ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง นิยาย บท 520

บทที่ 520 ความขัดแย้ง (1)

ยิ่งวันเปิดเจดีย์พุทธะใกล้เข้ามาเท่าไร ชาวยุทธ์ทั้งหลายก็ตบเท้าหลั่งไหลมายังเขาจินกวง และพยายามบุกเข้ามาในวัดซานฮัวมากขึ้นเท่านั้น

เกิดความบาดหมางขึ้นอย่างมากระหว่างสองฝ่าย แต่ยังอยู่ในระดับที่ควบคุมได้ ชาวยุทธ์ทั้งหลายไม่คิดจะบุกเข้าไปข้างใน เพียงแต่ส่งเสียงโห่ร้องอยู่รอบๆ วัด

จอมยุทธ์ภิกษุแห่งวัดซานฮัวออกมาคุ้มกันรอบวัด และเริ่มปะทะกับชาวยุทธ์ที่จำนวนเพิ่มขึ้น

ในโบสถ์ที่ประดิษฐานพระพุทธรูป ไต้ซือผานหลงเจ้าอาวาสวัดนั่งอยู่บนอาสนะ และหารือถึงวิธีการรับมือร่วมกับประธานภิกษุ และภิกษุอาวุโสทั้งหลายในวัด

“หลี่เมี่ยวเจินเทพธิดาแห่งนิกายสวรรค์มาก่อความวุ่นวายเมื่อตอนนั้น น่ารังเกียจนัก”

ประธานภิกษุผู้มีสถานะเป็นผู้สืบทอดตำแหน่งเจ้าอาวาส เอ่ยขึ้นด้วยเสียงทุ้มต่ำ

“ตอนนี้คนในยุทธภพมารวมตัวกันมากขึ้นเรื่อยๆ ไล่ก็ไม่ไป จะทำอย่างไรดี” ภิกษุอาวุโสรูปหนึ่งขมวดคิ้วแน่น

สถานการณ์ในปัจจุบันอยู่เหนือความคาดหมายของพวกเขา เดิมทีในการคาดเดาของสำนักพุทธ คิดว่าซุนเสวียนจีแห่งสำนักโหราจารย์จะส่งกองทัพมาปราบปรามและชิงปราณมังกรไป

หากเป็นเช่นนี้ เทพอารักษ์ตู้หนานก็มีเหตุผลเพียงพอที่จะลงมือจัดการ ต่อให้กองทัพเข้ามาโดยอ้างว่ามา ‘ปราบปีศาจ’ แต่สำนักพุทธเองก็มีเหตุผลรองรับเช่นกัน

ภูเขาศักดิ์สิทธิ์อรัญตาแห่งสำนักพุทธ แค่นี้ก็เป็นข้ออ้างในการฉีกสัญญาพันธมิตร และโจมตีต้าฟ่งได้แล้ว

แน่นอนว่านี่เป็นสถานการณ์ที่ฉีกหน้ากันอย่างรุนแรง ความสัมพันธ์ของสำนักพุทธและต้าฟ่งยังไม่เลวร้ายลงถึงขั้นนั้น แต่สำนักพุทธสามารถกล่าวโทษต้าฟ่ง เรียกร้องการขออภัย และสิ่งชดเชยต่างๆ จากต้าฟ่งได้อย่างเบ็ดเสร็จ

ใครจะล่วงรู้ว่ากองทัพต้าฟ่งไม่ได้มาเอง แต่กลับเป็นชาวยุทธ์กลุ่มใหญ่ที่มาแทน

ราชสำนักต้าฟ่งไม่มีทางชดใช้ในสิ่งที่คนพวกนี้ทำอย่างเด็ดขาด

“ไล่ไม่ไปงั้นหรือ อมิตตาพุทธ เช่นนั้นก็จงปัดเป่าให้สิ้นเสีย” ภิกษุอาวุโสรูปหนึ่งเอ่ยด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม

ประธานภิกษุพยักหน้าช้าๆ

“ถูกต้อง สำนักพุทธของเราเป็นสถานที่บรุสิทธิ์ผุดผ่อง จะปล่อยให้จอมยุทธ์จากต้าฟ่งมากระทำการป่าเถื่อนได้อย่างไร ท่านอาจารย์ เหตุใดท่านไม่สร้างขบวนทัพสยบปีศาจวางไว้รอบวัด แล้วปล่อยให้พวกคนเหล่านั้นบุกทะลวงเข้ามาล่ะขอรับ วิธีนี้นอกจากจะหยุดยั้งฝูงชนได้อยู่หมัดแล้ว ยังเป็นการสร้างกฎเกณฑ์ขึ้นมาควบคุมพวกมันให้สงบเสงี่ยมได้

“แม้ว่าท่านเทพอารักษ์ตู้หนานจะไม่ได้พูดอะไรออกมา แต่ก็คงรู้สึกไม่พึงใจอยู่ลึกๆ พวกเราต้องจัดการเรื่องนี้ให้ได้”

ภิกษุทุกรูปมองไปทางเจ้าอาวาส

เจ้าอาวาสไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวพร้อมกับพยักหน้า “ได้!”

บนทางเดินเลียบภูเขา สวี่ชีอันเดินทางไปกับคารวานของสมาคมการค้าเหลยโจว ที่มีเหวินเหรินเชี่ยนโหรวเป็นคนนำขบวน เข้าใกล้ซุ้มประตูที่เชิงเขาจินกวง

ซุ้มประตูถูกสร้างขึ้นที่เชิงเขา สูงสามจั้ง สลักไว้บนแผ่นป้ายว่า ‘วัดซานฮัว!’

“เฮ้อ คนเยอะเหลือเกิน”

หลี่หลิงซู่กล่าวยิ้มๆ ขณะนั่งบนหลังม้า

เขาเลิกแกล้งแปลงกายเป็นหลี่เมี่ยวเจิน ภาพของวัดซานฮัวที่ถูกฝูงชนปิดล้อม ล้วนเป็นการทำเพื่ออุทิศให้แก่จอมยุทธ์หญิงนกนางแอ่นเหินหลี่เมี่ยวเจิน หากตอนนี้เขาแปลงกายหลี่เมี่ยวเจิน ก็ไม่ต่างอะไรจากการรนหาที่ตาย

และยังมีความเสี่ยงที่ตัวตนจะถูกเปิดเผยอีกด้วย

สวี่ชีอันส่งเสียงพึมพำออกมา พลางกวาดตามองไปรอบๆ ที่ใต้ซุ้มประตูของวัดซานฮัวมีแต่ม้าลานตา แนวป่ารอบด้านมีแต่ม้าที่ถูกล่ามเอาไว้

เมื่อทอดสายตาออกไป ก็เห็นชาวยุทธ์ที่ถือสารพัดอาวุธเอาไว้ในมือ บ้างก็พูดคุยกัน บ้างก็กอดอาวุธพลางหลับตาพิงต้นไม้ บ้างก็นั่งสวาปามไก่ย่างอยู่ข้างทาง

ระดับความวุ่นวายเทียบเท่าตลาดสด

มีคนตบเท้ามาที่นี่ไม่น้อย พวกยอดฝีมือก็มีมากเช่นกัน…สวี่ชีอันพยักหน้าอย่างพึงใจ นี่เป็นข้อพิสูจน์แล้วว่า ‘การโฆษณา’ ของเขาได้ผลดีเยี่ยม

จอมยุทธ์ยึดถือพลังเป็นสรณะ ชาวยุทธ์ที่รักอิสระทำตามใจตนเองพวกนี้ ใช้เป็นเบี้ยที่รับกระสุนได้อย่างดี ใครก็ตามที่จับจุดอ่อนของพวกเขาได้ ก็ใช้พวกเขาเป็นเครื่องมือได้ตามสบาย

ในบรรดาสายหลักทั้งหลาย ประชากรในสายลัทธิขงจื๊อและโหรนั้นมีจำนวนน้อยที่สุด ขณะที่จำนวนของจอมยุทธ์มีมากที่สุด

ในจิ่วโจวจอมยุทธ์ที่เดินสายฝึกวิทยายุทธ์มีมากกว่าจำนวนของผู้ฝึกตนระบบสายหลักทั้งหลายรวมกันหลายเท่า

แต่อ้างอิงจากภาพจิตรกรรมฝาผนังในวังใต้ดินที่ได้เห็น และข้อมูลที่ได้มาจากศพโบราณ จิ่วโจวมีสายฝึกตนเพียงสามจำพวกเป็นเวลาช้านานหลังการล่มสลายของเทพปีศาจ

หนึ่งคือ สายนักรบ สองคือ สายเต๋า และสามเผ่าพันธุ์ปีศาจ

ในบรรดาสายฝึกตนทั้งหมด นักรบและเผ่าพันธุ์ปีศาจล้วนแต่มีเป้าหมายเดียวกัน คือการฝึกฝนร่างกายและจิตใจ เพื่อก้าวไปสู่การพิสูจน์เต๋าด้วยพลัง เพียงแต่เผ่าพันธุ์ปีศาจมีแก่นปีศาจและพลังเหลือธรรมชาติแต่กำเนิด ส่วนนักรบมี ‘จิต’ และการผสานเต๋า

ส่วนเต๋า ในขณะนั้นยังเรียกว่า ‘ลัทธิเต๋า’ ไม่ได้ เนื่องจาก ศพโบราณยังไม่เคยรับรู้ถึงการมีอยู่ของ ‘ลัทธิเต๋า’ มาก่อน ลำพังแค่ข้อนี้ ก็พิสูจน์ได้แล้วว่าปรมาจารย์เต๋าไม่ได้เป็นผู้ให้กำเนิด ‘เต๋า’ แต่อย่างใด

ทว่า ทั้งสามสายการฝึกตนนี้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างมหาศาลในภายหลัง วิทยายุทธ์และเต๋ามารเจริญรุ่งเรืองขึ้นเรื่อยๆ ในขณะที่สายลัทธิเต๋าเหล่าเพียง ‘สวรรค์ ปฐพี มนุษย์’ สามนิกาย ส่วนนิกายอื่นๆ ต่างล่มจมจนไม่มีค่าให้เอ่ยถึง

ซึ่งนี่ไม่สมเหตุสมผลเลยสักนิด แม้ว่าผลพวงจาก ‘สวรรค์ ปฐพี มนุษย์’ สามนิกายจะยิ่งใหญ่ แต่นิกายอื่นๆ ก็ไม่น่าจะได้รับผลกระทบร้ายแรงขนาดนี้

ผลคือนิกายที่มีปัญหาใหญ่ที่สุดสามนิกายต่างกับอยู่รอดต่อมาได้ ในขณะที่นิกายอื่นๆ ต่างก็ล่มสลายไป…

ในตอนนี้เอง เสียงอุทานก็ดังขัดจังหวะการครุ่นคิดของสวี่ชีอัน และมีคนเอ่ยขึ้นอย่างประหลาดใจ

“คนจากสมาคมการค้าเหลยโจวมาแล้ว ฮ่า ในที่สุดก็มีคนลงมือสักที”

คนที่เอ่ยขึ้นมาคือชายหนุ่มที่สวมชุดจิ้นจวง ในมือถือหอกยาว ซึ่งเป็นหอกที่ใช้ในกองทัพ ลักษณะดูล้าสมัย เดาว่าคงจะซื้อมาจากตลาดมืด

การขายอาวุธเก่าๆ ตกรุ่นเป็นวิธีการหาเงินที่เหล่าแม่ทัพระดับสูงทั้งหลายเคยชิน

เหวินเหรินเชี่ยนโหรวหันหน้ามา โน้มตัวเข้าไปพูดกับองครักษ์สองสามประโยค และแล้วองครักษ์ผู้นั้นก็กระทุ้งท้องม้า ให้วิ่งไปหาชายหนุ่มผู้ถือหอกคนนั้นพร้อมกับซักถามเล็กน้อย

“คุณหนูใหญ่ วัดซานฮัวและคณะภิกษุทำตัวเหิมเกริม พวกเขาไม่ยอมให้ใครเข้าไป ถึงขั้นทำร้ายคนไปหลายคนแล้วขอรับ”

องครักษ์กระซิบตอบ

เหวินเหรินเชี่ยนโหรวพยักหน้า หันไปเอ่ยกับหลี่หลิงซู่และสวี่ชีอันด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

“เหลยโจวอยู่ติดกับดินแดนประจิมทิศ มีนิกายเซนคอยหนุนหลัง วัดซานฮัวจึงวางก้ามมาโดยตลอด ต่อให้เป็นทางการ ปกติก็ไม่มีใครอยากยั่วโทสะของพวกเขานัก”

สวี่ชีอันมองไปทางเขาจินกวง แล้วพูดขึ้น “ว่ามาสิ”

“เมื่อไม่กี่ปีก่อน เกิดภัยแล้งขึ้นใกล้กับวัดซานฮัว ประชาชนเก็บเกี่ยวผลผลิตไม่ได้ ภิกษุทั้งหลายในวัดไม่ได้ทำอาชีพเกษตร จึงต้องใช้ชีวิตอย่างยากลำบาก พระเถระชั้นผู้ใหญ่เหิงอินลงเขาไปเดินบิณฑบาตร ได้ธัญพืชมาหลายพันจิน จากผู้มีจิตศรัทธาหลายร้อยคนยอมสละทรัพย์สินบริจาคทานให้”

เหวินเหรินเชี่ยนโหรวยกมุมปากขึ้น และกล่าวด้วยน้ำเสียงเยาะเย้ย “วัดซานฮัวรอดพ้นจากภัยแล้ง แต่ไม่มีเคยรู้ว่ามีคนตายเพราะความอดอยากกี่คน ทั้งที่สำนักพุทธสอนให้ฝึกตนเองก่อนจะคิดถึงผู้อื่น”

สวี่ชีอันหรี่ตา “เรื่องนี้ไม่เพียงแต่ผิดกฎหมายของต้าฟ่ง ซ้ำยังละเมิดสัญญาระหว่างต้าฟ่งและสำนักพุทธที่เคยมีด้วย”

เหวินเหรินเชี่ยนโหรวพยักหน้า

“ทว่าสมุหเทศาภิบาลแห่งเหลยโจวกลับขึ้นเขาเข้าวัดไปตำหนิเพียงครั้งเดียวพอเป็นพิธี เหตุผลแรกคือไม่มีใครกล้าขัดขืนต่อสำนักพุทธ เหตุผลที่สองคือยามจัดการกับปัญหาใดๆ ที่เกิดขึ้นในเขตชายแดน จำต้องระมัดระวัง และอาศัยความอดทนสูง

“หากเรื่องราวบานปลายขึ้นมา ราชสำนักย่อมไม่ยินดีที่จะแตกหักกับสำนักพุทธ เมื่อถึงเวลานั้นสมุหเทศาภิบาลจะตกเป็นแพะรับบาปทันที สำนักพุทธแข็งแกร่งเพียงไร ท่านคงรู้ดีแก่ใจ”

สวี่ชีอันไม่ได้พูดอะไรอีก

“สำนักพุทธเป็นพวกจอมปลอมถึงที่สุด เมื่อห้าร้อยปีก่อน พวกมันชักธงรบกับเผ่าพันธุ์มนุษย์กันเอง เพียงเพราะหมายตาอาณาเขตภูเขาสือว่านของซินเจียงตอนใต้”

จิ้งจอกขาวตัวน้อยส่งเสียงร้องอย่างกระฟัดกระเฟียด

นางขดตัวอยู่ในอ้อมกอดอันอบอุ่นของมู่หนานจือ พลางถือขนมชิ้นหนึ่งไว้ด้วยอุ้งเท้าหน้าสองข้าง

มู่หนานจือให้ขนมเพียงชิ้นเดียว ก็สามารถซื้อใจนางได้แล้ว

หลังจากที่สุนัขจิ้งจอกขาวตัวน้อยกินขนมจนหมดแล้ว นางก็ออกแรงกดอุ้งเท้าจ้ำม่ำของนางลงบนเนินอกของมู่หนานจือ พร้อมกับเอ่ยด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล

“ท่านน้า หน้าอกของท่านใหญ่กว่าของท่านพี่เย่จีอีกนะเนี่ย”

…สวี่ชีอันถึงขั้นกลืนน้ำลายอึกใหญ่

ทุกคนผูกม้าของตนเรียบร้อย ก็ปีนบันไดขึ้นไปบนเขา

ในขณะที่เข้าใกล้วัดซานฮัว ก็ได้ยินเสียงโห่ร้องคำราม และเสียงอาวุธปะทะกันสนั่นหวั่นไหว

‘ผลัวะ ผลัวะ!’

ในวัดซานฮัว บริเวณลานกว้างที่ปลายบันไดหิน ชายผู้หนึ่งที่ถือกระบองในมือ ถูกจอมยุทธ์ภิกษุหลายรูปใช้ไม้พลองสกัดจุดสำคัญทั่วร่างกาย ทำให้เขาตัวแข็งทื่อไปทันที

จอมยุทธ์ภิกษุวัยกลางคนรูปหนึ่งในพวกหลักสบโอกาสหมุนตัวกลับ อัดฉีดพลังปราณเข้าใส่ไม้พลอง พลางควงไม้พลองหลายรอบ ก่อนจะฟาดเข้ากลางศีรษะของชายหนุ่มผู้ถือกระบองคนนี้อย่างหนักหน่วง

‘ปัง!’

แสงเทวะคุ้มกายของชายหนุ่มผู้ถือกระบอกแตกสลาย เลือดสดๆ ไหลอาบลงมาที่แก้มของเขา

จอมยุทธ์ภิกษุวัยกลางคนดวงตาวาววับ เมื่อเห็นเหวินเหรินเชี่ยนโหรวนำขบวนสมาคมการค้าเหลยโจวขึ้นมา จึงยื่นไม้พลองออกไป และยกร่างของชายผู้ถือกระบองผู้นี้ด้วยไม้พลองจนตัวลอย

แล้วโยนมาตกเบื้องหน้าของพวกสวี่ชีอัน

สีหน้าของชาวยุทธ์ทั้งหลายเปลี่ยนไปเล็กน้อย ความโกลาหลยังคงดำเนินอยู่

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง