรับรองพวกจอมยุทธ์ที่ทะเลสาบหยางไป๋ บังเอิญเห็นเด็กตกน้ำจากเรือสำราญ ‘หวังจี้อวี๋ฟาง’…นักพรตชิงกู่บอกว่านั่นคือวิธีการของฝ่ายอั้นกู่ ด้วยเหตุนี้ข้าจึงชวนเขามาสำรวจสุสานด้วยกัน เขาเหมือนคนที่ใช้อุบายได้อย่างแยบยล ถ้าอยู่ในสุสานย่อมแสดงทักษะได้ดีกว่าพวกทหารเป็นแน่ แต่เขาไม่เห็นด้วย ก่อนจะจากไปก็บอกกับข้าสองประโยค”

กงซุนเซี่ยงหยางหรี่ตาลงอย่างอดไม่ได้ราวกับประหลาดใจ แต่เขาก็อดทนฟังลูกสาวต่อไปโดยไม่ขัดจังหวะ

“ประโยคแรกคือ ถ้าพบอันตรายในสุสาน ให้บอกออกไปว่า เจ้าลืมสัญญากับคนผู้นั้นไปแล้วหรือ อีกประโยคหนึ่งคือ คืนนี้จะมีฝนตกหนัก อย่าลืมเตรียมอุปกรณ์กันฝน”

กงซุนเซี่ยงหยางมองไปนอกหน้าต่างทันที เริ่มมีฝนตกปรอยๆ แล้ว ฝนในฤดูใบไม้ร่วงเช่นนี้พิสูจน์ให้เห็นว่ายอดฝีมือคนนั้นมีความสามารถในการทำนายสภาพอากาศ

“ประโยคก่อนหน้านี้หมายความว่าอย่างไร?” เขามีสีหน้าจริงจัง แต่ดันทนอยากรู้อยากเห็นไม่ไหวเสียอย่างนั้น

กงซุนซิ่วเลี่ยงตอบคำถามโดยตรงแล้วเล่าต่อ

“หลังจากเข้าไปในสุสานเมื่อคืน พวกเราเจอซากศพโบราณในสุสานหลัก อันที่จริงข้าควรตายไปแล้ว แต่คิดได้ว่าคงไม่เป็นไรหากจะลองใช้ประโยคนี้ ด้วยเหตุนี้ข้าจึงพูดออกไปเสียงดัง แล้ว…”

“ผลเป็นอย่างไร?” กงซุนเซี่ยงหยางโน้มตัวไปด้านหน้าเล็กน้อย

“ศพโบราณยอมรามือ ไม่ได้ฆ่าพวกเรา”

“…”

รูม่านตากงซุนเซี่ยงหยางหดตัวอย่างไม่น่าเชื่อ ขณะวิเคราะห์เหตุการณ์

“ยอดฝีมือผู้นั้นกับศพโบราณเกี่ยวข้องกันงั้นหรือ? สัญญา…เป็นไปได้หรือไม่ว่าเพราะมียอดฝีมือผู้นั้นอยู่ ดังนั้นศพโบราณจึงอยู่แต่ในสุสานไม่ออกมารังควาน”

กงซุนซิ่วพยักหน้าพร้อมให้คำตอบเพื่อยืนยัน

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง