บทที่ 506 กระโดดน้ำ
ป้อมปราการหลงเสินสร้างขึ้นบนแม่น้ำวันหลง ห่างจากเมืองยงโจวไปยี่สิบลี้ ที่นี่มีเมืองใหญ่ๆ ที่เจริญรุ่งเรืองและคึกคักอยู่เมืองหนึ่งคือ ‘เมืองวันหลง’ ป้อมปราการหลงเสินก็คือเมืองวันหลง ในสายตาของผู้คนทั่วไป ถ้าพูดถึงป้อมปราการหลงเสินแล้วละก็ ทำงานดีกว่าฝ่ายราชการเสียอีก
แม่น้ำวันหลงมีความกว้างยี่สิบกว่าวา ธุรกิจการขนส่งทางน้ำนั้นพัฒนาอย่างเจริญรุ่งเรือง เมืองวันหลงมีแค่ท่าเรือเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น ก็ถูกป้อมปราการหลงเสินเข้าควบคุม อาศัยท่าเรือนี้ ป้อมปราการหลงเสินนั้นมั่งคั่งไปด้วยน้ำมัน
มีประชาชนมากมายอาศัยป้อมปราการหลงเสินเป็นที่หากิน ด้วยเหตุนี้ เมื่อประชาชนในเมืองมีพิพาท ก็ชอบมาหา ‘ผู้บังคับบัญชา’ ของป้อมปราการหลงเสินให้จัดการให้ เป็นเช่นนี้มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว แม้แต่ความสงบเรียบร้อยของเมืองวันหลง ก็ขึ้นอยู่กับความรับผิดชอบจัดการของป้อมปราการหลงเสิน
เหลยเจิ้ง ผู้ปกครองป้อมปราการคนปัจจุบันผู้นี้เป็นคนที่อารมณ์ร้อนขี้โมโห ไม่ยอมก้มหัวให้ความไม่ถูกต้อง ให้ความสำคัญกับกฎระเบียบเป็นอย่างมาก จัดการปัญหาเรื่องราวต่างๆ อย่างเที่ยงธรรมไม่เห็นแก่หน้าใครทั้งสิ้น ได้รับชื่อเสียงและขนานนามว่าเป็น ‘เทพเจ้าแห่งฟ้าร้อง’
‘เทพเจ้าแห่งฟ้าร้อง’ เหลยเจิ้ง ผู้เก่งเรื่องในเรื่องใช้ดาบใหญ่ นักรบระดับห้า สิ่งที่ไม่เหมือนกับผู้อาวุโสสูงสุดของตระกูลกงซุน ก็คือเขาเป็นคนประเภทที่น่าเบื่อและผู้หญิงไม่เข้าใกล้
ทุกๆ วันเพียงแค่รักการฝึกดาบ ถือมีดปังตอหนักแน่นด้ามใหญ่เคลื่อนไหวดำลงไปใต้แม่น้ำเพื่อเหวี่ยงดาบ หากเหวี่ยงไม่ครบห้าร้อยครั้งก็จะไม่มีทางขึ้นฝั่งเด็ดขาด
ประชาชนทั่วไปในเมืองต่างก็พูดกันว่า ถ้าหากวันไหนที่เห็นผิวน้ำมีคลื่นซัดเป็นระลอก นั่นมั่นใจได้เลยว่าเทพเจ้าแห่งฟ้าร้องกำลังฝึกดาบอยู่ในแม่น้ำ
ในห้องพิจารณาคดี ณ ป้อมปราการหลงเสิน
เหลยเจิ้งจิบชาไปหนึ่งอึก พลางลูบไล้มีดพร้าด้ามใหญ่ในมือ พร้อมกับเสียงพึมพำที่ดังขึ้น
“ข้าต้องไปฝึกดาบแล้ว เจ้ามีเรื่องอะไรก็สรุปใจความมา อย่ารบกวนเวลาฝึกดาบของข้า”
ปีนี้เหลยเจิ้งเพิ่งจะพ้นอายุห้าสิบ ส่วนสูงร้อยเก้าสิบ หัวล้าน ทั้งร่างนั้นกล้ามเนื้อกำยำเต่งตึง ร่างกายนั้นยังแข็งแรงเทียบเท่ากับคนวัยรุ่นหนุ่มสาว นั่นทำให้คนมีความรู้สึกว่าเขาเป็นผู้ชายนิสัยบุ่มบ่ามประเภทที่ว่าหากใครเห็นต่างก็สามารถยกดาบขึ้นฟันผู้นั้นได้โดยทันที ในความเป็นจริงแล้วเขาก็เป็นเช่นนี้จริงๆ
ที่อยู่ข้างกายของเหลยเจิ้ง คือกงซุนเซี่ยงหยางผู้ที่ลุ่มหลงในความงามของสตรี ชายเจ้าชู้อายุน้อยผู้นี้ พูดพลางยิ้มตาหยี “เจ้าฝึกดาบมาหลายปีขนาดนี้ อีกนานเท่าใดกว่าจะสามารถเข้าถึงระดับสี่?”
เหลยเจิ้งพูดด้วยสีหน้าเยือกเย็น “เรื่องนี้ไม่เกี่ยวอะไรกับเจ้า”
กงซุนเซี่ยงหยางพูดอย่างประหลาดใจ “ข้าต้องพิทักษ์เจ้านะ วันใดที่เจ้าเลื่อนขั้นขึ้นระดับสี่ แล้วเอาดาบมาฟันข้า แล้วข้าจะทำเช่นไร”
ประวัติป้อมปราการหลงเสินนั้นสั้นกว่าตระกูลกงซุน ในปีนั้นบรรพบุรุษของป้อมปราการหลงเสินมาที่ยงโจวเพื่อใช้กำลังบุกเข้ายึดอำนาจ มีไม่น้อยเลยที่เกิดการขัดแย้งกันกับเหล่าอิทธิพลในท้องถิ่นของตระกูลกงซุน ลูกหลานรุ่นหลังของทั้งสองฝั่งก็ต่างทะเลาะขัดแย้งกันมาจนถึงถุกวันนี้ เกิดการปะทะไปหลายต่อหลายชีวิต ส่งผลกระทบต่อความสงบเรียบร้อยของยงโจวเป็นอย่างมาก ขุนนางทางการของเมืองยงโจวก็เข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องด้วยเพื่อทำการไกล่เกลี่ย
แน่นอนว่า นั่นเป็นเรื่องของเมื่อสองร้อยกว่าปีมาแล้ว เวลาล่วงมาจนวันนี้ แม้ทั้งสองฝ่ายจะยังมีการกระทบกระทั่งกันอยู่บ้าง แต่ก็ยังคงอยู่บนหลักการและเหตุผล
“มีสถานการณ์บางอย่างเกิดขึ้นในสุสานแล้ว”
ประโยคเดียวของกงซุนเซี่ยงหยาง ทำลายความตั้งใจของเหลยเจิ้งที่จะส่งแขก ผู้ปกครองป้อมปราการร่างกำยำกล้ามแน่นหัวล้านท่านนี้ ขมวดคิ้วเล็กน้อย
“นี่มันเกี่ยวอะไรกับข้า?”
สุสานใหญ่ที่อยู่หุบเขาฝั่งทางใต้นั้นถูกตระกูลกงซุนยึดครองไว้เรียบร้อยแล้ว ตามสัญญาลับที่เป็นที่รู้กันของทั้งสองฝ่าย ป้อมปราการหลงเสินคงไม่สามารถเข้าไปยุ่งในเรื่องนี้ได้อีก นอกเสียจากว่าผู้อาวุโสสูงสุดของตระกูลกงซุนจะทำการเชื้อเชิญด้วยตนเอง
กงซุนเซี่ยงหยางนำสถานการณ์ของสุสาน ตลอดจนเรื่องราวของยอดฝีมือชุดดำ บอกให้เหลยเจิ้งได้รับรู้
ตาทั้งคู่ของเหลยเจิ้งถลึงโต เหมือนกันกับตอนที่กงซุนเซี่ยงหยางได้ยินข่าวนี้เป็นครั้งแรก รู้สึกถึงวิกฤตของกระสุนปืนที่ฝังอยู่ที่ประตูกำลังจะเกิดขึ้น
หลังจากสงบจิตใจได้ เขาก็จ้องผู้อาวุโสสูงสุดของตระกูลกงซุนอย่างเยือกเย็น พลางพูด “ข้าจะเชื่อเจ้าได้อย่างไร”
กงซุนเซี่ยงหยางพูดอย่างช้าๆ
“เจ้าสามารถลงไปที่สุสานเพื่อดูด้วยตัวเอง อืม…ถ้าหากว่าไม่กลัวตายละก็ ที่อยู่ของยอดฝีมือท่านนั้น ข้าสืบมาแล้วเรียบร้อย อยู่ที่หอภัตตาคาร เขาให้ตระกูลกงซุนไปดูที่คุกแห่งเขาทางใต้ เขาทางใต้นั้นใหญ่มาก ถ้าหากต้องการดูอย่างเข้มงวด ต้องใช้กำลังคนไม่น้อยเลยทีเดียว
“ป้อมปราการหลงเสินกับตระกูลกงซุนล้วนร่วมกันหากินที่ยงโจว พวกเจ้าไม่สามารถเอาตัวเองเข้าไปเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ได้ นอกจากนี้ ที่ข้าพูดนั้นเรื่องจริงหรือเรื่องหลอก พวกเราไปเยี่ยมเยียนทางฝั่งยอดฝีมือท่านนั้น ก็คงจะรู้ได้แล้วมิใช่หรือ”
เหลยเจิ้งพูดฮึมฮัมออกจมูกอย่างไม่พอใจ “เจ้าเป็นคนคิดอยากจะไปเอง แต่ไม่กล้า ด้วยเหตุนี้จึงอาศัยความใจกล้าของข้าเพื่อไปแบ่งปันความเสี่ยง”
กงซุนเซี่ยงหยางยิ้มหัวเราะแหะๆ ไม่ได้โต้แย้ง
เหลยเจิ้งจับดาบพลางลุกขึ้น “รออยู่ที่นี่อีกหนึ่งชั่วยาม ข้าฝึกดาบเสร็จแล้วจะไปกับเจ้า”
“จริงๆ แล้วยอดฝีมือท่านนั้นไม่ได้อยู่ในสายตาท่านเลยแม้แต่น้อย?”
“เหอะ ยอดฝีมือหรือไม่ยอดฝีมือ ล้วนขึ้นอยู่กับปากของเจ้าที่พูดออกมา!”
เหลยเจิ้งยังคงอยู่ในท่าทางระแวง ถึงอย่างไรเขาก็ไม่เคยลงไปที่สุสาน และไม่เคยไปกินปูที่ทะเลสาบหยางไป๋ด้วย เพียงแค่อาศัยคำพูดของกงซุนเซี่ยงหยางเท่านั้น ก็ดูเหมือนว่าจะทำให้เขานั้นประหม่าเป็นอย่างยิ่ง
กงซุนเซี่ยงหยางดูลับๆ ล่อๆ เพียงแค่บอกว่าเป็นยอดฝีมือ แต่กลับไม่ได้ถึงพูดบทกวีอะไรนั้น มิเช่นนั้น ท่าทางของเหลยเจิ้งคงจะดูซื่อตรงมากกว่านี้
…
ณ หอภัตตาคาร
ที่ริมโต๊ะนั้นมีพืชมีพิษสดๆ จัดเรียงวางอยู่ พร้อมขวดเซรามิกสามสี่ใบ มีงาอยู่ห้าตำลึง สวี่ชีอันขอให้เตี้ยนเสี่ยวเอ้อ นำถ้วยบดยามาให้ แล้วนำพืชมีพิษกำหนึ่งโยนลงไปบดตำให้แตกละเอียด
หลังจากนั้นก็เทน้ำพิษงูใส่ลงไป พร้อมกับตำ ‘โป๊ก โป๊ก โป๊ก’ อย่างต่อเนื่อง
มู่หนานจือที่นั่งอยู่ข้างหน้าต่างได้สูดเข้าจมูก ก็ขมวดคิ้วพลางพูด “นี่มันกลิ่นอะไรกัน เหม็นที่สุดเลย”
สวี่ชีอันพูด “เปิดหน้าต่างให้ลมพัดอากาศถ่ายเท ข้ากำลังปรุงยาพิษลูกกลอนอยู่”
ขณะพูดไป เขาก็หยิบงาขึ้นมาพร้อมกับโปรยลงในโถบดยา
พระมเหสีเปิดหน้าต่างไว้ตามที่บอก นางไม่ได้สูดเอาอากาศหายใจใหม่เข้าไป แต่กลับเดินไปนั่งลงที่ข้างโต๊ะ พร้อมกับปัดมือสวี่ชีอันตกไปอย่างยโส พร้อมกับแย่งชิงโถมา นางยกปลายนิ้วของนางที่สัมผัสกับน้ำพิษเล็กน้อยนั้นขึ้นดูดที่มุมปาก หลังจากนั้นก็ทำเสียง ‘แจ๊บๆ’ พร้อมกับเลียขอบปาก
“พืชมีพิษพวกนี้มีฤทธิ์ธรรมดา ช่วยอะไรเจ้าไม่ได้หรอก ส่วนรสชาติของน้ำพิษงูนี้ไม่เลวเลยทีเดียว”
ถ้าพูดถึงเทพดอกไม้แล้ว หญ้ามีพิษก็คือหญ้า ดอกไม้พิษก็คือดอกไม้เช่นกัน เทียบกับพืชธรรมดาทั่วไปแล้วแทบจะไม่มีอะไรต่างกัน
สวี่ชีอันเป็นผู้มีความรู้ความเชี่ยวชาญ ทั้งสองคนก็เริ่มพูดคุยกันไป ราวกับว่ากำลังพูดถึงอาหารบางอย่างที่ชอบเหมือนๆ กัน
“ครั้งนี้ข้าไปที่วังสุสานใต้ดินเพื่อไปหาซากศพเก่าๆ เพื่อขอยืมน้ำพิษ ส่วนที่ดีที่สุดของร่างศพพันปีที่ตายทั้งกลม พวกมันมีฤทธิ์กระตุ้นตู๋กู่ได้อย่างรุนแรงที่สุด”
สวี่ชีอันพูดไป พร้อมกับหยิบขวดหยกที่บรรจุน้ำพิษซากศพออกมาจากในกระเป๋าแล้วดึงจุกขวดออก
“กลิ่นช่างรุนแรงเหลือเกิน” มู่หนานจือปิดจมูกแล้วเดินหนีออกไป
สวี่ชีอันเอียงขวดหยกเล็กน้อย น้ำเหลืองสีดำๆ เหนียวข้นก็ค่อยๆ ไหลออกมาจากขวดอย่างช้าๆ หยดลงในโถ
ชั่วพริบตาเดียว เศษกากยาในโถบดยาก็ถูกย้อมเป็นสีดำ มองเห็นเพียงความแวววาว ก็สามารถทำให้คนคิดไปถึงฤทธิ์ของพิษได้แล้ว
ต่อมา เขาก็นำโถบดยาใส่ลงไปบนเตาถ่าน ใช้ไฟอ่อนในการเผา เผาจนเกือบจะแห้งสนิท ก็หยุดพักไว้
สิ่งที่ต้องทำเป็นลำดับต่อมาก็คือนำมันไปกลิ้งให้เป็นเม็ดยาลูกกลอน ทานทุกวันวันละหนึ่งเม็ด น้ำพิษของร่างศพนั้นรุนแรงเกินไป ด้วยระดับตู๋กู่ในตอนนี้ ไม่สามารถรับระดับพิษที่รุนแรงเกินไปได้ในครั้งเดียว มิเช่นนั้นอาจจะตายด้วยพิษได้
หลังจากกลิ้งยาเป็นเม็ดลูกกลอนเล็กๆ เสร็จเรียบร้อยแล้ว สวี่ชีอันก็นำมันกระจายไว้บนโต๊ะ ผึ่งให้มันแห้งไปเอง
อากาศนั้นเต็มไปด้วยสารพิษ ถ้าหากว่าเปลี่ยนให้คนปกติมาอยู่ตรงนี้ คงไม่เกินเวลาหนึ่งถ้วยชา คงต้องตายเพราะพิษแน่นอน
มู่หนานจือนั่งอยู่ข้างหน้าต่าง ทั้งกลอกตามองบน พลางอ่านหนังสืออ่านเล่นที่นางซื้อมาจากถนนในตัวเมือง
เวลานี้ เสียงเคาะประตูห้องดังขึ้น เสียงของเตี้ยนเสี่ยวเอ้อก็ดังขึ้นมา “นายท่าน มีขุนนางสองท่านมาหาท่าน”
หาข้างั้นรึ?
สวี่ชีอันชะงักงัน พลางตอบกลับเตี้ยนเสี่ยวเอ้อด้วยน้ำเสียงสงบนิ่ง “เป็นใครกัน?”
เตี้ยนเสี่ยวเอ้อตอบกลับ “พวกเขาคนหนึ่งเรียกตนเองว่ากงซุนเซี่ยงหยาง ส่วนอีกคนเรียกตนเองว่าเหลยเจิ้ง”
กงซุนเซี่ยงหยาง คนของตระกูลกงซุนงั้นหรือ? แล้วเหลยเจิ้งคือใครกัน…สวี่ชีอันไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่ง แล้วตอบกลับ “เชิญพวกเขาเข้ามา”
เขาเดาว่ากงซุนเซี่ยงหยางคงจะเป็นผู้อาวุโสอย่างสูงท่านหนึ่งของตระกูลกงซุน หรือไม่ก็เป็นผู้อาวุโสสูงสุดของตระกูลกงซุน
ตามกฎแล้ว บุคคลที่สุดยอดจนบรรลุเซียนผ่านโลกมาเป็นระยะเวลาแปดร้อยปีมาอยู่ที่นี่ ตระกูลกงซุนผู้มีอำนาจในยุทธภพ ถ้าหากว่าต้องการจะมาเยี่ยมเยียน ก็คงจะต้องเป็นตระกูลประเภทที่มีคุณธรรมและบารมีสูงส่งเป็นที่นับหน้าถือตาในหมู่ชนแน่นอน
คงไม่สามารถส่งคนผู้น้อยหรือคนตำแหน่งเล็กในวงศ์ตระกูลมาแทนได้ ครั้งล่าสุด ก็เป็นทายาทของตระกูลอย่างกงซุนซิ่ว
สำหรับเหลยเจิ้ง สวี่ชีอันไม่เคยได้ยินเกี่ยวกับระดับของคนผู้นี้มาก่อน แต่ในเมื่อมากับตระกูลกงซุน ก็คงจะเป็นคนที่มีหน้ามีตามีบารมีเช่นเดียวกัน
“ต้องการให้ข้าไปเอาฉากกั้นห้องด้านหลังมาปิดกันไว้ให้สักหน่อยหรือไม่?” พระมเหสีชายตามองขึ้นมา
“ไม่ต้อง ไปเปิดสลักประตูเอาไว้”
พระมเหสีเบะปากเล็กน้อย พลางส่ายสะโพกอันอวบอิ่มชวนหลงใหล เดินไปที่ประตูแล้วดึงสลักประตูออก
ชั่วเวลาอันสั้น เสียงก้าวเดินของสองเท้านั้นก็หยุดลงที่หน้าประตู ตามมาด้วยเสียงเข้มหนาที่ดังขึ้น พูดอย่างเคารพนอบน้อม
“ท่านผู้อาวุโส ข้าน้อยผู้อาวุโสสูงสุดของตระกูลกงซุน กงซุนเซี่ยงหยาง”
สวี่ชีอันพูดนิ่งๆ “ประตูไม่ได้ล็อก”
ประตูถูกผลักเปิดออก ชายกลางคนสวมชุดเสื้อแพรคนหนึ่งเดินเข้ามา ใบหน้าแต้มไปด้วยรอยยิ้ม รอยเหี่ยวราวกับหางปลาที่หางตานั้นชัดเจน นี่คือร่องรอยคุ้นชินที่เกิดขึ้นประจำเวลายิ้ม ชายชราร่างกำยำสูงใหญ่อีกคน ที่หลังนั้นมีมีดพร้าขนาดใหญ่เหน็บอยู่ หัวโล้น นิสัยดูดุเดือด ทำให้ผู้คนมองว่าเขามุทะลุดุดันและโหดร้าย เป็นความประทับใจแรกที่ไม่ค่อยดีนัก
“ผู้ปกครองป้อมปราการหลงเสิน…เหลยเจิ้ง”
ชายชราหัวโล้นประสานมือคารวะ เสียงเขาดังและชัดเจน
สวี่ชีอันพยักหน้าช้าๆ ยกมือขึ้นเพื่อเป็นการเชื้อเชิญ “นั่งเถิด”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง