ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง นิยาย บท 521

สรุปบท บทที่ 521-2 พุทธบุตร (2): ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

อ่านสรุป บทที่ 521-2 พุทธบุตร (2) จาก ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง โดย Internet

บทที่ บทที่ 521-2 พุทธบุตร (2) คืออีกหนึ่งตอนเด่นในนิยายกำลังภายใน ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง ที่นักอ่านห้ามพลาด การดำเนินเรื่องในตอนนี้จะทำให้คุณเข้าใจตัวละครมากขึ้น พร้อมกับพลิกสถานการณ์ที่ไม่มีใครคาดคิด เขียนโดย Internet อย่างเฉียบคมและลึกซึ้ง

บทที่ 521 พุทธบุตร (2)

หลังก้าวเข้าไปยังเจดีย์พุทธะ สวี่ชีอันก็มองสำรวจโดยรอบ จึงพบว่าเป็นห้องโถงที่กว้างใหญ่เกินกว่าจะจินตนาการได้ และห้องโถงอันกว้างขวางแห่งนี้ไร้โดมเพดาน ยามเงยหน้ามอง ก็มีเพียงเมฆหมอยกำลังล่องลอยอยู่เท่านั้น

จุดสิ้นสุดของห้องโถงใหญ่นั้นคือพระพุทธรูปทองคำสูงกว่าสิบจั้งองค์หนึ่ง ซึ่งใหญ่ประหนึ่งภูเขาขนาดย่อม

พระพุทธรูปนี้มีรูปลักษณ์งามเปี่ยมเมตตาทว่ากลับแฝงความน่าเกรงขาม ทั้งหูยาวเนื้อมาก เม็ดพระศกบนเศียรขมวดเป็นก้อนกลมเล็กๆ อยู่ทั่ว และถูกตั้งตระหง่านอยู่กลางห้องโถง

แม้ว่าจะเป็นผู้ที่ไม่นับถือพุทธ แต่หากได้เข้ามายังวัดอาราม ก็สามารถรู้ว่าเขาคือใคร

พระพุทธเจ้าไงเล่า!

ด้านซ้ายของพระพุทธเจ้ามีรูปปั้นทองคำสิบสามองค์ ส่วนด้านขวามีสิบสี่องค์

พวกเขามีทั้งชายและหญิง อีกทั้งรูปแบบวงแหวนที่อยู่ด้านหลังศีรษะก็ไม่เหมือนกัน บ้างก็เป็นรูปเปลวไฟ บ้างก็เป็นเส้นโครงร่างขยุกขยิก ราวกับแผ่นทองแดงที่ถูกวาดรูปเป็นพระอาทิตย์อย่างง่ายๆ และมันยังมีอีกหลากหลายรูปแบบ

สิ่งที่น่าสนใจก็คือ รูปปั้นทองคำเก้าทั้งองค์ในนั้นมีสีหน้าที่ดูคลุมเครือ

สวี่ชีอันมองรอบกายอย่างใจเย็น ด้วยความกว้างขวางของห้องโถงใหญ่แห่งนี้ ดูเกินกว่าที่เจดีย์พุทธะรองรับได้ อย่างน้อยๆ หากมองจากภายนอก ภายในเจดีย์พุทธะก็ไม่น่าจะรับรองห้องโถงอันใหญ่โตนี้ได้ด้วยซ้ำ

ดินแดนแห่งพุทธ…เบื้องฉากนี้ราวกับเคยเห็นมาก่อน จึงทำให้เขานึกถึงวันทำพิธีต้าวฮวดของสำนักพุทธ บาตรทองคำใบนั้นของพระอรหันต์ตู้เอ้อร์

ซึ่งภายในบาตรทองคำนั้นได้ซ่อนเร้นดินแดนแห่งพุทธไว้

“สำนักพุทธเชี่ยวชาญในการแสดงอภินิหารเช่นนี้อยู่แล้ว ระหว่างทางที่กลับจากอวิ๋นโจวไปเมืองหลวง ข้าก็จำได้ว่าเคยฝันถึงยุทธการด่านซานไห่เมื่อสิบสองปีก่อน ซึ่งมีภาพฉากหนึ่ง ที่กองกำลังนับหมื่นนับพันกำลังโดดออกมาจากภายในฝ่ามือของพระผู้มีสมณศักดิ์สูงองค์หนึ่งแห่งสำนักพุทธนั่น

“บางทีตอนนั้น ภายในฝ่ามือของพระผู้มีสมณศักดิ์สูงอาจมีอาวุธเวทมนตร์อย่างบาตรทองคำอยู่ก็เป็นได้ และกองกำลังคงโดนดูดเข้าไปในดินแดนแห่งพุทธ…คนท้องถิ่นเหล่านี้ถึงได้ดูสงบใจสินะ”

พวกจอมยุทธ์แห่งเหลยโจว คงได้เห็นเหตุการณ์นี้มากับตา จึงดูไม่ตื่นตระหนก แต่กลับมีท่าทีที่ใจเย็น

“จริงสิ เคยได้ยินเหวินเหรินเชี่ยนโหรวพูดไว้ว่า ทุกๆ ปีเจดีย์พุทธะจะเปิดขึ้นเพียงหนึ่งครั้ง หากผ่านการทดสอบของเจดีย์พุทธะ ก็จะสามารถเข้าสักการะวัดซานฮัว และกลายเป็นศิษย์ของสำนักพุทธได้ ส่วนผู้ที่ไม่ผ่านการทดสอบ หลังจากออกมาก็ย่อมเผยแพร่สิ่งที่ได้เห็นในเจดีย์”

สวี่ชีอันก็เข้าใจได้โดยพลัน

“อมิตตาพุทธ!” ภิกษุจิ้งซินนำเหล่าคณะสงฆ์แห่งสำนักพุทธพนมมือร่วมกันนมัสการ

เขาหันร่างกลับ ชำเลืองไปทางตำหนักมังกรตงไห่ แล้วเอ่ยกับชาวยุทธ์เหลยโจวกลุ่มหนึ่งว่า “ในบรรดารูปปั้นทองคำทั้งหมดนี้ องค์ที่ตั้งอยู่ตรงกลางคือพระพุทธเจ้าผู้เปี่ยมไปด้วยความเมตตาปรานี เป็นพระพุทธเจ้าหนึ่งเดียวแห่งโลกทั้งปวง ส่วนรูปปั้นทองคำด้านซ้ายสี่องค์และด้านขวาห้าองค์นั้น คือพระโพธิสัตว์ทั้งเก้าของศาสนาพุทธ ที่เหลือก็คือพระอรหันต์สิบแปดองค์”

ช่างยอดเยี่ยมจริงๆ ผู้มีฝีมือระดับเพชรไม่มีคุณสมบัติได้หล่อเป็นรูปปั้นทองคำบ้างหรือ?

สวี่ชีอันเอ่ยเสียงดัง “ท่านขอรับ เหตุใดพระโพธิสัตว์ทั้งเก้าถึงได้มีสีหน้าคลุมเครือหรือ”

ภิกษุจิ้งซินตอบคำถามดังกล่าว “พระโพธิสัตว์ทั้งเก้านี้ แฝงความหมายถึงร่างธรรมทั้งเก้า มิได้หมายถึงพระโพธิสัตว์เพียงอย่างเดียว”

เมื่อได้ยินเช่นนั้น คนส่วนมากก็ต่างเกิดความงุนงงขึ้นมา ทว่าสวี่ชีอันกลับเข้าใจได้ในทันที

ภิกษุจิ้งซินตกตะลึงอยู่ชั่วขณะหนึ่ง แล้วมองพินิจสวี่ชีอัน เอ่ยถามจากที่ไกล “โยมรู้จักร่างธรรมทั้งเก้าหรือ?”

สวี่ชีอันพยักหน้าตอบ “พระโพธิสัตว์วัชรปาณี พระโพธิสัตว์มัญชุศรี ร่างธรรมสังสารวัฏ ร่างธรรมมหากรุณา ร่างธรรมแห่งปัญญา ร่างธรรมเชี่ยวชาญโอสถ ร่างธรรมธุดงค์ ร่างธรรมแก้วอัญมณีไร้สี และพระมหาไวโรจนะ”

เหล่าภิกษุของวัดซานฮัวต่างเอนเอียงเข้ากระซิบกระซาบกัน จนเกิดความวุ่นวายขึ้นไอรีนโนเวล

จิ้งซินจ้องมองสวี่ชีอัน

“เอ๊ะ เขาพูดถูกใช่หรือเปล่า? พระของวัดซานฮัวจึงไม่โต้แย้งเลย”

“เคยได้ยินมานานแล้วว่าศาสนาพุทธมีร่างธรรมทั้งเก้า ที่แท้ก็คือสิ่งทั้งเก้านี้นี่เอง คนคนนี้คือใครกัน สามารถเข้าใจศาสนาพุทธถึงเพียงนี้เชียว”

“ร่างธรรมทั้งเก้ามีความวิเศษอย่างไรอีกหรือ?” มีคนเอ่ยถามเสียงดัง รอให้สวี่ชีอันตอบ

ขณะนั้นเอง เจ้าสำนักดาบคู่ถังหยวนอู่ หลิวอวิ๋น ผู้บัญชาการหยวนอี้ และยอดฝีมือคนอื่นๆ ต่างก็มองตามกันไป

ข้าจะไปรู้ได้อย่างไร ข้าไม่เคยต่อสู้กับเหล่าพระโพธิสัตว์เสียหน่อย…สวี่ชีอันเผยรอยยิ้มอย่างไม่สะทกสะท้านแต่อย่างใด “ร่างธรรมธุดงค์ จะโดดเด่นด้านความว่องไวมากที่สุดในโลก เหมาะกับการท่องเขามู่จิ้งแห่งดินแดนทิศตะวันตก ส่วนร่างธรรมแก้วอัญมณีไร้สี สามารถทำให้จิตใจของคนเป็นดั่งกระจกเงา ขาดความไตร่ตรอง และทำให้ความคิดเชื่องช้าลง”

เมื่อพูดมาถึงจุดนี้ เขาก็ยิ้มเยาะ ราวกับว่าเกียจคร้านจะอธิบายต่อ แล้วกล่าวว่า “ส่วนร่างธรรมที่เหลือ เพียงเห็นแค่ชื่อก็พอเข้าใจได้แล้ว”

คือเรื่องจริงหรือโป้ปดกันนะ…ผู้คนที่ได้ฟังเช่นนั้นแล้ว ก็หันไปมองทางด้านภิกษุจิ้งซินตามจิตใต้สำนึก แต่กลับเห็นว่าจิ้งซิน จิ้งหยวน รวมถึงผู้นำอย่างเหิงอินกำลังเผยสีหน้าทึ่มทื่ออยู่เล็กน้อย

เป็นเรื่องจริงสินะ! ผู้คนต่างพลันคิดเช่นนี้อยู่ในใจ

“จิ๊…”

หลี่เส่าอวิ๋นที่กำลังถือหอกอยู่นั้น ก็หันไปชำเลืองมองสวี่ชีอัน พร้อมกับยิ้มยิงฟันเอ่ยว่า “เฮ้ เจ้าหนุ่มนี่เป็นใครกัน ถึงได้รู้มากเพียงนี้”

หยวนอี้กล่าวเตือน “อาจจะเป็นผู้อาวุโสก็เป็นได้”

อีกทางด้านหนึ่งนั้น ตงฟางหว่านหรงกระซิบถามน้องสาว “ใช่เขารึเปล่า?”

ตงฟางหว่านชิงส่ายหน้า “ยังระบุไม่ได้ ดูท่าคนคนนี้ไม่ธรรมดาทีเดียว มีความแตกต่างกับชายชุดสีครามอมดำผู้นั้นเล็กน้อย”

จากการที่ได้เห็นจอมยุทธ์ภิกษุวัยกลางคนโดนพิษมาเมื่อครู่นี้ สองพี่น้องตงฟางก็สงสัยว่าชายชุดสีครามอมดำคนนี้ คือชายชุดสีครามอมดำที่เจอในผิงโจวครานั้นหรือเปล่า

ภิกษุของวัดซานฮัวนั้นรวดเร็วปานขี่ม้าจนฝุ่นตลบ แต่ละย่างก้าวดูมั่งคงเปี่ยมกำลัง

ถัดมาคือเหล่าผู้ฝีมือขั้นสี่ได้แก่ สองสาวพี่น้องตงฟาง หลี่เส่าอวิ๋น หยวนอี้ และถังหยวนอู่

“ท่านไม่ไปหรือ?” หลิวอวิ๋นถาม

“ข้าว่าจะดูอีกสักหน่อย” สวี่ชีอันมองไปยังที่ไกล

“งั้นหญิงสาวผู้นี้ขอล่วงหน้าไปก่อนก้าวหนึ่งก็แล้วกัน” หลังหลิวอวิ๋นพูดจบ ก็รีบตามฝูงชนกลุ่มใหญ่ไป นางพยายามเร่งฝีเท้า แต่เมื่ออยู่เบื้องหน้าพระอรหันต์ จังหวะก้าวเดินก็เชื่องช้าลงกะทันหัน

ทุกๆ ฝีก้าวล้วนห่างกันสิบวินาที ทำให้คนรู้สึกกระทั่งว่าจะยกขาย่างก้าวก็ยังยากเย็น

ในแต่ละช่วงเวลาหนึ่ง ผู้นำวัดซานฮัวอย่างไต้ซือเหิงหย่วนเริ่มห่างฝูงชนมากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อหันกลับมาชำเลืองมองฝูงชน ก็พนมมือพร้อมกับยิ้มเล็กน้อย “ทุกๆ ท่าน ครั้นเดินถึงพระพุทธรูป ให้พนมมือกราบไหว้สามครา ก็จะสามารถเข้าสู่ระดับสองได้ อาตมาจะรอทุกท่านด้วยความเคารพ ณ ที่แห่งนั้น”

ประหนึ่งว่าเขากำลังเยาะเย้ยทุกๆ คนอยู่

พนมมือกราบไหว้สามครา ก็สามารถเข้าสู่ระดับสองได้…สวี่ชีอันเข้าใจได้ในทันใด จึงไม่ลังเลอีก แล้วก้าวเข้าสู่บททดสอบที่อยู่เบื้องหน้า

ทันทีที่ผ่านรูปปั้นทองคำพระอรหันต์องค์แรกนั้น เขาก็เยื้องย่างได้ช้าลง ซึ่งเป็นการเข้าสู่การทดสอบก้าวแรก

อย่างไรก็ตาม เขาไม่มีความรู้สึกอึดอัดเลยแม้แต่น้อย

เมื่อถึงก้าวที่สอง

ไม่รู้สึกถึงแรงกดดัน ‘การเฝ้ามอง’ ของพระอรหันต์เลย ทั้งเดินเหินได้ตามปกติเหมือนในวันธรรมดาทั่วไป

เป็นเพราะ (คุณสมบัติ) พุทธภาวะของข้าดีเกินไปหรือ? ไม่ใช่สิ ถึงคุณสมบัติจะดี แต่ก็ไม่น่าไร้ความรู้สึกอัดแน่นขนาดนี้ ผู้เป็นซือไต้ขั้นสี่อย่างจิ้งซิน ยังไม่สามารถเดินได้อย่างอิสระเลย…เรื่องออกมาดูผิดปกติเช่นนี้ สวี่ชีอันจึงไม่กล้าเดินต่อ

คุณสมบัติมิใช่ปัญหา เป็นตัวข้าที่แปลกโดดเด่นกว่าผู้อื่นต่างหาก แต่ข้ากับสำนักพุทธไม่ได้มีความผูกพันอันใดต่อกัน…เขาพลันตระหนักรู้ได้ในทันที เขากับสำนักพุทธมีเหตุและผลอันยิ่งใหญ่สัมพันธ์กัน

เหตุและผลนี้มาจากแนวคิดของพุทธมหายาน

เขานึกขึ้นทันทีว่าพระอรหันต์ตู้เอ้อร์เรียกเขาว่าพุทธบุตร พระโพธิสัตว์ไวฑูรย์เองก็จับกลับมายังสำนักพุทธเพื่อเป็นพุทธบุตรแห่งความว่างเปล่า

ในตอนนั้น สวี่ชีอันคิดว่าพวกเขาชื่นชม ‘ความสามารถ’ ของตน พอมามองดูตอนนี้ ความจริงไม่ได้ง่ายดายขนาดนั้น บางทีเขาอาจจะกลายเป็นพุทธบุตรจริงๆ ก็ได้ ยามที่เขาสาธยายแนวคิดพุทธมหายานเสร็จสิ้น เขาก็จะเกิดความสัมพันธ์ระหว่างเหตุและผลขนานใหญ่ต่อศาสนาพุทธ

นี่คือเหตุผลที่พระโพธิสัตว์ไวฑูรย์จับเขาหลีกหนีจากโลกโลกีย์กลับสู่ประตูแห่งธรรมสินะ

…………………………………………

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง