บทที่ 518 ในที่สุดก็ได้พบกับฆ้องเงินสวี่ในตำนานแล้ว
“บัดซบ!”
ศิษย์ของตำหนักมังกรตงไห่เดือดดาลขึ้นมาทันที จับคอไว้แน่น และกำลังจะลงมือทุบตี
“นายท่านโปรดไว้ชีวิตด้วย โปรดไว้ชีวิตด้วย”
หลี่หลิงซู่ยกมือขึ้นเพื่อปัดป้อง ร้องขอชีวิตด้วยน้ำเสียงที่แหบพร่า พร้อมกับด่าสวีเชียนในใจ ตาเฒ่าไม่มีจริยธรรมในการต่อสู้
การร้องขอชีวิตไม่เป็นผล ศิษย์ของตำหนักมังกรตงไห่ชกเขาคว่ำลงกับพื้น หลี่หลิงซู่รีบขดตัวทันที ปกป้องศีรษะไว้ ท่าทางยอมรับการทุบตีอย่างเงียบๆ
ศิษย์อีกคนเข้าร่วมกลุ่มทุบตี สั่งสอนคนที่กล้าล่วงเกินคนในกลุ่ม
การเคลื่อนไหวทางนี้ ทำให้ตงฟางหว่านหรงและตงฟางหว่านชิงหันมามองแวบหนึ่ง แล้วก็หันหน้ากลับ ไม่ได้ตะโกนสั่งให้บรรดาศิษย์หยุดการกระทำ แต่ก็ไม่ได้เติมเชื้อไฟให้เหตุการณ์รุนแรงกว่าเดิม
ศิษย์สองคนซัดไปทีหนึ่ง แล้วก็วิ่งตามกลุ่มไปพร้อมกับด่าทอ ทิ้งหลี่หลิงซู่ที่นอนขดตัวกุมศีรษะ เนื้อตัวเต็มไปด้วยฝุ่น ไว้เพียงคนเดียว และสวี่ชีอันจูงม้ากินแตงอยู่ข้างๆ
“อันตรายมาก อันตรายมาก…”
หลี่หลิงซู่นวดเอวพร้อมลุกขึ้น ปัดฝุ่นบนตัวออก มุมปากกระตุกและพูดว่า
“ผู้อาวุโส เหตุใดเมื่อครู่ท่านถึงต้องทำร้ายข้า”
สวี่ชีอันสีหน้าเรียบเฉย “ทดสอบผลของการปลอมตัว ดูแล้วไม่เลวเลยทีเดียว”
…หลี่หลิงซู่มองเขาอย่างสงสัย ในฐานะเทพบุตรแห่งนิกายสวรรค์ เขามีสติปัญญาที่เหนือธรรมดาสามัญ ไม่มีวันสูญเสียความสามารถในการชี้ขาดของตัวเองไป เพราะตัวของสวีเชียนอย่างแน่นอน
เขาสงสัยว่าเมื่อครู่สวีเชียนตั้งใจ แต่เขาไม่มีหลักฐาน
พูดตามเหตุผลก็ไม่น่านะ ข้าไม่ได้ทำให้เขาขุ่นเคือง…ดูเหมือนหลี่หลิงซู่จะคิดอะไรขึ้นมาได้ แสดงสีหน้ารู้ตัวทันที
เขาจะต้องรู้อย่างแน่นอนเลยว่าภรรยาของเขามักจะแอบมองข้า เหมือนเด็กสาวที่เพิ่งมีความรัก โอ้ เสน่ห์อันน่าเบื่อของข้า…
ข้าสบายใจแล้ว! สวี่ชีอันถอนหายใจยาวด้วยความโล่งอก และคิดว่าตัวเองก็เป็นคนมีความยุติธรรมเช่นกัน เพราะเกลียดผู้ชายเลวๆ
ทั้งสองคนเดินไปครู่หนึ่ง นกกระจอกตัวหนึ่งก็บินมาเกาะที่ไหล่ของสวี่ชีอัน ร้องจิ๊บๆ อยู่ชั่วครู่ แล้วก็กระพือปีกบินไป
หลี่หลิงซู่เห็นสีหน้าของเฒ่าประหลาดสวีเชียนเคร่งขรึมเล็กน้อย
“สองพี่น้องตงฟางเข้าวัดซานฮัวไปแล้ว” เขากล่าว
ทันใดนั้น หลี่หลิงซู่ก็เข้าใจแล้วว่าทำไมอารมณ์ของเฒ่าประหลาดคนนี้จึงเปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน
วัดซานฮัวปิดประตูไม่ต้อนรับแขก ใครก็เข้าไปไม่ได้ เหตุใดตำหนักมังกรตงไห่ที่เป็นกองกำลังของสำนักพ่อมดจึงสามารถเข้าไปได้
นี่ก็เพียงพอแล้วที่จะแสดงให้เห็นว่าทั้งสองฝ่ายมีข้อตกลงที่ให้ใครรู้ไม่ได้
เมื่อเป็นเช่นนี้ แผนการพยายามสร้างความขัดแย้งอย่างลับๆ เพื่อช่วงชิงผลประโยชน์ของตาอยู่ของข้าก็ล้มเหลวไม่เป็นท่า…สวี่ชีอันคิดในใจ
หลี่หลิงซู่ลูบคางแล้วพูดว่า “ข้ากลับไม่เคยได้ยินว่าแม่นางหรงพูดว่าสำนักพ่อมดและสำนักพุทธสมคบกัน”
สวี่ชีอันไม่สนใจ เดินจูงม้าไปคนเดียวด้วยความวิตกกังวล
…
ภายในกุฏิ วัดซานฮัว
ตงฟางหว่านหรงและตงฟางหว่านชิงสองสาวพี่น้อง ได้เข้าไปในกุฏิตามคำชี้นำของภิกษุในวัด
ภายในกุฏิ มีเทพอารักษ์นั่งขัดสมาธิอยู่องค์หนึ่ง ท่อนบนเปลือยเปล่า ท่อนล่างห่มหนังเสือ ผิวเป็นสีทองอ่อนๆ ไม่มีเครา ไม่มีคิ้ว ประหนึ่งรูปปั้นที่หล่อจากทองคำ
เขาสูงหนึ่งจั้ง ร่างกายไม่ได้สูงใหญ่ แต่กลับเต็มไปด้วยพลัง ด้านหลังศีรษะมีและวงแหวนไฟกำลังลุกโชนอยู่
เมื่อก้าวเข้าไปในกุฏิ สองพี่น้องตงฟางรู้สึกได้ถึงความร้อนผะผ่าว ราวกับเปลี่ยนจากต้นฤดูหนาวเข้าสู่ฤดูร้อนที่แผดเผา
เทพอารักษ์ระดับสามมีพลังจิตที่ยิ่งใหญ่ ขอเพียงมีเขาอยู่ ก็จะไม่มีสิ่งชั่วร้ายสามารถบุกเข้ามาในกุฏิหลังนี้ได้
ทางด้านขวาของเทพอารักษ์ มีจอมยุทธ์ภิกษุรูปหนึ่งยืนอยู่ เป็นคนหนุ่มที่มีกล้ามเนื้อดันจีวรขึ้น คิ้วหนา ดวงตาดุจระฆังทองเหลือง เปล่งประกายแวววาวยามมองผู้คน ราวกับกำลังถลึงตา
“คารวะเทพอารักษ์!”
สองพี่น้องตงฟางก้มศีรษะ ด้วยความเคารพและสงบเสงี่ยม
เทพอารักษ์ปรือตาพูดช้าๆ
“คนที่มาคืออีเอ่อร์ปู้หรืออูต๋าเป๋าถ่า”
อีกฝ่ายพยายามพูดอย่างช้าๆ ที่สุดเท่าที่จะทำได้แล้ว แต่สำหรับสองพี่น้องตงฟางแล้ว มันยังคงเหมือนเสียงฟ้าร้อง ดังโครมโครมอยู่ในหู
นี่คือลักษณะของการฝึกสิงโตคำรามของสำนักพุทธจนถึงระดับสูง
หากคนธรรมดาได้ยิน จิตใจจะรู้สึกสั่นไหว หวาดหวั่นพรั่นพรึงในทันที
คนคดโกงและชั่วร้ายได้ยินแล้ว ก็จะตัวสั่นงันงก ราวกับถึงวาระสุดท้ายของชีวิต
ตงฟางหว่านหรงก้มหน้า “คือผู้อาวุโสอีเอ่อร์ปู้”
ชะงักไปครู่หนึ่ง แล้วพูดเสริมว่า “ระหว่างทางที่ผู้อาวุโสอีเอ่อร์ปู้เดินทางมา ได้ถูกซุนเสวียนจีแห่งสำนักโหราจารย์ขัดขวางไว้ ทั้งสองฝ่ายต่อสู้กัน และต่างฝ่ายต่างได้รับบาดเจ็บ”
เทพอารักษ์พูดด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมว่า สำนักโหราจารย์ลงมืออย่างที่คิดไว้จริงๆ กลอุบายของโหรแปลกประหลาด ต้องระวังให้มาก พ่อมดเป็นร่างเดิมของโหร มีปราชญ์วิญญาณลงมือ และมีข้าคอยป้องกันอยู่ข้างนอก เหตุการณ์จึงวางใจได้”
ตงฟางหว่านหรงกล่าวว่า “สำนักพ่อมดมาที่นี่ด้วยความจริงใจยิ่ง หวังว่าสำนักพุทธก็จะรักษาสัญญา ปลดปล่อยดวงวิญญาณของท่านอาจารย์ด้วย”
“คนออกบวชไม่พูดปด สำนักพุทธไม่ใช่ต้าฟ่ง พูดจาเชื่อถือไม่ได้ พวกเรารับปราณมังกร ส่วนพวกเจ้าก็นำวิญญาณของน่าหลันไป แต่ว่าพวกเจ้าจะพิสูจน์ความน่าเชื่อถือของตัวเองอย่างไร จะพิสูจน์ความน่าเชื่อถือของน่าหลันอย่างไร”
เทพอารักษ์ลืมตาขึ้น ดวงตาเป็นสีทองขณะที่เขาลืมตา วงแหวนไฟที่อยู่ด้านหลังศีรษะของเขาลุกโชนขึ้นมาทันที
สองพี่น้องตงฟางตัวสั่น หน้าของพวกเขาซีดลงทันที ตงฟางหว่านหรงผู้พี่สูดลมหายใจ
“ดวงวิญญาณของอาจารย์ถูกปราบมายี่สิบปี และพลังชีวิตของเขาได้รับความเสียหายอย่างหนัก แม้คิดจะไม่รักษาคำพูด เกรงว่าคงจะไม่มีความสามารถมากพอ ส่วนผู้อาวุโสอีเอ่อร์ปู้นั้น เขาสัญญาว่าจะปฏิบัติตามข้อตกลง”
เทพอารักษ์หลับตาลงอีกครั้ง
ตงฟางหว่านหรงถอนหายใจช้าๆ รู้สึกโล่งอก พูดว่า
“ผู้อาวุโสอีเอ่อร์ปู้บอกว่า แม้ว่าขั้นสี่ขึ้นไปจะไม่สามารถเข้าไปในเจดีย์พุทธะได้ แต่ไต้ซืออย่าลืมว่า ถ้าซุนเสวียนจีแห่ง สำนักโหราจารย์และสวี่ชีอันร่วมมือกันแล้วละก็…”
นางลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก็เลือกที่จะพูดให้ชัดเจน “แม้ว่าสวี่ชีอันจะเป็นคนเก่งรุ่นหลัง แต่กลับแข็งแกร่งและน่ากลัวกว่า อ๋องสยบแดนเหนือ”
ความหมายของประโยคนี้คือ พวกเขาอาจจะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของสวี่ชีอัน
แต่อีกฝ่ายเป็นเทพอารักษ์ของสำนักพุทธ นางไม่กล้าพูดให้ชัดเจนนัก อีกฝ่ายจะได้ไม่คิดว่านางสบประมาทสำนักพุทธ
เทพอารักษ์ทำสมาธิ แล้วกล่าวว่า “สวี่ชีอันนั้นใช้การไม่ได้แล้ว ไม่ต้องกังวล”
อะไรนะ! สวี่ชีอันใช้การไม่ได้แล้ว?
สองพี่น้องตงฟางทั้งประหลาดใจทั้งดีใจ ใบหน้างามเปี่ยมไปด้วยความยินดี
ชื่อเสียงของสวี่ชีอัน สำหรับพวกนางเรียกได้ว่าดังสนั่น ในฐานะกองกำลังในสังกัดของสำนักพ่อมด ศัตรูตัวฉกาจเช่นนี้ทำให้ผู้คนกินไม่ได้นอนไม่หลับ
คนเนรคุณและใจจืดใจดำในอดีตนั้น มักจะยกย่องสวี่ชีอันต่อหน้าพวกนาง จึงทำให้พวกนางรู้สึกดีและชื่นชมฆ้องเงินสวี่แห่งต้าฟ่งอยู่ไม่น้อย
แต่เนื่องจากสวี่ชีอันได้สกัดทหารกบฏแปดหมื่นนายที่ด่านอวี้หยางแต่เพียงผู้เดียว สังหารจักรพรรดิหยวนจิ่งที่เมืองหลวง และขัดขวางแผนการของพ่อมดผู้ยิ่งใหญ่ ทำให้พวกนางทั้งสองคนยากที่จะชื่นชมเขาอีกต่อไป รู้สึกแต่เพียงว่าสวี่ชีอันเป็นศัตรูที่ทำให้รู้สึกขนหัวลุก ความอันตรายนั้นบรรยายครั้งเดียวไม่หมด
เทพอารักษ์หลับตาลง ไม่พูดอะไรอีก
สองพี่น้องตงฟางโค้งคำนับและออกจากกุฏิไป กระแสลมเย็นปะทะใบหน้า พวกนางสดชื่น หายใจเข้าลึกสองสามครั้ง รู้สึกผ่อนคลายไปทั้งตัว
…
หลังจากที่ทั้งสองคนจากไปแล้ว เทพอารักษ์ก็พูดว่า “จิ้งหยวน เรียกจิ้งซินให้มาพบข้า”
ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่กำยำที่อยู่ข้างๆ พนมมือ โค้งคำนับ และออกจากกุฏิไป
ครู่เดียว เขาก็นำจิ้งซินเข้ามาในกุฏิ ฝ่ายหลังพนมมือทำความเคารพ “อาจารย์อาตู้หนาน”
เทพอารักษ์ตู้หนานหลับตา พูดเสียงงึมงำ
“จิ้งซิน เจ้าเป็นวงศ์วานของพระโพธิสัตว์ฝ่าจี้ เข้ากันได้กับของวิเศษของเขา หลังจากนี้แปดวัน เจ้าจะต้องขึ้นไปที่ชั้นสาม สื่อสารกับวิญญาณของเจดีย์ และควบคุมเจดีย์ในฐานะวงศ์วานของพระโพธิสัตว์ฝ่าจี้
“น่าหลันเทียนลู่ถูกผนึกไว้ที่ชั้นสอง พลังของเขาเต็มพื้นที่ชั้นสอง ไม่มีเจดีย์คอยช่วยเหลือ หากคิดจะบุกเข้าไป มีเพียงตัวเขาเอง ‘เปิดทางให้’ ดังนั้น เจ้าต้องร่วมมือกับคนของสำนักพ่อมดก่อน เพื่อเปิดผนึกของน่าหลันเทียนลู่
“เพื่อป้องกันไม่ให้สำนักพ่อมดกลับคำ เจ้าจงนำหยดน้ำตาของสัตว์กระจก เพื่อที่ข้าจะได้เห็นสถานการณ์ภายในเจดีย์จิ้งหยวน เจ้าจงเข้าไปในเจดีย์พร้อมกับจิ้งซิน”
“ขอรับ!”
จิ้งหยวนและจิ้งซินพนมมือ ฝ่ายหลังถามว่า “ยังคงไม่มีข่าวเกี่ยวกับพระโพธิสัตว์ฝ่าจี้?”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง