บทที่ 511 แลกเปลี่ยนข้อมูล
ตงฟางหว่านหรงหวีดเสียงแหลม จากนั้นจึงเกิดภาพมายาหนึ่งขึ้นกลางอากาศ เป็นเงานกขนาดยักษ์ จับเกี่ยวไหล่ทั้งสองข้างของนาง กางปีกก่อนจะทะยานบินออกไป
เมื่อจะพูดเกี่ยวกับระบบพ่อมดผู้ประทานพรขั้นห้าแห่งพ่อมดผู้ยิ่งใหญ่ อย่างแรกต้องควบคุมการอัญเชิญวิญญาณวีรชนก่อน เพื่อสังหารนกปีศาจ หลังจากทุกสิ่งสอดคล้องกันแล้ว ก็จะสามารถอัญเชิญมันบินทะยานตามจุดประสงค์ได้
ในระดับต่ำถึงกลาง การโบยบินคือเคล็ดวิชาที่แทบมิอาจพ่ายแพ้ ไม่ว่าจะยามสงครามหรือต่อสู้ อำนาจแห่งท้องนภาล้วนสำคัญยิ่ง
ตงฟางหว่านหรงจัดการควบคุมเงานกยักษ์ เร่งความเร็วบินไปยังทิศตะวันออก
เส้นทางการสัญจรสะดวก ผู้คนที่เดินเท้าต่างเงยหน้ามอง ตงฟางหว่านหรงชี้ไปยังกลางท้องฟ้าอย่างประหลาดใจ
ตงฟางหว่านชิงถ่ายทอดคำสั่งอย่างสงบนิ่ง “แบ่งออกเป็นสองกลุ่ม กลุ่มหนึ่งไล่ตามไปทางทิศเหนือ อีกกลุ่มไล่ตามไปทางทิศใต้ หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วยาม ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ต้องรีบกลับมาทันที”
เหล่าผู้ใต้บังคับบัญชาพลันขานรับ ก่อนที่ต่างฝ่ายต่างแยกย้าย บ้างก็วิ่งห้อตะบึงไปตามทาง อีกกลุ่มก็กระโดดไล่ตามหลังคา
ส่วนตงฟางหว่านชิงไล่ตามไปยังทิศตะวันตก
หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วยาม ตงฟางหว่านหรงก็กลับมาเมืองผิงโจวโดยไร้ผลการติดตาม ซึ่งกลับไปยังลานขนาดเล็กของโรงเตี๊ยม
“คุณหนูใหญ่ นี่คือข้อความที่คุณชายหลี่ทิ้งไว้ขอรับ”
ทหารรักษาพระองค์คนหนึ่งรีบเข้ามา พร้อมกับถือกระดาษจดบันทึกแผ่นหนึ่งในมือ
สิ่งที่หลี่หลางทิ้งไว้…ตงฟางหว่านหรงรีบก้าวไปข้างหน้า คว้าจับกระดาษ กางเปิดอ่านดู “พี่หรง พี่ชิง ข้ารู้ชีวิตนั้นสำคัญ ทว่าความรักมีค่ายิ่งกว่า หากถามถึงอิสรภาพ ท่านทั้งสองคงบอกว่าสละทิ้งมันได้ ข้าเคยคิดอยากเคียงข้างพวกท่าน ใช้ชีวิตให้สนุกมีสีสัน ควบขับอาชาเข้าดื่มด่ำความซับซ้อนของโลกมนุษย์ด้วยกัน
“แต่ข้าไม่อาจแบกรับชะตาการสืบทอดนิกายสวรรค์ รักหรือเกลียดไม่อาจทำได้ดั่งใจ ได้โปรดยอมให้ข้าจากไปเถิด ข้าจะตามหาเส้นทางของข้า…”
ดวงตาอันทรงเสน่ห์ของหญิงสาวเริ่มแดงระเรื่อ นางกัดฟันพูดด้วยความโกรธ “เจ้าคนเนรคุณใจดำ ข้าจะต้องฆ่ามันให้ได้”
…
เมื่อตงฟางหว่านชิงกลับมายังโรงเตี๊ยม ก็พบว่าพี่สาวกำลังนั่งบนตั่งด้วยสีหน้ามืดมน นางจึงรู้ได้ทันทีว่าพี่สาวไม่อาจตามหลี่หลางกลับมาได้
ตงฟางหว่านหรงนำแผ่นกระดาษออกจากแขนเสื้อ วางบนโต๊ะแล้วเอ่ยว่า “เจ้าคนเนรคุณมันไปตามทางของตัวเองแล้ว”
ตงฟางหว่านชิงคลี่กระดาษและเมื่ออ่านจบ ดวงหน้าก็พลันแข็งทื่อทันใด กัดฟันเอ่ยเน้นทีละคำ “ครั้งหน้าถ้าได้เจอมัน ข้าจะหักขาทั้งสองขาเสีย ทำให้เดินไม่ได้ในชาตินี้”
ทว่าจู่ๆ นางก็มุ่นคิ้ว ก้มหน้าอ่านใหม่อีกครั้ง ก่อนจะพูดเสียงดังว่า “นี่ไม่ใช่ลายมือของหลี่หลาง”
ตงฟางหว่านหรงคนพี่ทำเสียง “อืม” ก่อนเอ่ยว่า “แม้ใช่ไม่ลายมือของหลี่หลาง แต่ก็เรื่องเขาที่ทิ้งไว้เป็นความจริงอยู่ดี เจ้าคนชุดดำนั่นคงไม่ได้ทำทั้งหมดนี้หรอกนะ ที่ผ่านมาเขาอยู่ภายใต้สายตาของข้ามาโดยตลอด ไม่น่ามีโอกาสทิ้งข้อความ
“มาคิดดูแล้วคงให้เจ้าคนลึกลับนั่นเขียนทั้งหมด แล้วฉวยโอกาสมาทิ้งไว้ระหว่างที่พวกเรายังอยู่บนท้องถนน ฮึ ก็ยังใจดำอยู่ดี”
ตงฟางหว่านชิงก้มหน้า อ่านเนื้อหาบนกระดาษอีกครั้ง พร้อมกับนัยน์ตางามที่คลอหยาดน้ำ ราวกับสะเทือนใจจากข้อความดังกล่าว
“เมื่อวานที่เขาก่อปัญหาโดยไร้เหตุผล ข้าก็รู้สึกแปลกๆ แล้ว ไม่เหมือนนิสัยของเขาตามปกติเลย วันนี้พอมาคิดดู เขาตั้งใจหาเรื่อง คงเพราะแอบไปตกลงกับคนอื่นเอาไว้” คนน้องขมวดคิ้วพลางเอ่ยอย่างเย็นยะเยือกราวกับภูเขาน้ำแข็ง
หญิงคนพี่ถอนหายใจจนเป็นเสียงหวานที่ทำให้ผู้คนประทับใจ “ช่างเถอะ เขาอยากมีอิสระ ก็ให้อิสระเขา ครึ่งปีมานี้ เขาดูไม่มีความสุขจริงๆ แหละนะ ไว้จัดการเรื่องนั้นก่อน ค่อยตามเขากลับมาเถอะ”
…
ณ ทางเดินบนเขาเส้นหนึ่งที่ห่างไกลผิงโจว มีม้าสองตัวกำลังวิ่งเหยาะๆ ไปยังเบื้องหน้า
“พี่สวี ท่านเขียนข้อความอะไรทิ้งไว้แทนข้านะ?”
“พี่สวี ม้าตัวนี้ของท่านช่างเป็นม้าพันธุ์ดีจริงๆ ต่อให้นั่งสองคนเดินทางยังสบายเลย เป็นม้าสงครามหรือ”
หลี่หลิงซู่ถือจอกสุราในมือ ดูหล่อเหล่าอย่างสดใส รอยยิ้มประหนึ่งแสงตะวัน
สวี่ชีอันมองเขาปราดหนึ่ง ต้องขอบอกว่าเขาเป็นชายที่มีเสน่ห์มากทีเดียว ตราบใดที่มีใบหน้าสุนัข ก็สร้างความรู้สึกดีๆ ให้ตนได้เสมอ
ซึ่งบนโลกนี้ ผู้คนส่วนมากล้วนมีใบหน้าสุนัข
“คนคนนี้คือใคร? พูดพร่ำไม่หยุด ไม่จบก็ไม่สิ้นสักที” มู่หนานจือที่นั่งข้างหน้าในอ้อมอกสวี่ชีอัน บ่นพึมพำเสียงเบา
หญิงงามอันดับหนึ่งแห่งต้าฟ่งคือสตรีที่หาได้ยาก เนื่องจากไม่แยแสต่อชายหน้าตาดี ไม่ว่าจะชายหรือหญิง ในสายตานางก็ล้วนน่าเกลียดทั้งนั้น
สวี่ชีอันตอบ “เขาคือศิษย์พี่ของหลี่เมี่ยวเจิน พวกเราท่องยุทธภพ ไม่ต้องสนใจมาก เจ้าเองก็อย่าเปิดเผยตัวตนของข้าแล้วกัน”
มู่หนานจือได้ยินเช่นนั้น ก็รู้สึกสนใจขึ้นมาทันที มองหลี่หลิงซู่ด้วยสายตาที่กึ่งยิ้มกึ่งไม่ยิ้ม
ในจังหวะนั้นคนที่ตามหลังกลับยิ้มตอบอย่างสุภาพ แล้วเอ่ยชวนคุยว่า “คนผู้นี้คือพี่สะใภ้หรือ?”
ไม่ทันที่สวี่ชีอันจะได้ตอบ มู่หนานจือก็ชิงอธิบายก่อน “ไม่ใช่ ข้าแค่ร่วมเดินทางท่องยุทธภพด้วยเท่านั้น”
ด้วยนิสัยปากไม่ตรงกับใจของนาง ย่อมไม่มีทางยอมรับว่าตนมีความสัมพันธ์กับสวี่ชีอันอยู่แล้ว จะเป็นคนผ่านทางก็ช่าง เจ้าคนชื่อหลี่อะไรนี่คือศิษย์พี่ของหลี่เมี่ยวเจิน ไม่มีบทบาทสำคัญอะไรหรอก
หลี่หลิงซู่ใจพลันกระตุกวูบ เหงื่อเย็นผุดพรายบนแผ่นหลังจนไหลจ๊อก คิดในใจว่าเสน่ห์ของเขาช่างแย่จริงเลย ยังไม่ทันคุ้นชินกับพี่สะใภ้ผู้นี้ นางก็รีบปัดความสัมพันธ์กับชายของตัวเองเสียแล้ว…
เทพบุตรแห่งนิกายสวรรค์มองสวี่ชีอันอย่างระมัดระวัง แล้วเอ่ยด้วยความจริงใจว่า “นิสัยของพี่สะใภ้โดดเด่นจริงๆ ไม่เหมือนพวกชายตุ้งติ้งเหล่านั้นเลย ราวกับสวรรค์สร้างมาคู่ให้กับพี่สวีเลย เหมาะสมกันมาก”
ใช่สิ หากดูจากหน้าตาของพวกเขาสองคนคงเป็นคู่ที่เหมาะสมกัน
มู่หนานจือคุมสีหน้า จึงมองไม่ออกว่าพอใจ หรือแค่ไม่ได้ถือสากันแน่
นางพินิจมองหลี่หลิงซู่ ทันใดนั้นก็ส่งเสียง “เฮ้อ” ออกมาก่อนจะกล่าวว่า “เจ้าเด็กนี่เหมือนกับเจ้าเลยนะ พูดจาไพเราะหวานน่าฟังเก่งทีเดียว เช่นนี้เองถึงได้คอยซบอยู่ในอ้อมอกพี่สาวน้องสาวคู่นั้นรึ?”
เฮ้ๆ เจ้ากำลังทำลายภาพลักษณ์ของข้านะ…สวี่ชีอันหยิกเอวบางอ่อนนุ่มของนางด้วยใบหน้าไร้อารมณ์ และไม่ตอบอะไร
เทพบุตรแห่งนิกายสวรรค์ได้ยินเช่นนั้น ดวงตาก็พลันเปล่งประกาย “พี่สวีก็เป็นผู้ชายที่ดีเหมือนกัน”
คำพูดนี้ราวกับไปแทงจุดเจ็บของมู่จือหนาน นางหัวเราะเยาะ “หญิงสาวที่เขาชอบพอด้วย ก็ไม่ได้ต่างไปจากพี่น้องฝาแฝดของเจ้าหรอกนะ ไม่สิ เลวร้ายที่สุดเทียบกับพี่น้องฝาแฝดของเจ้าไม่ได้ด้วยซ้ำ”
สวี่ชีอันเอ่ยราบเรียบ “นางพูดเล่นกับเจ้าน่ะ”
เขาหยิกที่เอวบางของนางอีกครั้ง มู่หนานจือเจ็บจนน้ำตาแทบไหล จึงหันศีรษะกลับอย่างหงุดหงิด
หลี่หลิงซู่ยิ้มแย้ม เห็นอยู่ชัดๆ ว่าพี่สะใภ้ผู้นี้คุยโม้แทนชายของนาง ไม่สิ นี่เป็นการโอ้อวดของนางต่างหาก
อุปนิสัยของพี่สะใภ้ไม่เลวเลย มีความจริงใจ แต่รูปลักษณ์นั้นก็ยังยากที่จะอธิบายออกมาอยู่ดี ไม่จำเป็นต้องเปรียบเทียบกับสองสาวพี่น้องชิงหรง หน้าตาของสาวใช้ภายในตำหนักมังกรตงไห่ยังดีกว่านางเลยด้วยซ้ำ
เมื่อเดินทางมาสักพัก สวี่ชีอันก็เห็นลำธารอยู่ที่ไกล จึงพูดขึ้นทันทีว่า “พักที่ริมลำธารสักหนึ่งก้านธูปกันเถอะ”
ไม่ทันได้รอให้เทพบุตรแห่งนิกายสวรรค์ตอบ เขาก็ตีบั้นท้ายม้าแล้วมุ่งไปยังริมลำธารโดยพลัน
หลี่หลิงซู่เร่งตามไปทันที ก่อนจะเห็นคนสกุลสวีพลิกตัวลงจากม้า พร้อมกับอุ้มภรรยาที่งามปานกลางลงจากหลังม้า จากนั้นควักแปรงออกมา ขัดจมูกอาบน้ำให้ม้า
ม้าศึกแห่งต้าฟ่ง ต้องแปรงจมูกทุกๆ สามสิบลี้ เพื่อป้องกันไม่ให้จมูกของม้าปนเปื้อนฝุ่นมากเกินไป เพราะจะทำให้ม้าหายใจลำบาก ทั้งยังอาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพของมันอีกด้วย
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง