บทที่ 522 ภาระหน้าที่อันแสนยากเย็น
สวี่ชีอันลองวิ่งเบาๆ ซึ่งราบรื่นไร้อุปสรรค ‘ประหนึ่งเดินเหินบนที่ราบ’ จากนั้นเขาก็สลัดความคิดเรื่องพุทธบุตรออกจากหัวไป อย่างไรพระโพธิสัตว์หลิวหลีโฉมสะคราญองค์นั้นก็ถูกจัดการโดยท่านโหราจารย์แล้ว ในสองสามปีนี้จึงไม่มีทางหนีออกจากภูเขาศักดิ์สิทธิ์อรัญตาได้อยู่ดี
ถึงแม้ว่าผู้ปกปักรักษาศาสนาพุทธระดับเพชร หรือกระทั่งพระอรหันต์องค์อื่นๆ จะคุกคามตน แต่ตราบใดที่รู้จักการคดเคี้ยว อ้อมทางเสียบ้าง และคอยหลีกเลี่ยงอันตราย พระอรหันต์ก็มิได้น่ากลัวขนาดนั้น
ในเมื่อเอาชนะไม่ได้ ก็ยังพอที่จะหลบหนีได้
ในทางกลับกันการเผชิญหน้าพระโพธิสัตว์หลิวหลีผู้เป็นยอดฝีมือแห่งความว่องไวและการควบคุมนั้น ไม่ว่าอย่างไรก็หลบหนีไม่พ้น
ขณะเดียวกันนั้น ฝ่ายหลิวอวิ๋นก้าวย่างอย่างยากลำบาก หลังจากเดินมาถึงเส้นทางที่มีรูปปั้นทองคำพระโพธิสัตว์และพระอรหันต์เรียงรายอยู่ทั้งสองข้าง ก็พลันเกิดแรงกดดันอันมหาศาลจากฟากฟ้า ซึ่งแรงกดดันที่ยากจะอธิบายนี้ไม่ได้กระทบร่างกาย แต่กระทบกับภายในจิตใจของผู้คน
แต่ละฝีก้าวเริ่มคล้อยตามกับศาสนาพุทธมากขึ้นทีละนิด ราวกับถูกล้างสมองอย่างช้าๆ
สาเหตุที่ก้าวเดินได้อย่างยากลำบาก ก็เพราะความคิดเดิมกำลังขัดแย้งต้านทานกับความคิดอื่นๆ ที่หลั่งไหลเข้ามาอีกครั้ง
ตราบใดที่คือสิ่งมีชีวิตอันมีสติปัญญาเป็นของตน ก็ย่อมต่อต้านการล้างสมองตามสัญชาตญาณ
สถานการณ์เช่นนี้เป็นไปตามอย่างนางคาดการณ์ไว้ ด้วยความที่เป็นกองกำลังยุทธภพท้องถิ่นแห่งเหลยโจว นางจึงเคยได้พูดคุยกับ ‘ผู้ศรัทธา’ ไม่น้อยที่ปรารถนาจะละทิ้งทางโลกเข้าประตูแห่งธรรม แม้ว่าสุดท้ายแล้วเหล่าผู้ศรัทธานี้จะล้มเหลว แต่หลังพวกเขาออกมาจากเจดีย์พุทธะ กลับศรัทธาอย่างแรงกล้ายิ่งกว่าเก่า
“หากข้าลองรับ ‘การปลูกฝัง’ นี้ดู และคิดที่จะยอมรับความรู้สึกคล้อยตามนี้ การทำเช่นนี้อาจทำให้ความเร็วของข้าว่องไวขึ้นบ้างไหมนะ?”
จากนั้นนางจึงลองพยายามไม่ต่อต้านมัน ก็พลันประหลาดใจระคนดีใจที่ค้นพบว่า ความเร็วไวขึ้นเล็กน้อยอย่างที่คาดไว้จริงๆ
เมื่อได้ข้อสรุปจากไหวพริบอันเลิศล้ำ การใช้ใจค่อยๆ ยอมรับแนวคิดแห่งพุทธ บางทีอาจจะทำให้ความเร็วว่องไวขึ้น แต่หัวใจหลักกลับเป็นสิ่งอื่น เพราะความเร็วของนางไวขึ้นเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ซึ่งไม่ได้อยู่เหนือการคาดหมายอันใด
ส่วนหัวใจหลักคืออะไรนั้น หลิวอวิ๋นก็ยังไม่เข้าใจ
ขณะนั้นเอง สายตาของนางก็เหลือบเห็นเงาร่างหนึ่งผ่านข้างกายนางไป
‘เร็วขนาดนี้เชียวรึ?’
นางพลันตกอยู่ในภวังค์ พลางมองด้วยความตะลึง
“ข้าขอล่วงหน้าไปก่อนนะ!” สวี่ชีอันที่รู้สึกถึงสายตาของนาง ก็ผงกศีรษะอย่างนิ่งเรียบ ก่อนจะเดินจากไปไกลอย่างเงียบๆ
ขณะมองร่างของเขาที่อยู่ไกลออกไปนั้น ในสมองของหลิวอวิ๋นก็คิดเพียงว่า ‘ดูเดินสบายใจประหนึ่งอยู่ลานบ้าน’
นางค่อยๆ เปิดปากกว้าง พร้อมกับดวงตาที่เบิกโพลง
“ไม่โดนผลกระทบอันใดเลยหรือ? ปะ…เป็นไปได้อย่างไรที่เขาจะไม่มีผลกระทบเลย กระทั่งพระภิกษุแห่งสำนักพุทธ ก็ยังได้รับแรงกดดันอยู่ชัดๆ แต่เขากลับดูเหมือนเมื่อยามปกติ”
ในหัวของหลิวอวิ๋นสับสนวุ่นวายไปหมด ไม่เข้าใจว่าเป็นเพราะเหตุใด
ขณะนั้นเอง สวี่ชีอันก้าวแซงหน้าคนพื้นที่เหลยโจวคนแล้วคนเล่า รวดเร็วปานขี่ม้าจนฝุ่นตลบ ส่งผลให้พวกเขาตกตะลึงอ้าปากค้างไป
เหล่าบุรุษทั่วไปที่กำลังก้าวเดินอย่างตั้งใจนั้น ก็ถึงกับเหม่อลอยเมื่อได้เห็นภาพฉากนี้
“นะ…นี่มันเกิดอะไรขึ้น?”
“พวกเราไม่ได้เดินทางเดียวกันหรือ ทำไมเขาถึงดูสบายใจขนาดนี้”
ด้วยเหตุนี้คนจำนวนมากจึงหยุดเดินแล้วยืนมองแทน พร้อมกับแสดงความคิดเห็นด้วยความประหลาดใจ
ผู้คนด้านหน้าที่ได้ยินเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากคนด้านหลังนี้ ก็ได้แก่ หยวนอี้ หลี่เส่าอวิ๋น สองสาวพี่น้องตงฟาง และเจ้าสำนักดาบคู่ถังหยวนอู่
เนื่องจากพวกเขาอยู่ช่วงตรงกลาง จึงสามารถได้ยินเสียงพูดคุยที่เต็มไปด้วยความประหลาดใจของคนด้านหลัง
สองสาวพี่น้องตงฟางเกิดความสงสัยจึงหันศีรษะกลับไปดู จากนั้นใบหน้างามก็พลันเปลี่ยนสี เพราะสิ่งที่สายตาเห็นนั้น คือชายชุดสีครามอมดำกำลังค่อยๆ ก้าวย่างเข้ามาอย่างสบายง่ายดาย ไม่สะทกสะท้านอันใด
“เอ๊ะ?”
หลี่เส่าอวิ๋นที่กำลังถือหอกยาวนั้นหันหลังกะทันหัน แล้วกวาดหอกเป็นแนวขวาง ซึ่งผู้บัญชาการหยวนอี้ที่อยู่ข้างกายก็ลดศีรษะลง เพื่อหลบหอกที่โจมตีมา
เขากำลังจะต่อว่าผู้ใต้บังคับบัญชาคนนี้ ทว่าเมื่อมองตามสายตาของอีกฝ่าย ใบหน้าก็เต็มไปด้วยความตกตะลึงทันใด
จังหวะนั้นเองสองพี่น้องตงฟาง หยวนอี้ และถังหยวนอู่พากันจับจ้องทันที
สวี่ชีอันเดินต่อเนื่องโดยไม่หยุด ก็ตอบอย่างราบเรียบเพียงประโยคเดียว “พรสวรรค์สามารถแบ่งปันกันได้ด้วยหรือ”
หลี่เส่าอวิ๋นถึงกับอ้าปากค้าง ไร้คำพูดจะโต้เถียง
จนกระทั่งชายชุดสีครามอมดำเดินจากไปไกล เขาถึงพึมพำขึ้นมาว่า “แม่เจ้า นี่คือคุณสมบัติของผู้เกิดมาเพื่อเป็นพระภิกษุเลย”
คุณสมบัติของผู้เกิดมาเพื่อเป็นพระภิกษุบ้าอะไร…สวี่ชีอันเบ้ปาก พร้อมกับเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้น
หยวนอี้หรี่ตามอง โดยสายตาจดจ้องอยู่ที่สองเท้าของเขาอย่างต่อเนื่อง แล้วกล่าวด้วยเสียงทุ้มว่า “ไม่มีการหยุดชะงักเลย ทำได้อย่างไรกันนะ”
ตงฟางหว่านชิงขมวดคิ้วงาม “ท่านพี่ คนผู้นี้มีบางอย่างที่ดูแปลกๆ นะ”
ตงฟางหว่านหรงตอบ “อืม” ด้วยสีหน้าจริงจัง แล้วส่งกระแสจิตว่า “เขาคงไปถึงชั้นสองเร็วกว่าภิกษุของวัดซานฮัวก้าวหนึ่ง แต่ไม่เป็นไร พระภิกษุแห่งสำนักพุทธได้บอกไว้ว่า บริเวณชั้นสองโดนพลังของท่านอาจารย์กัดกร่อนมาก่อน เขาอาจติดกับดักอยู่ที่นั่น”
“แต่จะให้เขาแซงหน้าพวกเราง่ายๆ ไม่ได้นะ”
ตงฟางหว่านส่ายหน้า “เจ้ายังดูไม่ออกอีกหรือ ภายในเจดีย์มีคาถา จึงยากจะกระทำการใดๆ อย่างน้อยที่แน่ๆ คือชั้นแรกมีคาถา เจดีย์พุทธะคืออาวุธเวทมนตร์ที่สักการะอัฐิธาตุและคุมขังยอดฝีมือ หากสามารถลงมือได้โดยง่าย แล้วจะคุมขังยอดฝีมือได้เช่นนี้หรือ?”
ทันใดนั้นเองตงฟางหว่านชิงเปล่งเสียงกล่าว “ไต้ซือจิ้งซิน ลองมองที่ด้านหลังท่านสิ”
‘ด้านหลังหรือ?’ เหล่าพระภิกษุที่อยู่ข้างหน้าหันหน้ากลับมามอง ดวงตาของพวกเขาดูเบิกโพลงเล็กน้อย ทั้งแสดงสีหน้าไม่อยากจะเชื่อค้างอยู่บนใบหน้านั้น
แม้กระทั่งจิ้งซินและผู้นำนิกายฉานซือเหิงอิน ก็ยังเกิดความรู้สึกเหลือเชื่อขึ้นภายในใจ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง