บทที่ 521 พุทธบุตร (1)
เพียงชั่วพริบตานั้นเอง ทุกสายตาพลันจับจ้องมาบนร่างของตน ทว่าในนั้นมีสายตาสองคู่ที่ทำให้สวี่ชีอันรู้สึกขนลุกซู่กลางแผ่นหลัง
สายตาคู่แรกเป็นของผู้มีฝีมือระดับเพชรขั้นสาม คอยเฝ้าติดตามจากภายในส่วนลึกของวัด อีกสายตามาจากอีเอ๋อร์ปู้ ที่กำลังแผ่กระจายความเย็นยะเยือกอันน่าขนลุกออกมา
ยามนี้เหล่าจอมยุทธ์ต่างเริ่มเว้นระยะห่างอย่างเงียบๆ เพราะหากอยู่ใกล้ไป เกรงว่าตอนที่ผู้มีฝีมือลึกลับคนนี้ถูก ‘ลงโทษ’ โดยปรมาจารย์แห่งปราชญ์วิญญาณขั้นสาม หรือผู้ปกปักรักษาศาสนาพุทธระดับเพชร ตนเองอาจจะซวยโดนลูกหลงไปด้วย
พวกเขาไม่พอใจที่ปรมาจารย์แห่งปราชญ์วิญญาณจากสำนักพ่อมดประณามฆ้องเงินสวี่ แต่ก็ทำได้เพียงส่งเสียงเซ็งแซ่เล็กน้อย และประท้วงเบาๆ เท่านั้น ราวกับว่าการที่ชายชุดสีครามอมดำผู้นี้กระโดดออกมาเยาะเย้ยนั้น ไม่ได้ต่างกับการฆ่าตัวตายเลย
หลิวอวิ๋นแห่งสำนักดาบคู่ลุกขึ้นอย่างยากลำบาก เช็ดคราบเลือดที่มุมปาก นางดีใจมากเมื่อมีคนมาจนสามารถยืนขึ้นได้ แต่ก็อดไม่ได้ที่จะกังวลแทนชายชุดสีครามอมดำหน้าตาธรรมดาผู้นี้
วิธีการของคนผู้นี้ช่างประหลาดพิลึก ซ้ำยังปฏิบัติตัวแข็งกร้าวและรุนแรง กล้าที่จะเผชิญหน้าต่อยอดฝีมือขั้นสาม กลับกันหากเป็นยามปกติ นางย่อมเชิญอีกฝ่ายร่ำสุราร่วมกันด้วยแล้ว แต่ตอนนี้คิดเพียงแค่ว่าอีกฝ่ายควรรีบหนีโดยเร็วเท่านั้น
ขณะที่กำลังคิดเช่นนั้น หลิวอวิ๋นผู้รอบคอบก็พบว่า สหายข้างกายชายชุดสีครามอมดำ ต่างมีใบหน้าสงบนิ่งแทบไม่ตกใจหรือเกรงกลัวเลย นอกเหนือจากนี้ยังมีบุรุษอีกคนหน้าตาพื้นๆ แต่แววตาเปล่งประกาย ขนาดที่ว่า…ดูจะคาดหวังกับความขัดแย้งที่กำลังจะเกิดขึ้นเล็กน้อยด้วยซ้ำ?
หยวนอี้ผู้มีฝีมือขั้นสี่จ้องมองชายชุดสีครามอมดำ ในเวลาเดียวกัน ก็ให้ความสนใจกับการเคลื่อนไหวของผู้มีฝีมือขั้นสามของทั้งสองคน เมื่อนึกไปถึงสิ่งที่ชายชุดสีครามอมดำผู้นี้จะได้เผชิญ ก็ต้องตัดสินที่ท่าทีอันแท้จริงของผู้มีฝีมือขั้นสามทั้งสองคนแล้ว
หากชายชุดสีครามอมดำประสบพบเหตุไม่คาดฝัน เช่นนั้นพวกเขาก็จะทิ้งสมบัติไว้ในหอคอย แล้วออกจากวัดซานฮัวไป
“อมิตตาพุทธ”
ภิกษุผู้มีนามว่าจิ้งซินกลับเป็นฝ่ายเปิดปากเอ่ยด้วยน้ำเสียงทุ้มก่อนว่า “พิษบนร่างของศิษย์น้องอิ้นซุ่นยังไม่ได้ถูกชะล้าง ท่านอาจารย์อาตู้หนานได้โปรดเมตตาด้วย”
เทพอารักษ์ตู้หนานไม่ทันได้พูด อีเอ๋อร์ปู้ก็กล่าวเสียงเรียบขึ้นมา “ภิกษุจิ้งซินโปรดวางใจ วิชาวิญญาณโลหิตของพ่อมดสามารถล้างพิษให้เขาได้”
ภิกษุจิ้งซินจึงพนมมือ ไม่เอ่ยคำอื่นอีก
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ ก็ราวกับได้ตัดสินโทษประหารชายชุดสีครามอมดำผู้นั้น
“ท่านอาวุโส จะสังหารเขาหรือ”
หลี่หลิงซู่ส่งเสียงตื่นเต้นเล็กน้อย
เขาตื่นเต้นกับตัวตนของสวีเชียนเป็นอย่างมาก เพราะจนถึงตอนนี้ ก็ยังไม่เคยได้รู้รากเหง้าของอีกฝ่ายเลย แม้จะบอกว่าชายชราผู้นี้จะเชี่ยวชาญด้านวิชากู่ แต่หลี่หลิงซู่ก็ไม่นึกว่าวิชากู่จะเป็นวิชาถนัดของอีกฝ่าย
ข้ามันก็แค่คนไม่เอาไหน…สวี่ชีอันแขวะในใจเงียบๆ ยามอยู่ต่อหน้าผู้คนก็มักจะชอบคุยโอ้อวด พ่นวาจาเป็นเวลาสักพักหนึ่ง
เขาจะทำอะไรน่ะ?
แต่ละคนที่เห็นเหตุการณ์นี้ไม่ว่าจะเป็น หลี่หลิงซู่ ผู้คนของเหลยโจวที่อยู่รอบข้าง หรือกระทั่งภิกษุสำนักพุทธที่อยู่มุมไกล ภายในแววตาก็ยังฉายความงุนงง
ทว่าไม่นาน พวกเขาก็เข้าใจได้อย่างรวดเร็ว
“รีบมาดูเข้า นั่นมันคืออะไรกันน่ะ?”
จอมยุทธ์ภิกษุผู้หนึ่งชี้ไปยังท้องฟ้า แล้วร้องตะโกนด้วยความตื่นตกใจ
ทั้งสวี่ชีอัน หลี่หลิงซู่ สำนักดาบคู่ สมาคมการค้าเหลยโจว ผู้บัญชาการหยวนอี้ แม่ทัพเจิ้นฝู่หลี่เส่าอวิ๋น และคนอื่นๆ ต่างพากันหันหลัง เงยหน้ามองไปบนท้องฟ้า
ป้อมปราบศัตรูเหล็กสีดำสนิทที่ทำมาจากเหล็กนิลกำลังลอยอยู่กลางอากาศ
มันยาวสิบสองจั้งและสูงสามจั้ง มีปืนใหญ่เรียงรายกันสิบห้ากระบอก ท่อนโลหะลำใหญ่โตปรากฏออกมาตัวป้อม พร้อมกับหน้าไม้ที่กำลังเล็งอยู่ตรงขอบป้อมปราบศัตรู
ภายนอกของป้อมปราบศัตรูเหล็ก มีวงเวทที่ดูทั้งแน่นหนาและสลับซับซ้อนกำลังส่องแสงอยู่ คาถาที่สลักเป็นค่ายกลใหญ่ถึงสามสิบชั้น อีกทั้งไม่ได้จำกัดอยู่แค่เพียงค่ายกลป้องกันเท่านั้น ยังมีค่ายกลลำเลียง ค่ายกลเหาะเวหา ค่ายกลรวมวิญญาณ…
ณ ใจกลางป้อมปราบศัตรู มีชายหน้าตาธรรมดาคนหนึ่งกำลังยืนอยู่ ซึ่งมือซ้ายกำลังถือม้วนกระดาษ โดยมีเนื้อหาว่า ‘ขอให้ทุกคนเข้าไปยังเจดีย์พุทธะเสีย!’
ส่วนมือขวาถือม้วนกระดาษที่มีเนื้อหาว่า ‘มิฉะนั้นจะทำลายวัดซานฮัวให้ราบเป็นหน้ากลอง!’
“นี่…นี่มันปีศาจอะไรกัน?” เริ่มมีคนบ่นพึมพำ
แม้ตัวจะเป็นจอมยุทธ์แห่งยุทธภพ ผ่านประสบการณ์มามากมาย ทว่าวิสัยทัศน์ต่อโลกก็ยังคับแคบนัก กอปรกับโหรมีจำนวนอยู่น้อยยิ่ง อีกทั้งแต่ละวันเกือบจะหายสาบสูญไปจากยุทธภพ ด้วยเหตุนี้เหล่าจอมยุทธ์ของเหลยโจว จึงแทบไม่เคยเห็นการกระทำอันต่ำทรามของโหรเลย
ป้อมปราบศัตรูเหล็กที่กำลังลอยอยู่กลางอากาศ ในสายตาพวกเขานั้น ช่างเป็นสิ่งน่าเหลือเชื่อ ซึ่งขัดกับภาพในยุคสมัยปัจจุบัน
ตงฟางหว่านหรงตกตะลึงอ้าปากค้าง เดิมทีนางก็สามารถควบคุมอาวุธเวทมนตร์อย่าง ‘เรืออวี่เฟิง’ ได้ โดยอาวุธเวทมนตร์จะมีค่ายกลเหินฟ้าและค่ายกลป้องกันเท่านั้น ซึ่งเป็นอาวุธเวทมนตร์ใช้สำหรับบินกลางอากาศ
เมื่อเป็นเช่นนี้ เรืออวี่เฟิงก็เพียงพอที่จะถูกจัดเป็นหนึ่งในสิบสองของอาวุธเวทมนตร์แห่งสำนักพ่อมด
ทว่าป้อมปราบศัตรูที่กำลังลอยปรากฏอยู่เบื้องหน้าสายตานี้ เห็นได้ชัดว่าเรืออวี่เฟิงไม่ได้อยู่ระดับเดียวกันกับมันเลย
หากพูดในมุมอื่น วิธีการของโหรคนนี้ออกจะดูโรคจิตไปเสียหน่อย
แต่ว่า หากวิเคราะห์ตามตงฟางหว่านหรง จากการที่อาวุธเวทมนตร์มีความคล้ายคลึงกัน เพื่อจะหลอมขึ้นมา ค่าตอบแทนย่อมสูงแน่ และไม่สามารถสร้างเป็นจำนวนมากได้ มิเช่นนั้น ต้าฟ่งคงรวบรวมเมืองจิ่วโจวได้ไปนานแล้ว
“ซุนเสวียนจี!”
เสียงตะโกนกึกก้องปานฟ้าร้องของผู้ปกปักษ์รักษาศาสนาพุทธระดับเพชร ดังออกมาจากส่วนลึกของวัด
ซุนเสวียนจีเอ่ยอย่างราบเรียบ “อืม!”
ขณะที่ตอบนั้น เขาก็ชูม้วนกระดาษภายในมือ แสดงถึงว่าตนมิได้ล้อเล่น
ด้วยแรงกระสุนของป้อมปราบศัตรู เพียงไม่กี่นัด วัดซานฮัวคงได้พังพินาศสิ้น เดิมทีผู้ปกปักรักษาศาสนาพุทธระดับเพชรไม่กลัวกระสุนเหล่านั้นที่จะยิงออกมา แต่ภิกษุในวัดและอารามโบราณนับหลายร้อยปีแห่งนี้ ก็ย่อมยากที่จะปกป้องไว้ได้
หยวนอี้เลิกคิ้ว แล้วเอ่ยอย่างตื่นเต้นระคนดีใจ “ท่านคือศิษย์รองของท่านโหราจารย์ โหรขั้นสามนามว่าซุนเสวียนจีใช่หรือไม่?”
ด้วยสถานะสูงส่งอย่างผู้บัญชาการแห่งเหลยโจว ย่อมรู้จักชื่อบุคคลอย่างซุนเสวียนจี
ผู้บัญชาการจะเป็นบุคคลที่ทรงอำนาจมากที่สุดในแต่ละเมืองนั้น ทั่วทั้งต้าฟ่ง บุคคลเช่นนี้มีเพียงสิบสามคนเท่านั้น ซึ่งถือว่าเป็นขุนนางที่ทรงอิทธิพลยิ่งใหญ่อย่างแท้จริง
“อืม!” ซุนเสวียนจีพยักหน้าตอบ
ภายใต้เสียงฮือฮาจากเหล่าผู้คน พวกเขาคาดเดาจากชุดสีขาวบนตัวอันเป็นเอกลักษณ์นั่น จึงพอจะรู้ตัวตนของโหรได้อย่างเลือนราง กลับนึกไม่ถึงว่าแท้จริงแล้วจะเป็นศิษย์รองท่านโหราจารย์ หรือก็คือโหรขั้นสามคนหนึ่ง
โหรผู้นี้ช่างเป็นคนถนอมวาจาดุจทองคำ ซ้ำยังเผยรัศมีความเก่งกาจออกมาทุกอณู
ทว่าบุคคลนี้ ดูเหมือนว่าผู้มีฝีมือในชุดสีครามอมดำจะเป็นคนอัญเชิญเรียกมา
ผ่านไปสักพัก สายตาของผู้คนต่างก็มองไปที่สวี่ชีอัน ทั้งคาดเดาและสงสัยใคร่รู้เป็นอย่างมาก
ตัวตนของคนคนนี้คืออะไรกันแน่?
เขาเพิ่งจะคุยโม้ได้ไม่นาน โหรชุดขาวคนนี้ก็พลันปรากฏตัวออกมา…หลิวอวิ๋นเม้มริมฝีปาก พลางมองร่างชายชุดสีครามอมดำอย่างไม่วางตา
ส่วนฝ่ายหลี่หลิงซู่ก็ดวงตาเบิกโพลง บอกไม่ได้ว่าผิดหวังหรือตกใจกันแน่ หรือเป็นทั้งสองอย่างพร้อมกัน
ตัวเขาสามารถอัญเชิญซุนเสวียนจีได้อย่างง่ายดายเช่นนี้ ก็เป็นการพิสูจน์คำพูดขณะที่เล่นหมากล้อมกับท่านโหราจารย์ในวันนั้น ว่าคือความจริง มิได้โป้ปดอันใด…ส่วนเหตุผลที่อัญเชิญซุนเสวียนจีมา ก็เพราะรู้สึกว่าผู้มีฝีมือระดับเพชรและปรมาจารย์แห่งปราชญ์วิญญาณไม่คู่ควรให้เขาลงมือเองกระมัง…
ทางด้านผู้ศักดิ์สิทธิ์แห่งนิกายสวรรค์ก็ได้แต่ลอบคาดเดาเอาเอง
“ได้!”
หลังจากเงียบไปชั่วขณะหนึ่ง ผู้มีฝีมือระดับเพชรก็เอ่ยขึ้นจากส่วนลึกของวัด
จากสถานการณ์ในตอนนี้ สวี่ชีอันเสมือนได้ยกภูเขาออกจากอก
เรื่องซุนเสวียนจีพกปืนใหญ่มาข่มขวัญนั้นก็เป็นแผนการรับมือที่ได้หารือกันไว้ก่อนหน้านานแล้ว ส่วนเขาก็รับหน้าที่เป็นกำลังหนุนภายนอก แต่หากสวี่ชีอันพาตัวเองเข้าไปเจดีย์พุทธะ เช่นนี้ก็จะสามารถดึงดูดสายตาผู้คนได้
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง