ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง นิยาย บท 520

บทที่ 520 ความขัดแย้ง (2)

ภิกษุถือไม้พลองแปดรูปชี้ไปทางสวี่ชีอันด้วยท่าทางยินดีอย่างยิ่ง “คนผู้นี้ต่ำช้า ใช้เล่ห์กลสกปรกเพื่อโจมตีศิษย์น้องอิ้นซุ่น”

“วางดาบลงเสีย กลับใจคือฟากฝั่ง”

น้ำเสียงอ่อนโยนเต็มไปด้วยความเห็นอกเห็นใจ มีอำนาจในการลบล้างอารมณ์ ทำให้ผู้คนในที่นี้คลายความเป็นปฏิปักษ์ เกิดความอ่อนโยนมีเมตตาขึ้นมา

‘เคร้ง เคร้ง’ เสียงของอาวุธในมือของฝูงชนร่วงไปอยู่กับพื้น

ไม่กี่วินาทีต่อมา ชาวยุทธภพก็ค่อยๆ หลุดพ้นจากคาถาครอบงำของสำนักพุทธทรงศีลทีละคน สีหน้าของพวกเขาเต็มไปด้วยความประหลาดใจ

“เป็นภิกษุหรือ ไม่สิ อาจจะเป็นนักพรตก็ได้”

“เป็นไปได้สูงว่าจะเป็นนักพรต คาถาของภิกษุธรรมดาไม่แข็งแกร่งขนาดนี้…”

ชาวยุทธภพในเหลยโจวรู้จักสำนักพุทธเป็นอย่างดี จุดนี้ชาวยุทธ์จากแดนอื่นไม่สามารถเทียบเคียงได้

“อมิตตาพุทธ ประสกนั่นเอง”

ภิกษุจิ้งซินประนมมือขึ้น เขามองสวี่ชีอันด้วยใบหน้าเคร่งขรึม ไม่สนใจสายตาของผู้คนรอบข้าง

“ประสกมาหาเรื่องถึงวัดของอาตมาซ้ำแล้วซ้ำเล่า ประสกรู้ว่าสำนักพุทธมีเมตตาเหลือล้น ประสกก็ต้องรู้ว่ายังมีเนตรพิโรธระดับเพชรอยู่ด้วย”

จอมยุทธ์ภิกษุรอบข้าง และชาวยุทธ์ตามหันไปมองสวี่ชีอันเป็นตาเดียว เพื่อดูว่าเขาจะตอบโต้อย่างไร

สวี่ชีอันเตะร่างของจอมยุทธ์ภิกษุวัยกลางคนกระเด็นไปตกแทบเท้าจิ้งซิน เช่นเดียวกับที่เขาเตะร่างไร้วิญญาณของจอมยุทธ์ขั้นหกเมื่อครู่

ภิกษุจิ้งซินช้อนตัวของอีกฝ่ายขึ้นด้วยมือสองข้าง พยุงตัวจอมยุทธ์ภิกษุวัยกลางคนขึ้นมา หลังจากสำรวจอย่างละเอียดแล้ว เขาก็ขมวดคิ้ว

“มีเพียงข้าเท่านั้นที่สามารถรักษาพิษในร่างของเขาได้ ให้ข้าเข้าวัดเสีย ไม่งั้นก็ปล่อยให้เขาตาย”

สวี่ชีอันยังคงวางท่าเป็นผู้สูงส่ง พร้อมกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

ไม่ว่าศาสตร์ใดย่อมต้องมีมือหนึ่ง แต่สำนักพุทธไม่สันทัดในการรักษาพิษ ขอบเขตด้านยารักษาโรคเป็นสิ่งที่หมอผีตู๋กู่และโหรเชี่ยวชาญ ส่วนพวกลัทธิเต๋ารู้เพียงผิวเผิน

ชาวยุทธภพเหลยโจวที่นึกว่าสวี่ชีอันจะถูกกำราบจึงทำหน้าผิดหวังกันยกใหญ่ ดวงตาเป็นประกายขึ้นมาเมื่อได้ยินคำพูดดังกล่าว

มิน่าล่ะถึงส่งคนคืนให้อย่างง่ายดายนัก ที่แท้ก็มีที่พึ่งพิงจึงไม่กลัวนั่นเอง

ภิกษุจิ้งซินจ้องมองสวี่ชีอันด้วยแววตาล้ำลึก และเอี้ยวตัว ผายมือเป็นการเชื้อเชิญ

“ประสกเข้ามาในวัดได้ อาตมาจะเป็นผู้นำทาง พาเจ้าเข้าไปเอง”

สายตาแต่ละคู่หันไปมองสวี่ชีอันเป็นตาเดียว

พวกเจ้าคิดจะปิดประตูตีแมวกันชัดๆ…สวี่ชีอันเข้าใจในสิ่งที่อีกฝ่ายต้องการจะสื่อ

เมื่อเห็นทางทีลังเลของเขา ภิกษุจิ้งซินก็เอ่ยถาม “อะไรกัน ประสกกลัวงั้นหรือ”

ถ้าข้าอายุน้อยกว่านี้สักสิบปี ป่านนี้ข้าคงหัวร้อนไปแล้ว… สวี่ชีอันเอามือไพล่หลัง และตะโกนเสียงดังลั่น “พวกเจ้า ไม่โผล่หน้ามาอีกหรือ จะรอไปถึงเมื่อไร”

เมื่อสิ้นเสียงของเขา ก็มีเสียงหัวเราะอย่างจริงใจดังขึ้นมาจากบันไดหินเบื้องล่าง “คนแซ่หยางยินดีติดตามพี่ชายเข้าวัดไปด้วย”

ฝูงชนหันหลังไปมอง เห็นชายหนุ่มร่างสูงแปดฉื่อในชุดจิ้นจวง แบกดาบคู่บนหลังปีนขึ้นบันไดมา ตามหลังมาด้วยเหล่าสาวกที่สะพายดาบคู่มาด้วยเช่นกัน

“สำนักดาบคู่มาแล้ว”

ใครบางคนตะโกนขึ้นด้วยความประหลาดใจ

สายตาของสวี่ชีอันมองข้ามเจ้าสำนักดาบคู่ ไปตกอยู่ที่หญิงสาวที่เดินตามมาข้างหลังเขา นางมีรูปร่างสูงโปร่ง ริมฝีปากเอิบอิ่ม ดวงตาสดใส ใบหน้างดหยด เป็นสาวสวยเผ็ดแซ่บอย่างมาก

ชื่อ ชื่อ…หลิวอวิ๋น นางมาแล้ว ตอนที่อยู่ในเมืองหลวง เคยได้พบเจอกับนางครั้งหนึ่ง

สวี่ชีอันนึกชื่อของคนงามออกช้าเหลือเกิน ทันใดนั้นก็หันไปมองเทพบุตรนิกายสวรรค์ ก็พบว่าไอ้หนุ่มเจ้าชู้ลอบยิ้มน้อยๆ พลางจ้องมองหลิวอวิ๋นด้วยสายตาชื่นชม

ในตอนนี้เอง ก็มีเสียงดังขึ้นจากป่าทึบ ตามมาด้วยเสียงกระทบกันของชุดเกราะ แม่ทัพหนุ่มผิวสีเข้ม ดวงตาสดใสก้าวออกมาจากพุ่มไม้

เขาสะพายหอกยาวไว้บนหลัง และคาดดาบยาวขนาดมาตรฐานไว้ที่เอว ดวงตาแข็งกร้าว ดุดัน แฝงกลิ่นอายสังหารตามฉบับทหารออกมา ในปากคาบฟางไปด้วย

“หลี่เส่าอวิ๋น แม่ทัพเจิ้นฝู่แห่งเหลยโจว”

เขายืนพิงหอกยาว กวาดตามองทุกคน และประกาศชื่อเสียงเรียงนามของตน

“ได้ยินว่าที่วัดซานฮัวมีสมบัติวิเศษ ที่สามารถทำให้ขั้นสี่ก้าวเข้าสู่ระดับเหนือมนุษย์ได้ จึงอยากจะมาดูให้เห็นกับตา เจ้าลาหัวโล้น หากบังอาจขวางข้า ข้าจะเอาหอกแทงให้ตาย”

ทหารในเหลยโจวนิสัยโหดเหี้ยม แต่แม่ทัพขั้นสี่โหดเหี้ยมยิ่งกว่า

บ้าไปแล้ว…ชาวยุทธภพชำเลืองมอง คนผู้นี้มองปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นทหาร คำพูดคำจาโอหังจาบจ้วง ไม่ปิดซ่อนกลิ่นอายของตนเองแม้แต่น้อย

ยังไม่หมดเท่านี้ ผ่านไปอีกไม่นาน ก็มีเสียงเหยี่ยวร้องดังลงมาจากฟากฟ้า

เหยี่ยวหางแดงสิบกว่าตัวสยายปีกกว่าสามจั้งเจ็ดฉื่อ โฉบมาจากระยะไกล พวกมันโผบินเหนือฟากฟ้าของเขาจินกวง ก่อนจะร่อนลงอย่างช้าๆ

สองปีกกระพือเกิดแรงลมโหมกระหน่ำ พัดเอาฝุ่นและใบไม้ปลิดปลิวให้ลอยคละคลุ้ง

ฝูงชนเบื้องล่างต่างแตกกระเจิง เปิดพื้นที่โล่งกว้างให้เหยี่ยวหางแดงลงจอด

ทหารม้าที่นำหน้ามา สวมชุดเกราะ มีผิวสีเข้มเป็นเอกลักษณ์ของชาวเหลยโจว รูปร่างกำยำ ไว้หนวดเคราดกหนา

ตามหลังนกเหยี่ยวแดงที่อยู่ด้านหลังของเขา คือพลทหารที่อยู่ในชุดเกราะแบบเดียวกัน

หยวนอี้!

ผู้บัญชาการกองทัพเหลยโจว หยวนอี้

ชาวยุทธภพส่วนใหญ่ไม่มีโอกาสได้พบเจอกับทหารผู้เก่งกาจแห่งเหลยโจวผู้นี้บ่อยครั้ง ทีแรกก็ไม่มีใครจำเขาได้ จนกระทั่งมีใครคนหนึ่งในฝูงชนเอ่ยขึ้นด้วยความประหลาดใจ

“นั่นมันผู้บัญชาการกองทัพหยวนอี้ไม่ใช่หรือ”

ทันใดนั้นก็เกิดความฮือฮาขึ้นมา

ก่อนหน้านี้ไม่กี่วัน มีข่าวลือมาว่าหยวนอี้ผู้บัญชาการเหลยโจวไปเยี่ยมเยียนจอมยุทธ์หญิงนกนางแอ่นเหิน สอบถามเรื่องราวของสมบัติในวัดซานฮัว

ไม่ใช่เรื่องหลอกลวงจริงๆ ด้วย

หยวนอี้มาเยือนที่นี่จริงๆ

ทันใดนั้นสถานที่แห่งนี้ก็คึกคักขึ้นมา ถือเป็นเรื่องดีสำหรับทุกคน

ยิ่งมียอดฝีมือมากเท่าไร สถานการณ์ก็ยิ่งวุ่นวายขึ้น โอกาสในการกวนน้ำจับปลาก็มีมากขึ้นตามไปด้วย

หยวนอี้กวาดสายตามองไปรอบๆ เมินผ่านชาวยุทธ์ทั้งหลายไป เขาพยักหน้าให้เหวินเหรินเชี่ยนโหรวก่อนเป็นอันดับแรก จากนั้นเมื่อเห็นคนหนุ่มในชุดเกราะ ก็ชะงักไปชั่วครู่ ก่อนจะขมวดคิ้ว

“หลี่เส่าอวิ๋น เจ้ามาที่นี่ได้อย่างไร เป็นถึงแม่ทัพเจิ้นฝู่ ออกมาจากกองทัพโดยพลการเช่นนี้ ถือว่ามีโทษร้ายแรง”

ชายหนุ่มที่ยืนกอดหอกยาวยิ้มอย่างมีเลศนัย

“ใต้เท้าผู้บัญชาการ ท่านอย่าเอายศมาข่มคนอื่นเลย ข้ามาชิงยาโลหิต หากข้าเลื่อนขั้นขึ้นเป็นขั้นสามเมื่อไร ตำแหน่งของท่านก็ต้องตกมาอยู่ในมือข้า

“ถ้าชิงมาไม่ได้ อย่างแย่ที่สุดก็แค่ทนถูกเฆี่ยนไม่กี่ร้อยที ไม่ก็ถูกปลดออกจากราชการ ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร”

ในฐานะทหารขั้นสี่ เขาเป็นที่พึ่งพามากที่สุด หากไม่ได้ทำความผิดร้ายแรง ทำตัวดื้อรั้นแต่พอเหมาะพอควร ราชสำนักและการทางย่อมปล่อยผ่านให้ได้

เขาไม่มีอะไรต้องกลัว

“ข้าว่าเจ้าคงอยากโดนเฆี่ยนสินะ”

หยวนอี้จ้องมองเขาไม่วางตา และตวาดลั่น “ยังไม่ไสหัวไปอีก”

หลี่เส่าอวิ๋นหัวเราะเบาๆ ก่อนจะวิ่งออกไปอย่างสำราญใจ

“ผู้บัญชาการหยวนอี้ ถังหยวนอู่เจ้าสำนักดาบคู่ หลี่เส่าอวิ๋นแม่ทัพเจิ้นฝู่แห่งฟางโจว ซ้ำยังมียอดฝีมือลึกลับในชุดสีดำ และจอมยุทธ์ขั้นสี่ของสมาคมการค้าเหลยโจว…”

“ตอนนี้มีจอมยุทธ์ขั้นสี่ถึงห้าคน และยังมียอดฝีมือขั้นห้าจำนวนเกินสองมือนับไหว มาดูกันซิว่าภิกษุวัดซานฮัวจะยังเหิมเกริมได้อีกหรือไม่”

“อย่าเพิ่งได้ใจไป เจ้าอาวาสกับประธานภิกษุวัดซานฮัวล้วนแต่เป็นนักพรต ซ้ำยังมีภิกษุนามว่าจิ้งซิน ที่ไม่รู้ที่มาที่ไปอีก ดูท่าทางจะแข็งแกร่งไม่ใช่น้อย ยอดฝีมือในวัดซานฮัวมีมากไม่ต่างจากเมฆเชียว”

“ก็ยังมีพวกเราอยู่ไม่ใช่หรือ ยอดฝีมือวัดซานฮัวที่ว่ามีมาก จะมากสู้พวกเราได้หรือ ที่ตีนเขายังมีคนที่ยังไม่ได้ขึ้นมาเหมือนกัน อีกประเดี๋ยวเจดีย์เปิด พวกเราก็ค่อยปีนขึ้นเขาเรียกพวกเขา เดี๋ยวพวกก็แห่มากันหมดแล้ว”

ระหว่างพูดคุยกันอยู่นั้น ฝูงชนก็เห็นภิกษุเฒ่าคิ้วและเคราหงอกขาว นำหน้ากลุ่มภิกษุเดินเข้ามา

“อมิตตาพุทธ ใต้เท้าผู้บัญชาการหยวน ไม่ได้พบเจอกันนานเลยนะ”

ผานหลงประนมมือเป็นการเคารพ

“ไต้ซือผานหลง”

หยวนอี้ประสานมือคำนับ

“ใต้เท้าผู้บัญชาการ ท่านมาในนามของทางการเหลยโจว เป็นตัวแทนของต้าฟ่งงั้นหรือ”

เจ้าอาวาสผานหลงเอ่ยถาม “ต้าฟ่งและสำนักพุทธเป็นพันธมิตรกัน ชาวยุทธ์เหล่านี้จะทำอะไรก็ไม่ใช่กงการของราชสำนักต้าฟ่ง แต่ท่านไม่ใช่ กลับไปเสียเถิด”

หยวนอี้ส่ายหน้า “ข้าติดอยู่ในขั้นสี่มาหลายปีนัก ไม่อาจทะลวงระดับได้สักที ได้ยินมาว่าวัดซานฮัวมียาโลหิต จึงมาขอแบ่งปัน สงครามด่านซานไห่เมื่อครั้งนั้น ต้าฟ่งเองก็เสียสละมามาก ไม่มีเหตุผลอันใดที่สำนักพุทธจะยึดโลหิตเม็ดนี้ไว้เป็นของคนแต่เพียงผู้เดียว

“อีกทั้ง ข้ามาในนามส่วนตัว มีแต่คนสนิทติดตามมาด้วยเท่านั้น ไม่ได้นำกองทัพมาด้วย ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับราชสำนัก”

เจ้าอาวาสผานหลงเอ่ยพระนามพระพุทธเจ้าอีกครั้ง ก่อนจะกล่าว “อาตมาอุตส่าห์เจรจากับพวกโยมอย่างจริงใจ แต่ในเมื่อพวกโยมไม่ฟัง เช่นนั้นก็ช่างเถิด”

เขาไม่พูดให้มากความอีก

แต่แล้วทุกคนก็ได้เห็นว่ามีคนกลุ่มหนึ่งแบกเกี้ยวไร้หลังคาออกมาจากในวัด เกี้ยวนั้นมีม่านห้อยลงมา และมีสองสาวฝาแฝดนั่งอยู่ข้างใน

สาวงามหนึ่งในนั้นหัวเราะคิกคักออกมา

“ไต้ซือเจ้าอาวาส ถ้าอย่างนั้นหล่อยให้พวกเราสองพี่น้องจัดการสังหารหยวนอี้แทนท่านจะดีกว่า หากราชสำนักต้าฟ่งสอบสวนขึ้นมาก็ไม่เกี่ยวข้องกับท่าน ถ้าหากว่าต้าฟ่งกล้าสอบสวนสำนักพุทธน่ะนะ”

หยวนอี้หรี่ตามอง

หลี่หลิงซู่ก้มศีรษะลง และแยกตัวออกไปจากสวีเชียนทันที

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง