บทที่ 519 กระแสคลื่นโหมซัดสาด
จิ้งจอกน้อยแสนบอบบาง มีกระเป๋าหนังขนาดเล็กห้อยอยู่ที่คอ
พูดภาษาคนได้ด้วยรึ? ปีศาจจิ้งจอกตัวนี้รู้ตัวตนที่แท้จริงของข้า…สวี่ชีอันกวาดสายตามองไปรอบๆ ที่นอกหน้าต่าง ก่อนจะกล่าวว่า “เข้ามาคุยกัน”
จิ้งจอกน้อยหัวเราะ ‘ฮี่ฮี่’ ใช้ขาสั้นๆ ทั้งสี่ข้างกระโดดจากขอบหน้าต่างเข้ามาในห้อง
สวี่ชีอันมองตามจิ้งจอกน้อยตัวนี้ เห็นขาทั้งสี่ข้างของมันเคลื่อนไหวอย่างสง่างาม มันเดินมาที่ข้างโต๊ะ และพยายามอย่างเต็มที่ที่จะกระโดด แต่ก็ไม่สามารถกระโดดขึ้นไปบนโต๊ะได้ แถมท้องน้อยๆ ของมันก็ยังกระแทกเข้ากับขอบโต๊ะ
“ไอหยา!”
มันอุทานด้วยความเจ็บปวด ก่อนจะดีดขาหลังและปีนขึ้นมาบนโต๊ะได้ในที่สุด จิ้งจอกน้อยหมอบลง พลางมองสวี่ชีอันอย่างพิจารณาด้วยดวงตาดำแป๋วที่ส่องประกายไปด้วยความอยากรู้อยากเห็นและความตื่นเต้น
ช่างอ่อนหัดจริงๆ…สวี่ชีอันพึมพำอยู่ในใจ
“องค์หญิงให้ข้ามา” จิ้งจอกน้อยเปล่งเสียงราวกับเด็กผู้หญิง
เป็นอย่างที่คิดไว้จริงๆ! สวี่ชีอันแอบพูดในใจ ทั้งเป็นปีศาจจิ้งจอก ทั้งรู้ตัวตนของเขา มีความเป็นไปได้มากที่จะเป็นปีศาจของอาณาจักรหมื่นปีศาจ ด้วยเหตุนี้ เมื่อสักครู่เขาจึงพยายามอดกลั้นความอยากที่จะกำจัดปีศาจเอาไว้
“แล้วยังไง?” เขายืนบนโต๊ะ มองจิ้งจอกน้อยน่ารักขนปุยจากด้านบน “เจ้าแอบเข้ามาที่นี่ ไม่กลัวถูกจับได้รึ?”
จิ้งจอกน้อยหัวเราะ ‘เฮอะๆ’ กล่าวว่า “การเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วเป็นความเชี่ยวชาญของข้า มิเช่นนั้นองค์หญิงจะส่งข้ามาด้วยเหตุใด พี่เย่จีบอกว่าฆ้องเงินสวี่ทำนายได้แม่น สายตาเฉียบแหลม แล้วทำไมเหตุผลง่ายๆ เช่นนี้ถึงคิดไม่ได้?”
“เพราะการให้เหตุผลจำเป็นต้องมีเบาะแสและความเข้าใจในเรื่องราวมากพอ อย่างเช่น ข้าไม่เข้าใจเจ้า ข้าไม่มีทางตัดสินชี้ขาดได้ว่าเจ้าเป็นจิ้งจอกน้อยสะเพร่าหรือไม่ และอย่างเช่น เจ้าอายุยังน้อย ดังนั้น ข้าจึงสงสัยได้ว่าเจ้าอาจจะไม่มีความสามารถ และไม่มีความรอบคอบมากพอ” สวี่ชีอันกล่าวอย่างสบายๆ
จิ้งจอกน้อยเข้าใจขึ้นมาโดยฉับพลัน ดวงตาราวกับไข่มุกดำประกายแสงระยิบระยับ ยกมือขึ้นตบโต๊ะ กล่าวเสียงแผ่วว่า “ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง สมแล้วที่เป็นฆ้องเงินสวี่ พูดอะไรช่างมีเหตุผล เป็นระเบียบเรียบร้อยจริงๆ”
“พี่เย่จีที่เจ้าพูดถึงคือใคร นางรู้จักข้ารึ?” สวี่ชีอันนั่งลงที่โต๊ะ พลางรินน้ำชาให้ตนเอง
“เร็วเข้า รินให้ข้าดื่มสักถ้วย” จิ้งจอกน้อยตบโต๊ะ พลางกล่าวกระตุ้น
สวี่ชีอันรินน้ำให้นางจนเต็มถ้วย จมูกสีชมพูของจิ้งจอกน้อยโน้มเข้าไปใกล้ผิวน้ำ พลางแลบลิ้นเล็กๆ ออกมาเลียแผล็บๆ
“เจ้าแปลงร่างไม่ได้รึ?” สวี่ชีอันกล่าวด้วยความประหลาดใจ
“ยังไม่ได้” จิ้งจอกน้อยกล่าวเสียงหวาน
ข้าคิดผิดแล้ว เจ้าไม่ใช่แค่ผักไร้ค่า แต่เจ้าเป็นผักเน่าใช้การไม่ได้ต่างหาก องค์หญิงอาณาจักรหมื่นปีศาจส่งเจ้ามาทำไมกัน…สวี่ชีอันบ่นพึมพำในใจ
หลังจากจิบชาไปสองสามอึก จิ้งจอกน้อยก็กล่าวว่า “พี่เย่จีเป็นพี่สามของข้า ความสามารถของนางแข็งแกร่งมาก นางเกิดก่อนข้าสามร้อยเจ็ดสิบหกปี” ดังนั้น สรุปว่าพี่เย่จีของเจ้าเป็นใคร
“ก่อนหน้านี้นางเคยทำงานในเมืองหลวง นางเพิ่งกลับมาได้ไม่นานก็เล่าเรื่องเกี่ยวกับเจ้าให้ข้าฟังมากมาย ฆ้องเงินสวี่ช่างเก่งกาจจริงๆ”
ฝู ฝูเซียง…สีหน้าสวี่ชีอันแข็งทื่อ เขาแยกไม่ออกว่าตนเองมีความสุข ผิดหวัง หรือโกรธเคือง ตอนนี้อารมณ์ของเขาซับซ้อนอย่างมาก
มีความสุขที่ได้ยินข่าวของคนสนิทเก่าอีกครั้ง ผิดหวังที่ไม่รู้ว่าจะได้พบกันอีกเมื่อใด โกรธเคืองเพราะจู่ๆ เจ้าพนักงานผู้งามสง่าแห่งต้าฟ่งก็ถูกนางเปลี่ยนให้เป็นซากศพแห้งแห่งต้าฟ่ง
นางคือน้องสาวของฝูเซียง ที่แท้ชื่อที่แท้จริงของฝูเซียงก็คือเย่จี…สีหน้าของสวี่ชีอันอ่อนลงเล็กน้อย และถามว่า “องค์หญิงของเจ้าให้เจ้ามาทำอะไรรึ?”
“มาแจ้งข่าวน่ะสิ” จิ้งจอกน้อยกล่าวอย่างมีความสุข
เจ้ามาแจ้งข่าวนี่เอง…หลังจากรอครู่หนึ่ง สวี่ชีอันเห็นนางยังไม่พูดอะไร และมองตนเองด้วยสีหน้าชื่นชม ดังนั้นเขาจึงทำได้เพียงกล่าวเน้นย้ำว่า “แจ้งข่าว?”
“องค์หญิงให้ข้ามาเล่าสถานการณ์ของสำนักพุทธให้เจ้าฟัง”
ในขณะที่พูด จิ้งจอกน้อยก็เหลือบสายตาไปมองบนโต๊ะ สิ่งที่นางเห็นคือขนมกุ้ยฮวา จากนั้นนางก็ชายตามองมันหลายต่อหลายครั้ง
“อยากกินก็กินเถอะ” สวี่ชีอันถอนหายใจ
จิ้งจอกน้อยกรีดร้องอย่างมีความสุข นางถือขนมกุ้ยฮวา พลางใช้ปากเล็กๆ แทะกินอย่างเอร็ดอร่อย
หลังจากรออย่างอดทนให้นางกินจนเสร็จ สวี่ชีอันก็ถามอีกว่า “ยังอยากกินอีกหรือไม่?”
“ได้ได้ได้ ขอบคุณฆ้องเงินสวี่มาก”
“พูดเรื่องที่องค์หญิงให้เจ้ามาถ่ายทอดให้เรียบร้อยก่อนเถอะ”
ตะกละ! สวี่ชีอันตำหนิในใจ แต่ไม่ว่าจิ้งจอกตัวใดก็ไม่รู้จักอิ่ม อันที่จริงก็ไม่น่าแปลกอะไร
จิ้งจอกน้อยถอนสายตากลับด้วยความไม่เต็มใจ ก่อนจะนั่งลงอย่างเชื่อฟัง กล่าวว่า “เริ่มจากสูงสุดไปต่ำสุด ผู้ที่แข็งแกร่งเหนือชั้นที่สุดในสำนักพุทธคือพระพุทธเจ้า ตามด้วยพระมหาโพธิสัตว์สี่ พระโพธิสัตว์ในยุคปัจจุบันมีสี่องค์ แบ่งเป็นพระโพธิสัตว์เจียหลัวซู่ ผู้ควบคุม ‘พระโพธิสัตว์วัชรปาณี พระโพธิสัตว์มัญชุศรี’ พระโพธิสัตว์กว่างเสียน ผู้ควบคุม ‘ร่างธรรมสังสารวัฏ ร่างธรรมมหากรุณา’ พระโพธิสัตว์ฝ่าจี้ ผู้ควบคุม ‘ร่างธรรมแห่งปัญญา ร่างธรรมเชี่ยวชาญโอสถ’ และพระโพธิสัตว์หลิวหลี ผู้ควบคุม ‘ร่างธรรมธุดงค์ ร่างธรรมแก้วอัญมณีไร้สี’ ในพุทธประวัติเคยมีพระโพธิสัตว์ปรากฏถึงเก้าองค์ ห้าร้อยปีก่อนมีเจ็ดองค์ แต่หลังจากการกวาดล้างปีศาจหกสิบปี ตอนที่จักรพรรดิอู่จงชิงราชบัลลังก์ก็ถูกท่านโหราจารย์รุ่นที่หนึ่งสังหารไป ตอนนี้เหลือเพียงสี่องค์เท่านั้น หลังจากนั้นก็เป็นเก้าพระอรหันต์ ผู้ที่รอดชีวิตเหลือเพียงสององค์ คือพระโสดาบันระดับเต๋าและพระอรหันต์ตู้เอ้อร์ องค์หญิงบอกว่า หลังจากระดับเต๋ารวมตัว ก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ ด้วยเหตุนี้ เมื่อนานมาแล้ว พระอรหันต์หลายองค์จึงเลือกที่จะเกิดใหม่ และฟื้นฟูพุทธศาสนา”
แต่ว่า แต่ว่าพระโพธิสัตว์สี่องค์ พระอรหันต์สององค์ ระดับเพชรสององค์ที่เหลืออยู่ นี่มันไร้เหตุผลมาก…
อย่างไรก็ตาม หากต้าฟ่งไม่ได้ประสบภัยพิบัติจากจักรพรรดิหยวนจิ่งและการถูกสูบโชคชะตาของสวี่ผิงเฟิง แน่นอนว่าไม่ได้มีแค่อ๋องสยบแดนเหนือที่อยู่ขั้นสามคนเดียว อย่างน้อยเว่ยกงก็เป็นยอดฝีมือขั้นสอง แน่นอนว่ายังมียอดฝีมือคนอื่นกำเนิดขึ้นอย่างแน่นอน
“จริงสิ…” นางนั่งยอง ยื่นอุ้งเท้าเข้าไปในกระเป๋าหนังใบเล็กที่ห้อยอยู่ที่คอ “องค์หญิงให้ข้ามอบสิ่งนี้ให้เจ้า”
นางหยิบสร้อยข้อมือเส้นหนึ่งออกมา บนสร้อยข้อมือมีกระดิ่งสีทองแดงที่ขึ้นสนิมห้อยอยู่หกอัน มันให้ความรู้สึกเก่ามากจริงๆ
“สร้อยข้อมือ?”
จิ้งจอกน้อยกล่าวแก้ไขว่า “องค์หญิงบอกว่านี่เป็นสร้อยข้อเท้า”
สวี่ชีอันรับสร้อยข้อเท้าเส้นนั้นมา พลางถามว่า “เจ้าชื่ออะไร?”
จิ้งจอกน้อยกล่าวว่า “เจ้าลองเดาสิ”
“เดาไม่ออก”
“ฮึ่ม ไร้ประโยชน์จริงๆ ข้าจะใบ้ให้เจ้า ชื่อของข้ากับพี่เย่จีตรงข้ามกันพอดี”
“รื่อจี?”
“ไป๋จีต่างหาก!”
จิ้งจอกน้อยยกอุ้งเท้าด้านหน้าขึ้น และตบลงบนโต๊ะอย่างแรงเพื่อแสดงความโกรธ “เรื่องสุดท้าย องค์หญิงบอกว่า หวังว่าเจ้าจะรักษาสัญญา ตามหาไต้ซือเสินซูที่เหลือ ด้วยเหตุนี้ นางจึงส่งข้ามาเฝ้าติดตามเจ้า บอกเจ้าไว้ก่อน ระดับความเร็วของข้ายอดเยี่ยมมาก ข้าสามารถเดินทางได้หลายพันลี้ภายในหนึ่งวัน และยังเก่งเรื่องการเคลื่อนไหวอย่างลับๆ ข้ามีประโยชน์มาก”
จิ้งจอกน้อยยืดอก ยืนเท้าสะเอวอย่างภาคภูมิใจ
“เดินทางหลายพันลี้ในหนึ่งวัน…” สวี่ชีอันดวงตาเป็นประกาย และกล่าวว่า “เช่นนั้นเจ้าแบกคนได้หรือไม่?”
จิ้งจอกน้อยตกตะลึง นางก้มลงไปมองร่างอันบอบบางของตนเอง ก่อนจะหันไปมองร่างหนาของสวี่ชีอันอีกครั้ง พลางกล่าวด้วยความลังเลว่า “ดะ ได้กระมัง…”
สวี่ชีอันดึงจิ้งจอกน้อยขึ้นมากอดด้วยความดีใจ จากนั้นก็วางมันลงบนพื้น และหย่อนก้นนั่งลงไปบนหลัง
จิ้งจอกน้อยถึงกับสับสนไปชั่วขณะ
…
“เฮ้ เฮ้ เจ้าอย่าร้องไห้สิ ก็เจ้าบอกเองว่าได้”
สวี่ชีอันนั่งลงข้างเตียง และมองสุนัขจิ้งจอกขนปุยที่นอนร้องไห้อยู่บนหมอน
น้ำตาเม็ดใหญ่ไหลออกมาจากดวงตาของจิ้งจอกน้อย “ข้าอยากกลับไปบอกองค์หญิง เจ้ารังแกข้า ฮือฮือฮือ…ข้าเจ็บเอวมาก ฮือฮือฮือ…”
ตั้งแต่นางเติบโตมาจนถึงตอนนี้ ก็ยังไม่เคยถูกรังแกมาก่อน
สวี่ชีอันเก่งในการปลอบประโลมหญิงสาว แม้ปลอบสุนัขจิ้งจอก…ก็เชี่ยวชาญนัก หลังจากหลอกล่อเกลี้ยกล่อมแล้ว จิ้งจอกน้อยก็ให้อภัยเขาทั้งน้ำตา
สวี่ชีอันเป่าเทียน กล่าวว่า “เช่นนั้น เจ้าง่วงหรือไม่?”
จิ้งจอกน้อยลุกขึ้นมา และมองเขาอย่างระแวดระวังในความมืด “ไม่ พี่เย่จีบอกว่าเจ้าเป็นพวกทะลึ่ง ข้าไม่สามารถนอนกับเจ้าได้”
สวี่ชีอันชำเลืองมองจิ้งจอกน้อย พลางปิดหน้าอย่างเงียบๆ
ไม่ถึงขนาดนั้น ไม่ถึงขนาดนั้น…
…
ภายในห้องส่วนตัวของเหวินเหรินเชี่ยนโหรว เทพบุตรนิกายสวรรค์ยืนอยู่ข้างหน้าต่าง พลางหมุนจอกสุรา กล่าวว่า “พี่สวีและพี่สะใภ้ไม่ได้อยู่ห้องเดียวกันรึ?”
เหวินเหรินเชี่ยนโหรวหวีผมอยู่หน้ากระจก และตอบรับด้วยรอยยิ้มว่า “อืม”
นางสวมชุดด้านในสีขาว สะโพกกลม เอวบาง หน้าอกอิ่มเอิบ จากรูปร่างลักษณะแล้ว นางนับว่าเป็นหญิงสาวที่โดดเด่นมาก
‘อยู่ดีๆ จะแยกห้องทำไม’…เขาพึมพำในใจ และกล่าวอีกว่า “โหรวเอ๋อร์ อยู่ต่อหน้าสวีเชียน จำไว้ว่าต้องให้เกียรติ เคารพเขาสักหน่อย”
“ข้าปฏิบัติต่อเขาอย่างผู้มีพระคุณ” เหวินเหรินเชี่ยนโหรวแสดงความน้อยอกน้อยใจอย่างมาก
“ไม่ ข้าไม่ได้หมายความเช่นนั้น” หลี่หลิงซู่หยุดครู่หนึ่ง ก่อนจะลดเสียงลงเล็กน้อย “สวีเชียนเป็นสัตว์ประหลาด สัตว์ประหลาดที่มีชีวิตอยู่มาหลายร้อยปี”
“ขั้นสามรึ?” เหวินเหรินเชี่ยนโหรวจิตใจสั่นสะท้าน
หลี่หลิงซู่ส่ายศีรษะ และอดที่จะหัวเราะไม่ได้ “ก่อนหน้านี้ ข้าก็คิดเช่นนี้ แต่เมื่อวานมีเรื่องเล็กน้อยที่วัดซานฮัวทำให้ข้าเปลี่ยนความคิด อืม เขามอบกระเป๋าผ้าให้ข้าใบหนึ่ง ด้านในเต็มไปด้วยปืนใหญ่และหน้าไม้ มากพอสำหรับกองทหารติดอาวุธ หอการค้าเหลยโจวของพวกเจ้าพยายามอย่างหนักและใช้เงินจำนวนมากในการซื้อหน้าไม้และกระบอกปืนจากฝ่ายราชการ กระเป๋านั้นทำจากผ้าไหมปักลาย ในสมัยโบราณใช้ในการบรรจุจดหมาย แต่สำหรับเขาแล้ว สิ่งเหล่านี้เป็นเพียงของกระจุกกระจิกที่ไร้ค่า”
เหวินเหรินเชี่ยนโหรวรู้สึกเหลือเชื่ออย่างมาก “เขาเป็นคนของราชสำนักรึ? ยอดฝีมือขั้นสามของราชสำนัก ก่อนหน้านี้มีเพียงอ๋องสยบแดนเหนือ ภายหลังมีสวี่ชีอัน นอกจากนี้ก็เป็นโหรของสำนักโหราจารย์ แล้วสวีเชียนนี่เป็นใคร?”
บุตรนิกายสวรรค์ส่ายศีรษะ “เขาน่าจะไม่ใช่คนของราชสำนัก ตามที่เขาพูด ปืนใหญ่และหน้าไม้เป็นของเล็กๆ น้อยๆ ที่ได้มาตอนเล่นหมากรุกชนะท่านโหราจารย์ หึ คนประเภทนี้ คงไม่มีความจำเป็นที่จะหลอกลวงข้า ใช่หรือไม่”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง