ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง นิยาย บท 507

บทที่ 507 เรื่องไม่เป็นธรรม

‘กับๆๆ…’

แม่ม้าน้อยย่ำด้วยจังหวะที่สั้นและเร็วอย่างสง่างาม บรรทุกพระมเหสีพร้อมวิ่งมาหา

มันร้องออกมาทางจมูก พลางเอาจมูกลูบๆ ถูๆ หน้าของสวี่ชีอัน สวี่ชีอันลูบต้นคอของมันไม่หยุด เพื่อเป็นการปลอบโยน

พระมเหสีปลดห่อของที่อยู่บนหลังมาออกมา หยิบชุดคลุมเขียวออกมาส่งให้สวี่ชีอัน จากนั้นนางก็เหลือบมองไปที่หญิงสาว ลังเลเล็กน้อยแล้วก็หยิบเสื้อนวมของตนเองออกมาด้วยเช่นกัน

“ใส่คลุมไว้เถอะ ถ้าเป็นหวัดขึ้นมา ช่วยคนก็ถือว่าสูญเปล่า”

ในปลายฤดูใบไม้ร่วง อากาศเย็นของยงโจวนั้นเย็นจนเข้าในกระดูก คนที่เพิ่งจะถูกช่วยขึ้นมาจากในแม่น้ำ ถ้าหากไม่เปลี่ยนชุดให้ทันเวลาเพื่อรับความอบอุ่น ถ้าหากว่าป่วยขึ้นมา อัตราการตายนั้นจะสูงมาก

“บ้านของท่านผู้เฒ่าก็อยู่ข้างหน้านี้ ไปเปลี่ยนเสื้อผ้ากันที่บ้านของท่านผู้เฒ่าเถอะ”

ท่าผู้เฒ่าที่จับก้านไม้ไผ่อยู่รีบพูดขึ้น

สวี่ชีอันที่คลุมเสื้อคลุมเขียวกับเสื้อนวมอยู่นั้น โค้งคำนับพร้อมกับพูด

“ขอบคุณท่านผู้เฒ่ามาก”

เขาลากจูงม้า ลากหญิงสาวตามหลังท่านผู้เฒ่าไป ประชาชนรอบข้างยังคงวิพากษ์วิจารณ์กันอยู่พร้อมกับชี้นิ้ว บ้างก็ซุบซฺบนินทา บ้างก็ทอดถอนใจกับความโชคดีของภรรยาของจางปั่วจือ พบกับกระแสน้ำกับความลึกที่พอดี แล้วยังเจอคนที่พร้อมจะกระโดดลงไปช่วยโดยที่ไม่กลัวอากาศเย็นไม่กลัวเป็นหวัด

เดินไปไม่ถึงร้อยลี้ ท่านผู้เฒ่าก็เลี้ยวเข้าไปในตรอกที่ปูด้วยหินกรวด ผลักประตูไม้สีดำที่ปกคลุมไปด้วยรอยผุกร่อนให้เปิดออก หลังประตูนั้นเป็นซื่อเหอย่วน ข้างบนหลังคาสี่ทิศที่มีช่องแสง

ในเวลานี้สีหน้าของหญิงสาวซีดเซียว ริมฝีปากซีดขาว ทั้งร่างนั้นสั่นไม่หยุด

ถ้าหากว่าสวี่ชีอันยังเป็นทหารละก็ ก็คงจะสามารถส่งผ่านพลังปราณเพื่อขับไล่ความหนาวเย็นภายในร่างกายของนางออกไปได้ง่ายๆ แต่พลังปราณขึ้นอยู่กับสิทธิ์ของทหารในระดับกลางและล่างเท่านั้น ในแต่ละระบบใหญ่ มีเพียงแค่ทหารเท่านั้นที่สามารถแสดงพลังปราณได้

เมื่อถึงระดับสูง ระบบอื่นๆ จะสามารถแสดงพลังปราณได้ตามระกับความแข็งแกร่งของร่างกาย แต่จะไม่สามารถเทียบกับทหารได้ ก็เช่นเดียวกับลี่กู่ เมื่อถึงระดับของลี่น่า นางก็สามารถใช้พลังหลอมจิตได้ด้วยตัวเอง ใช้ร่างกายเป็นหลัก พลังปราณเป็นตัวเสริม เพื่อแสดงพลังต่อสู้ได้อย่างเต็มที่

“พานางไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเถอะ” สวี่ชีอันหยิบเอาห่อผ้าใหญ่ออกมา พลางส่งให้มู่หนานจือ

พระมเหสีกอดแน่นไว้ในอ้อมอก เหลือบมองไปที่หญิงสาว พลางเก็บเอาเสื้อนวมชุดสวยชุดนั้นยัดกลับเข้าไปในห่อผ้าอย่างเงียบๆ พร้อมกับหยิบเอาเสื้อนวมที่ไม่ค่อยสวยเท่าไหร่นักออกมาแทน

‘เมื่อครู่ที่รีบๆ ไม่ทันระวังจึงหยิบเสื้อผ้าดีๆ ไป…’

เมื่อมองดูทั้งสองคนเดินเข้าไปในห้องนอนใหญ่ สวี่ชีอันก็ไปเปลี่ยนชุดที่ห้องข้างๆ ตามการชี้นำของท่านผู้เฒ่า

“ท่านผู้เฒ่า ทำไมท่านไม่หลบห่างออกไปไกลๆ ก่อนล่ะ?” สวี่ชีอันพูดอย่างนิ่มนวล

ชายชราชะงักไป พลางพูดอย่างอึดอัดปนสงสัย “ทำไม เจ้าหนุ่มเจ้ายังอายอยู่หรือ?”

เปล่า ข้ากลัวทำท่านตกใจน่ะ…สวี่ชีอันยิ้มอย่างรู้สึกผิด มองไปที่ชายชราโดยไม่ได้พูดอะไร

ชายชราว่างผ้าสะอาดสำหรับเช็ดเหงื่อไว้บนโต๊ะ แล้วเดินออกไปจากห้อง

สวี่ชีอันปลดกระดุมออก ถอดเสื้อด้านในออก หน้าท้องของเขาและด้านหลังนั้นมีตะปูสี่ดอกฝังอยู่ในเนื้อของเขา สีของบาดแผลนั้นแดงก่ำ หน้าตาดูน่ากลัวสยดสยอง จุดไป่ฮุ่ยบนกลางศีรษะของเขา จิตเดิมมีหนึ่งดอกที่ผนึกจิตเดิมเอาไว้

ตะปูตอกวิญญาณผนึกตบะของเขาเอาไว้ รวมถึงพลังของเขา ตอนนี้มีร่างกายร่างกายที่แข็งแกร่งของทหารระดับสาม แต่ไม่สามารถสั่งให้ออกพลังได้อย่างเต็มที่มากพอ ยิ่งคิดจะอาศัยร่างที่แข็งแกร่งนี้เพื่อฆ่าคนนั้นก็ยิ่งยากที่จะทำได้

หลังจากเปลี่ยนเป็นชุดที่แห้งเรียบร้อยแล้ว สวี่ชีอันและชายชราก็นั่งผิงไฟแบบง่ายๆ อยู่ในห้อง พร้อมกับวางไหเหล้าเหลืองไว้ข้างบน ทั้งสองต่างคุยไร้สาระกันไปเรื่อยเปื่อย

“ท่านอาวุโส ในบ้านนี้มีท่านอยู่เพียงแค่คนเดียวหรอกหรือ?”

“ก็ใช่น่ะสิ ”

“แล้วคนในครอบครัวล่ะ?”

“ภรรยาข้าตายไปเมื่อปีที่แล้วแล้วล่ะ มีลูกสาวกับลูกชาย ลูกสาวแต่งงานออกเรือนไปอยู่ต่างเมืองแล้ว ไม่ได้กลับมาเยี่ยมหาข้าหลายปีแล้ว ส่วนลูกชายนั้น…”

ชายชราหยุดชะงักไปครู่หนึ่ง สายตาของความทุกข์ในใจนั้นฉายแววออกมาอย่างเลี่ยงไม่ได้

“ภัยน้ำท่วมเมื่อหลายปีก่อน ทำให้พวกพืชเกษตรนั้นเสียหายไปหมด เพื่อที่จะเลี้ยงปากท้องของครอบครัว เขาจึงติดตามนายพรานขึ้นเขาไปล่าสัตว์ แต่ดันก้าวพลาดตกหน้าผาสูงชันลงมาจนเสียชีวิต”

เกิดความเงียบขึ้นอยู่ครู่หนึ่ง

ตัวของสวี่ชีอันเองนั้นเป็นคนที่ผ่านความเสียใจและความเจ็บปวดอย่างหนักมาก่อน ดังนั้นคงจะไม่สามารถพูดคำประเภทที่ว่า ‘เสียใจด้วยนะ’ ออกไปได้

เวลานี้ ท่านอาวุโสยกไหเหล้าขึ้นมา ยิ้มพลางพูด “เหล้านี้อุ่นกำลังได้ที่เลย ถ้าหากว่าเดือดแล้ว กลิ่นก็จะจางหายไป เจ้าหนุ่ม…ลองชิมดูสิ”

ในบ้านไม่ได้มีแก้วมากมายนัก

สวี่ชีอันยกไหเหล้าขึ้นดื่มไปหนึ่งอึก สายตาก็เป็นประกายขึ้นมา รสชาตินั้นหวานสดและนิ่มนวล มีทั้งขมเปรี้ยวร้อนแรง แต่ก็ผสมกันได้ลงตัวพอดี หลังจากกลืนเหล้าลงคอไป กลิ่นของมันจะยังคงติดอยู่ระหว่างลิ้นกับฟันไปอีกนาน

เมืองหลวงมีเหล้าดีๆ มากมายนับไม่ถ้วน แต่เหล้าประเภทนี้ เขามั่นใจว่านี่เป็นครั้งแรกที่ได้ลิ้มลอง

เวลานี้ถ้ามีไก่ต้มสับสักจานกับกับถั่วลิสงต้มเค็มก็คงจะดีเลย…สวี่ชีอันคิดเสียดายในใจ ร้อนใจคิดอยากจะหาโรงเตี๊ยมเพื่อพัก เพื่อดื่มเหล้าอย่างเต็มที่กับพระมเหสีจนถึงฟ้าสว่าง

ท่านอาวุโสพยักหน้าอย่างพอใจ เมื่อเห็นสีหน้าของเขาค้างอยู่กับรสเหล้าที่กลืนลงไปอยู่อย่างนั้นเนิ่นนาน ใบหน้าเหี่ยวย่นนั้นปรากฏรอยยิ้มหัวเราะออกมา

“ฟังจากสำเนียงของไอ้หนุ่มแล้ว คงไม่ใช่คนยงโจวหรอกใช่หรือไม่”

“มาจากเมืองหลวง”

ท่านอาวุโสลุกขึ้นด้วยความเคารพ พลางพูด “ที่แท้ก็เป็นคนจากเมืองหลวง มิน่าล่ะ เจ้าหนุ่มกับภรรยาของเจ้า ทั้งคู่ชายก็เก่งหญิงก็งามสมกันราวกับกิ่งทองใบหยกแท้ๆ”

นี่นี่ ท่านผู้เฒ่า ท่านพูดซะดิบดีเช่นนี้จะให้สบายใจได้จริงหรือ…สวี่ชีอันพูดแขวะในใจ

เวลานี้ พระมเหสีกับหญิงสาวก็เดินออกมาพอดิบพอดี หญิงสาวยังคงสีหน้าซีดขาวอยู่ ร่างกายเพรียวบางอ้อนแอ้นนั้นสั่นเทาเล็กน้อยด้วยความหนาว

ท่านอาวุโสเรียกให้ทั้งสองคนมาผิงไฟ สวี่ชีอันเห็นความผิดปกติจากสีหน้าของพระมเหสี ราวกับว่ากำลังระงับความโกรธเป็นอย่างมาก

“มีอะไรหรือ?”

สวี่ชีอันนำไหเหล้าส่งให้หญิงสาว เป็นการให้นางดื่มเสียหน่อยเพื่อให้ร่างกายได้อุ่นขึ้นมาบ้าง หลังจากนั้นก็หันหน้าไปมองทางมู่หนานจือ

ท่านผู้เฒ่าถอนหายใจ “จางปั่วจือไปเล่นพนันอีกแล้วใช่หรือไม่? ”

หญิงสาวห้มหน้าลง พร้อมกับพยักหน้า

เห็นเช่นนี้ ชายชราจึงพูดอย่างประเมินสถานการณ์ “ดูท่าชีวิตความเป็นอยู่คงจะหมดหนทางไปต่อแล้ว”

หญิงสาวส่ายหน้า พร้อมกับน้ำตาที่ไหลลงมา

มู่หนานจือพูดด้วยใบหน้าเศร้าหมอง “ชายของนางมอบตัวนางให้ผู้อื่นไปแล้ว…”

มอบตัวให้ผู้อื่นเป็นวิธีการใช้คำพูดที่อ้อมค้อม เรื่องของเรื่องก็คือสามีของหญิงสาวที่ชื่อจางโหย่วฝูเป็นคนขาพิการ เนื่องจากว่าร่างกายที่ไม่สมประกอบ ทำให้เขาทำงานหนักมากไม่ได้ ฐานะการเงินทางบ้านจึงยากจนข้นแค้นมาโดยตลอด

จางปั่วจือเป็นคนที่ค่อนข้างจะมีเป้าหมายที่สูงส่งแต่มีความสามารถที่น้อยนิด ไม่ยอมใช้ชีวิตแบบยากลำบาก ด้วยเหตุนี้จึงทำให้เขาติดการพนันอย่างหนัก

ไม่กี่ปีต่อมา ชีวิตที่ไม่ร่ำรวยมั่งคั่งนักก็ยิ่งทนต่อไปอีกไม่ไหวแล้ว เขาแพ้พนันไปเก้าในสิบครั้ง จางปั่วจือไม่ใช่คนที่พิเศษอะไร ไม่เพียงแต่จะเสียทรัพย์สินเงินทองทั้งหมดในบ้าน เขายังได้รับหนี้สินติดตัวมาอีกมากมาย

หนึ่งในเจ้าหนี้เจ้าใหญ่ของเขานั่นก็คือนักเลงขาใหญ่ที่ชื่อจูเอ้อร์

จูเอ้อร์สมรู้ร่วมคิดกับบ่อนการพนัน รีดคั้นเงินทองของจางปั่วจือ หลังจากนั้นก็ให้เขาหยิบยืมเงิน จ่ายไปเก้าได้คืนสิบสาม เป้าหมายอื่นนอกจากเงินแล้ว ยังหมายปองภรรยาของจางปั่วจือ ซึ่งก็คือหญิงสาวที่อยู่ตรงหน้านี้เอง

จางปั่วจือโดนขู่เข็ญให้จ่ายหนี้ โดยบีบบังคับให้เขาต้องเอาภรรยาของตนเองมาจำนำ เมื่อไหร่ที่เขาสามารถหาเงินมาคืนได้ เมื่อนั้นจึงจะสามารถนำตัวภรรยากลับไปได้ จางปั่วจือผู้จนตรอกตกลงอย่างจำใจ ลงชื่อในสัญญา

เมื่อวานหญิงสาวจึงโดนจูเอ้อร์นำตัวไป และถูกบีบบังคับให้มอบกายให้กับเขา เช้าวันนี้อาศัยช่วงที่จูเอ้อร์กำลังหลับอยู่ นางก็แอบหลบหนีออกมา เพื่อต้องการจะกระโดดน้ำฆ่าตัวตาย

เมื่อท่านผู้เฒ่าฟังจบ ก็ถอนหายใจออกมาอีกครั้ง ราวกับว่าคาดเดาไว้แล้วว่าไม่ช้าก็เร็วจางปั่วจือจะต้องมาถึงที่นี่

การจำนำภรรยาเป็นเรื่องที่พบได้เป็นปกติในทางใต้ของต้าฟ่ง การมีชีวิตความเป็นอยู่แบบธรรมดานั้นก็ดี แต่ในเมื่อเจอกับภัยพิบัติที่มนุษย์ก่อขึ้น กระแสความนิยมของการจำนำภรรยานั้นก็ยิ่งแพร่หลายยอย่างกว้างขวาง สำหรับกระแสความนิยมเช่นนี้ กฎหมายนั้นห้ามอย่างเคร่งครัด แต่สำหรับฝ่ายราชการนั้นกลับทำเป็นหลับหูหลับตาไม่รับรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้ กลับเลือกใช้ท่าทีนิ่งเฉย

สวี่ชีอันมองที่หญิงสาวอย่างละเอียดถี่ถ้วนอีกครั้ง นางนั้นงดงามจริงๆ บุคคลิกดูอ่อนแอบอบบาง กระตุ้นความปรารถนาของชายที่อยากจะครอบครองอย่างมาก

มู่หนานจือใช้สายตาบอกเป็นนัยๆ อย่างต่อเนื่อง เพื่อถามสวี่ชีอันว่าจะจัดการกับหญิงสาวผู้นี้อย่างไร

“สามีของเจ้าติดหนี้จูเอ้อร์ผู้นั้นอยู่เท่าไหร่?”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง