ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง นิยาย บท 523

บทที่ 523 แดนแห่งความฝัน

สวี่ชีอันอ้าปากพะงาบๆ ลำคอราวกับถูกปิดกั้นด้วยบางสิ่งบางอย่าง จนเขาไม่สามารถส่งเสียงได้

เขาจ้องเว่ยเยวียนอย่างเงียบๆ จนกระทั่งอีกฝ่ายเปิดปากพูดประโยคที่สอง “น่าหลันเทียนลู่ ตั้งแต่เริ่มสงคราม สำนักพ่อมดก็สังหารกองทัพทหารของต้าฟ่งไปนับไม่ถ้วน วันนี้ข้าจะฆ่าเจ้าก่อนและทำลายกองพลซากศพของเจ้า จากนั้นก็ทำลายกองทัพสามก๊ก จิ้งกั๋ว คังกั๋ว เหยียนกั๋ว เพื่อสักการะวิญญาณบนสวรรค์ของกองทัพต้าฟ่ง”

สวี่ชีอันหันศีรษะกลับไปโดยฉับพลัน เห็นชายชราผมสีขาวอมเทา สวมเสื้อคลุมยาวของพ่อมดกำลังนั่งขัดสมาธิอยู่บนผืนดินที่แห้งแล้ง ทั้งร่างเต็มไปด้วยเลือด ลมหายใจอ่อนแรง

ที่ด้านหลังพ่อมดชราท่านนั้น คือภิกษุสมณศักดิ์สูงของสำนักพุทธสามท่าน หนึ่งในนั้นคือคนที่สวี่ชีอันรู้จัก เขาคือพระอรหันต์ตู้เอ้อร์ ผู้นำสมณทูตสงฆ์สู่เมืองหลวงในวันนั้น “ที่นี่คือฉากบางส่วนของสงครามด่านซานไห่เมื่อยี่สิบปีที่แล้ว…”

เขาตระหนักได้ในทันใด พลันนึกถึงคำพูดของหลี่หลิงซู่ อาจารย์ของตงฟางหว่านหรง อดีตของอดีตเจ้าเมืองจิ้งซาน น่าหลันเทียนลู่สิ้นชีพในสงครามด่านซานไห่ ด้วยแผนการของเว่ยเยวียน

ผู้ที่ถูกคุมขังอยู่ชั้นสองคือน่าหลันเทียนลู่งั้นรึ? แต่ทำไมข้าถึงเห็นฉากการต่อสู้ในสงครามด่านซานไห่…เขากล่าวพึมพำในใจ จากนั้นก็ได้ยินน่าหลันเทียนลู่หัวเราะเยาะด้วยความเย็นชาและกล่าวว่า “เว่ยเยวียน จิตเดิมของเจ้าแห่งวัสสานยังไม่ถูกทำลาย คนที่ฆ่าข้าได้มีเพียงยอดฝีมือขั้นหนึ่งแห่งลัทธิเต๋า หรือไม่ก็พ่อมดผู้ยิ่งใหญ่”

สวี่ชีอันหันไปมองเว่ยเยวียนทันที แต่กลับพบว่าเขาได้หายตัวไป และเมื่อเขาปรากฏตัวอีกครั้ง ก็อยู่ด้านหลังน่าหลันเทียนลู่แล้ว มือขวาถือดาบ มือซ้ายหิ้วศีรษะ

ร่างไร้ศีรษะของน่าหลันเทียนลู่นั่งขัดสมาธิโดยไม่ขยับเขยื้อน เลือดที่ลำคอพุ่งสูงขึ้นกว่าห้าเมตรราวกับน้ำพุ

ขั้นสาม ไม่สิ ขั้นสามที่สมบูรณ์แข็งแกร่งกว่าอ๋องสยบแดนเหนือแห่งฉู่โจวมากนัก…สวี่ชีอันทอดถอนใจ ถึงแม้จะรู้ความจริงนานแล้ว แต่เมื่อได้เห็นการบำเพ็ญของเว่ยเยวียนกับตาในตอนนี้ เขาก็ยังอดที่จะถอนหายใจไม่ได้

พระอรหันต์ตู้เอ้อร์หยิบบาตรทองออกมาจากแขนเสื้อขนาดใหญ่ ปากบาตรชี้ไปที่ร่างของน่าหลันเทียนลู่ พร้อมกับสวดพระคัมภีร์เหนือชั้น

แสงพุทธะอันเจิดจรัสกลายเป็นลำแสงส่องไปบนร่างของน่าหลันเทียนลู่ ดึงจิตเดิมอันจอมปลอมออกมาเพื่อเก็บไว้ในบาตรทอง

พระอรหันต์ตู้เอ้อร์เก็บบาตรทองลงไป ก่อนจะกล่าวด้วยท่าทางราวกับโล่งใจว่า “อาจารย์เว่ย สำหรับจิตเดิมของน่าหลันเทียนลู่ จงมอบให้สำนักพุทธจัดการเถอะ เจดีย์พุทธะของเหลยโจวเป็นของวิเศษของพระโพธิสัตว์ฝ่าจี้ ซึ่งใช้ในการปราบวิญญาณชั่วเป็นพิเศษ ไม่ถึงหกสิบปี น่าหลันเทียนลู่ต้องตกใจจนขวัญหนีดีฝ่อ”

เว่ยเยวียนพยักหน้ากล่าวว่า “ตกลง”

หลังจากกล่าวแล้ว เขาก็เดินจากไปช้าๆ แขนเสื้อปลิวพลิ้วไปตามสายลม

“เว่ยกง เว่ยกง…” สวี่ชีอันไล่ตามไปสองสามก้าว พลางยกมือขึ้นพยายามรั้งเขาไว้ แต่เว่ยเยวียนกลับไม่ได้ยิน

เขาถอนมือกลับด้วยความหมดอาลัยตายอยาก

“อมิตตาพุทธ!”

เวลานี้เอง เขาได้ยินเสียงสวดพระนามของพระพุทธเจ้าดังมาจากด้านหลัง เมื่อหันไปมอง กลับไม่ใช่พระอรหันต์ตู้เอ้อร์ แต่เป็นภิกษุของวัดซานฮัว เช่น จิ้งซิน จิ้งหยวน เหิงอิน

ในที่สุดพวกเขาก็มาถึงชั้นสองของเจดีย์พุทธะ

เหล่าภิกษุของวันซานฮัวมองไปรอบๆ ด้วยความตกตะลึง ราวกับกำลังสับสนว่าทำไมตนเองถึงมาอยู่ที่นี่

ภิกษุจิ้งซินมองสวี่ชีอัน และกล่าวว่า “โยม เมื่อครู่เห็นอะไรรึ? ที่นี่คือที่ใด?”

สวี่ชีอันกล่าวอย่างพิจารณาว่า “ที่นี่น่าจะเป็นสมรภูมิรบของสงครามด่านซานไห่เมื่อยี่สิบปีที่แล้ว ที่ที่พวกเราอยู่ หากไม่ใช่ภาพลวงตา ก็เป็นแดนแห่งความฝันของน่าหลันเทียนลู่ เมื่อพิจารณาถึงสิ่งที่พ่อมดขั้นสี่เรียกว่า ‘พ่อมดแห่งความฝัน’ ข้าคิดว่าน่าจะเป็นอย่างหลังมากกว่า”

‘แดนแห่งความฝันของน่าหลันเทียนลู่’…ภิกษุจิ้งซินกล่าวทันทีว่า “น่าจะเป็นเช่นนั้น ท่านอาจารย์อาตู้หนานเคยบอกว่า เจดีย์พุทธะชั้นสองถูกพลังของน่าหลันเทียนลู่ทะลวงเข้าไป”

ชั้นสองทั้งหมดถูกพลังของน่าหลันเทียนลู่แทรกซึมเข้ามาแล้วรึ? สวี่ชีอันขมวดคิ้วแน่น

พระเถระชั้นผู้ใหญ่แห่งวัดซานฮัว ภิกษุเหิงอินจ้องสวี่ชีอัน และถามว่า “เมื่อครู่โยมเห็นอะไรรึ”

“ฉากก่อนที่น่าหลันเทียนลู่จะตาย เขาตายด้วยการปิดล้อมฆ่าของเว่ยเยวียนและพระสมณศักดิ์สูงแห่งสำนักพุทธ”

เขาไม่ได้พูดว่าตายด้วยการปิดล้อมฆ่าของพระอรหันต์ตู้เอ้อร์ เพราะจะเป็นการเปิดเผยเรื่องที่เขารู้จักพระอรหันต์ตู้เอ้อร์

เหล่าภิกษุของวัดซานฮัวพยักหน้าช้าๆ ภิกษุจิ้งหยวนกล่าวด้วยเสียงทุ้มต่ำว่า “ศิษย์พี่ พวกเราจะออกจากแดนแห่งความฝันนี้ได้อย่างไร?”

จิ้งซินเหลือบตามองสวี่ชีอันอย่างมีนัยยะ ก่อนจะส่ายศีรษะโดยไม่พูดไม่จาใดๆ

ดูเหมือนเขาจะรู้ แต่ไม่อยากพูดต่อหน้าข้า ใช่แล้ว สำนักพุทธและสำนักพ่อมดมีการสมรู้ร่วมคิดกัน เพื่อวางแผนปลดผนึกน่าหลันเทียนลู่…สวี่ชีอันมองเหล่าภิกษุอย่างพิจารณา สายตาของเขาหยุดอยู่ที่สองมืออันว่างเปล่าของภิกษุจิ้งซิน

“ท่านอาจารย์จิ้งซิน ลูกแก้วในมือของท่านไปไหนแล้วเล่า?”

ถ้าจำไม่ผิด ก่อนหน้านี้สวี่ชีอันเคยเห็นฉากของเจดีย์พุทธะชั้นหนึ่งสะท้อนออกมาจากลูกแก้วอย่างชัดเจน

มิน่าล่ะ หน้าที่ของลูกแก้วคือการสะท้อนฉากภายในของเจดีย์พุทธะสู่โลกภายนอก เพื่อให้ปรมาจารย์พลังจิตอีเอ๋อร์ปู้และระดับเพชรตู้หนานสามารถมองเห็นเหตุการณ์ภายในเจดีย์ได้

แม้ทั้งสองฝ่ายจะบรรลุข้อตกลง แต่ในเวลาเดียวกันก็ยังระแวงซึ่งกันและกัน ลูกแก้วจึงเป็นสะพานเชื่อมสำคัญที่ผูกมัดความร่วมมือระหว่างพวกเขา…

“ในเมื่อที่นี่เป็นแดนแห่งความฝัน แน่นอนว่าย่อมไม่สามารถนำลูกแก้วเข้ามาได้” ภิกษุจิ้งซินอธิบาย

กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ตอนนี้พวกเราไม่มีร่างกายที่แท้จริง แต่จิตสำนึกได้เข้าสู่แดนแห่งความฝันของน่าหลันเทียนลู่แล้ว…สวี่ชีอันลูบคางเบาๆ

หลังจากนั้นไม่นาน ก็ยิ่งมีคนมาถึงชั้นสองมากขึ้นเรื่อยๆ

คนแรกคือหยวนอี้ หลี่เส่าอวิ๋น ถังหยวนอู่ และยอดฝีมือขั้นสี่อย่างสองพี่น้องตงฟาง ด้วยคุณสมบัติของพวกเขาแล้ว ไม่ว่าในกองกำลังใดๆ พวกเขาล้วนเป็นหินหลักกลางกระแสชลทั้งสิ้น สำหรับสำนักพุทธ นักรบที่สามารถเข้าสู่ขั้นสี่ได้ แน่นอนว่าย่อมมี ‘ลักษณะธรรม’

ตามด้วยเหล่าจอมยุทธ์องอาจแห่งเหลยโจวที่มีจำนวนลดลงถึงสองในสาม

เมื่อเข้าสู่ชั้นหนึ่ง มีจำนวนคนประมาณห้าร้อยคน แต่ตอนนี้เหลือเพียงไม่ถึงสองร้อยคน

“ที่นี่คือที่ใด?”

“สมแล้วที่เป็นสมบัติของสำนักพุทธ นี่เป็นอีกโลกหนึ่งรึ?”

“ดินที่นี่ล้วนเป็นของจริง หินก็เป็นของจริง…”

เหล่าวีรชนต่างก็วิพากษ์วิจารณ์กันไปต่างๆ นานา คนที่อยากรู้อยากเห็นมาก ถึงกับหยิบดินขึ้นมาชิม หลังจากนั้นก็อุทาน ‘เพ่ยเพ่ย’ และถุยออกมาอย่างรวดเร็ว

หลิวอวิ๋นรีบเข้าไปรวมตัวกับศิษย์ร่วมสำนักและเจ้าสำนักถังหยวนอู่อย่างรวดเร็ว จากนั้นก็มองไปรอบๆ ท่ามกลางฝูงชน ในที่สุดเขาก็เห็นชายชุดดำคนนั้น

นางเป็นห่วงชายคนนี้มาก แต่ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องเชิงชู้สาวแต่อย่างใด เป็นเพียงความสนใจที่มีต่อยอดฝีมือลึกลับอย่างบริสุทธิ์ใจเท่านั้น

พระเถระชั้นผู้ใหญ่เหิงอินกล่าวเสียงดังว่า “โยมทุกคน ที่นี่คือแดนแห่งความฝันของน่าหลันเทียนลู่ สถานที่ที่เราอยู่ คือสมรภูมิรบที่ด่านซานไห่เมื่อยี่สิบปีที่แล้ว ฉากตรงหน้า คือสถานที่ที่พระสมณศักดิ์สูงแห่งสำนักพุทธทำการปิดล้อมฆ่าน่าหลันเทียนลู่”

เขาเอาข้อมูลของข้าไปแลกกับความดีความชอบต่อหน้าข้า…สวี่ชีอันชายตามองเหิงอิน

“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้!”

“ขอบคุณไต้ซือที่แจ้ง”

“น่าหลันเทียนลู่คือใคร?”

เหล่าจอมยุทธ์องอาจแห่งเหลยโจวต่างก็ตระหนักได้โดยฉับพลัน และถามคำถามด้วยความสงสัยไม่รู้จบ

ในขณะนี้เอง เหิงอินก็บอกเล่าถึงตัวตนของน่าหลันเทียนลู่ให้ทุกคนทราบ

“เป็นเจ้าแห่งวัสสานขั้นสองจริงๆ รึ?”

“ขั้นสองรึ…”

“สำนักพุทธแข็งแกร่งจริงๆ”

สีหน้าของเหล่าจอมยุทธ์องอาจเต็มไปด้วยความแปลกใจ บ้างก็รู้สึกทอดถอนใจ บ้างก็รู้สึกทึ่ง บ้างก็หวาดกลัว ในสายตาของพวกเขา เจ้าแห่งวัสสานขั้นสองเป็นบุคคลซึ่งเป็นเทพเจ้าที่พวกเขาได้แต่หวัง แต่ไม่สามารถใกล้ชิดได้ แต่บุคคลเช่นนี้กลับถูกสำนักพุทธปราบไว้ที่นี่ได้อย่างไม่คาดคิด

ตงฟางหว่านหรงปิดเปลือกตาลง หลังจากผ่านไปนานก็ลืมตา และกล่าวว่า “ข้าสัมผัสไม่ได้ว่าท่านอาจารย์อยู่ที่ใด นี่หมายความว่าเขาไม่ได้ตระหนักในตนเอง ที่นี่เป็นแดนแห่งความฝันจริงๆ เป็นแดนแห่งความฝันของเขา”

ตงฟางหว่านชิงพยักหน้า “แล้วจะทำลายภัยพิบัตินี้ได้อย่างไร?”

ตงฟางหว่านหรงส่ายศีรษะ “ข้าจะลองดูอีกครั้ง…”

ในขณะที่พูด จู่ๆ ฉากตรงหน้าก็เปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน ทุกคนพบว่าตนเองอยู่ในค่ายใหญ่ ชายที่มีผมและเคราขาวในเสื้อคลุมพ่อมดนั่งอยู่ตำแหน่งประธาน ที่ข้างโต๊ะตัวยาวเป็นแม่ทัพในชุดเกราะสีเงินและพ่อมดในเสื้อคลุมพ่อมด

สวี่ชีอันเห็นบุคคลที่มีใบหน้าคุ้นเคยในหมู่คนเหล่านั้น

หนู่เอ่อร์เฮ่อเจีย!

“ปีศาจทางใต้เข้าร่วมพันธมิตรกับปีศาจแดนเหนือ พยายามกอบกู้อาณาจักรหมื่นปีศาจ เผ่าพันธุ์กู่ทางใต้จึงคิดจะฉวยโอกาสนี้สั่นคลอนชะตากรรมของต้าฟ่ง สำนักพุทธแดนประจิมเป็นปฏิปักษ์กับเผ่าพันธุ์ปีศาจอย่างแน่นหนา ต้าฟ่งจึงจำเป็นต้องเข้าร่วมกับสำนักพุทธเพราะไม่สามารถเฝ้าดูอย่างนิ่งดูดายได้”

น่าหลันเทียนลู่กวาดสายตามองพ่อมดทุกคนในค่าย และกล่าวว่า “สำหรับสำนักพ่อมดของข้า นี่คือโอกาสที่หาได้ยากและมีค่ายิ่ง ตราบใดที่พวกเราเข้าร่วมสงคราม บดขยี้ต้าฟ่งและสำนักพุทธได้อย่างสมบูรณ์แบบ ก็จะสามารถแบ่งปันจิ่วโจวร่วมกับเผ่าพันธุ์ปีศาจ เผ่าพันธุ์กู่ และเผ่าอนารยชนได้”

ราชาแห่งจิ้งกั๋วเซี่ยโฮ่วยวี่ซูถามว่า “ทำไมไม่บุกต้าฟ่งจากชายแดนทางใต้?”

หนู่เอ่อร์เฮ่อเจียส่ายศีรษะช้าๆ “กองทัพต้าฟ่งแบ่งออกเป็นสองกลุ่ม กลุ่มแรกไปรวมตัวกันที่ชายแดนด่านซานไห่ อีกกลุ่มตั้งกองทัพไว้ที่ชายแดนทางตะวันออกเฉียงเหนือของทั้งสามรัฐ ฝ่ายที่ป้องกันคือพวกเรา สงครามด่านซานไห่ดำเนินไปอย่างคึกคักเร่าร้อน เผ่าปีศาจและเผ่าพันธุ์กู่อยู่ในจุดที่เสียเปรียบ เว้นแต่พวกเราจะบุกทะลวงต้าฟ่งได้มากกว่าครึ่งและเข้าใกล้เมืองหลวงในช่วงเวลาสั้นๆ มิเช่นนั้น เมื่อสงครามด่านซานไห่สงบลง ต้าเฟิ่งและสำนักพุทธก็จะมีเวลาระดมกองทัพทหารมาจัดการพวกเรา”

น่าหลันเทียนลู่พยักหน้า “ด้วยเหตุนี้ พวกเราต้องต่อสู้กับต้าฟ่งและสำนักพุทธที่ด่านซานไห่ให้รู้ดำรู้แดงกันไปเลย ถึงเวลาที่ต้าฟ่งต้องชำระหนี้ก้อนใหญ่ที่ติดค้างเราเมื่อปีนั้นแล้ว”

พ่อมดท่านหนึ่งหัวเราะคิกคัก กล่าวว่า “ผู้บัญชาการทหารสูงสุดของต้าฟ่งคือขันทีที่มีนามว่าเว่ยเยวียน เพย ที่ราบกลางไม่มีใครแล้วรึ?”

พ่อมดทุกคนและแม่ทัพต่างก็ระเบิดหัวเราะขึ้นมา

เว่ยเยวียนในเวลานั้น ถึงแม้จะมีบันทึกว่าเคยขับไล่เผ่าปีศาจมาก่อน แต่เมื่อเทียบกับการสู้รบขนาดใหญ่ที่กวาดล้างกองกำลังหลักในจิ่วโจว สงครามครั้งนั้นก็เป็นเพียงชัยชนะที่ไม่มีค่าพอจะหยิบขึ้นมาพูดถึง

เหล่าจอมยุทธ์องอาจแห่งเหลยโจวเฝ้าสังเกตการณ์การประชุมของพวกเขา พลางอ้าปากค้างด้วยความตกตะลึง “เป็นยุทธการด่านซานไห่จริงๆ”

สีหน้าของพวกเขาเต็มไปด้วยความตกตะลึงและสับสน สงครามด่านซานไห่เกิดขึ้นเมื่อยี่สิบปีที่แล้ว สำหรับพวกเขา มันเป็นสงครามขนาดใหญ่ที่ห่างไกลตัวมาก

เมื่อได้เห็นการสนทนาของสำนักพ่อมดด้วยตาตนเองในเวลานี้ ก็มีความรู้สึกไร้สาระเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ที่เข้ามาในชีวิต และตกใจมากในเวลาเดียวกัน นอกจากนี้ พวกเขายังได้รับรู้ส่วนหนึ่งของเรื่องราวภายในของสงครามด่านซานไห่อีกด้วย

นี่เป็นหนึ่งในสงครามที่ใหญ่ที่สุด และน่าเศร้าที่สุดในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ ซึ่งแก่นแท้เป็นการแสดงออกว่าความขัดแย้งระหว่างกองกำลังสำคัญในจิ่วโจวมาถึงจุดสูงสุดแล้ว

ปีศาจทางใต้ที่ถูกทำลายอาณาจักรในการกวาดล้างปีศาจหกสิบปีพยายามฟื้นฟูอาณาจักร เผ่าพันธุ์กู่พยายามสั่นคลอนโชคชะตาของต้าฟ่ง สำนักพ่อมดก็ต้องการทวงหนี้จากต้าฟ่ง

“น่าหลันเทียนลู่พูดว่าต้าฟ่งของข้าติดหนี้ก้อนใหญ่กับสำนักพ่อมด เป็นหนี้อะไรกัน?” แม่ทัพหลี่เส่ายุ่นขมวดคิ้วกล่าว

เขาถามสิ่งที่ผู้อื่นสงสัยในเวลาเดียวกัน

ตงฟางหว่านหรงกล่าวเสียงเบาว่า “ครั้งที่จักรพรรดิเกาจู่แห่งต้าฟ่งริเริ่มกิจการ เขาพ่ายแพ้หลายต่อหลายครั้ง ครั้งหนึ่งเขาเข้าตาจน และได้มายืมทหารสองแสนนายจากสำนักพ่อมด พร้อมกับให้คำมั่นสัญญาว่าหลังจากโค่นล้มต้าโจวแล้ว จะยอมรับสำนักพ่อมดเป็นศาสนาประจำชาติ แต่ใครจะไปคาดคิดว่าหลังจากต้าฟ่งก่อตั้งอาณาจักรแล้ว จักรพรรดิเกาจู่จะกลับตาลปัตร”

ประวัติศาสตร์ช่วงเวลานี้เป็นความลับมาก ที่ต้าฟ่ง แม้แต่ปัญญาชนหนอนหนังสือก็ยังไม่รู้

“ไร้สาระ!” หลี่เส่ายุ่นกล่าวเสียงเบา

“แล้วสำนักพ่อมดเหมาะสมที่จะเป็นศาสนาประจำชาติของต้าฟ่งงั้นรึ?”

“ต้าฟ่งไม่ต้องการศาสนาประจำชาติ ต่อให้เป็นนิกายมนุษย์ ก็เป็นเพียงเกมของทรราชเท่านั้น”

“เหลวไหล ผู้หญิงสารเลวคนนี้พูดจาเหลวไหลสิ้นดี”

บุคคลทีมีชื่อเสียงของเหลยโจวด่าสาปแช่งเสียงดัง

หยวนอี้กดมือเอาไว้ ศักดิ์ศรีของผู้บัญชาการทำให้เหล่าจอมยุทธ์องอาจสงบลง เขาหันไปมองเหล่าภิกษุของวัดซานฮัวและกล่าวว่า “พูดมากไปก็ไร้ประโยชน์ จะกำจัดแดนแห่งความฝันนี้ได้อย่างไร?”

ภิกษุจิ้งซินมองไปที่ตงฟางหว่านหรง ที่นี่มีเพียงนางที่เป็นแม่มดแห่งความฝันขั้นสูงสุดในขั้นสี่ มีเพียงพ่อมดเท่านั้นที่สามารถจัดการกับพ่อมดได้

ตงฟางหว่านหรงครุ่นคิดครู่หนึ่ง และกล่าวเพียงว่า “รออีกหน่อย”

หลังจากนั้นไม่นาน ทุกคนก็เข้าใจความหมายของนาง ฉากเบื้องหน้าเกิดการเปลี่ยนแปลงอีกครั้ง ฉากการต่อสู้ของสงครามด่านซานไห่ฉายต่อหน้าทุกคนราวกับโคมหมุน

ปีศาจทางใต้ เผ่าปีศาจทางเหนือ เผ่าพันธุ์กู่ สำนักพ่อมด กองทัพต้าฟ่ง อาณาจักรพุทธแดนประจิม…ความชุลมุนหลายฝ่าย ทุกคนได้เห็นการต่อสู้จากมุมมองของน่าหลันเทียนลู่

จนกระทั่งน่าหลันเทียนลู่ถูกเว่ยเยวียนวางแผนล้อมฆ่า ร่างกายถูกแยกออกจากกัน แดนแห่งความฝันก็สิ้นสุดลง เข้าสู่การเวียนว่ายครั้งใหม่

สิ่งที่ทุกคนสัมผัสได้มากที่สุดผ่านแดนแห่งความฝันนี้คือการ ‘ไม่มีความสามารถเพียงพอ’ ความไร้ความสามารถของน่าหลันเทียนลู่

ยอดฝีมือของสำนักพุทธนั้นบิดเบือนเกินไป ความสามารถในการนำทัพของเว่ยเยวียนก็บิดเบือนเกินไป

หลังจากสงครามเริ่มขึ้น ฉากการพ่ายแพ้ก็เกิดขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า พลังการรบล่าถอยราวกับมีดทื่อที่หั่นเนื้อไม่เข้า อาจมีชัยชนะในสงครามบางส่วน แต่ก็ยังยากที่จะฟื้นฟูความเสื่อมโทรม

หลี่เส่ายุ่นหัวเราะเยาะด้วยความเย็นชาและกล่าวว่า “ช่างหน้าด้านเสียจริง ที่แท้สำนักพุทธก็เป็นเพียงอันธพาลในสงครามด่านซานไห่ คนที่วางแผนล้อมฆ่าน่าหลันเทียนลู่ ไม่ใช่เว่ยเยวียน เทพสงครามแห่งต้าฟ่งหรอกรึ?”

เขาเย้ยหยันคำให้การของภิกษุเหิงอินเมื่อสักครู่ที่ยกความดีความชอบให้กับสำนักพุทธในการล้อมฆ่าน่าหลันเทียนลู่

ภิกษุวัดซานฮัวประสานมือเข้าด้วยกันโดยไม่ตอบโต้อะไร

สีหน้าของบุคคลที่มีชื่อเสียงของเหลยโจวเต็มไปด้วยความเหยียดหยาม

เวลานี้เอง ฉากเบื้องหน้าก็เปลี่ยนแปลงอีกครั้ง มันไม่ใช่สงครามด่านซานไห่อีกต่อไป แต่เป็นสภาพแวดล้อมที่ไม่คุ้นเคย

แดนแห่งความฝันที่ไม่คุ้นเคย

เจ้าของแดนแห่งความฝันคือเด็กชายที่ถือดาบถึงสองเล่ม เวลานี้ เขากำลังจ้องชายวัยกลางคนที่อยู่เบื้องหน้าด้วยสีหน้าเคร่งขรึม ซึ่งชายวัยกลางคนท่านนั้นก็ถือดาบสองเล่มเช่นกัน

ชายวัยกลางคนกล่าวด้วยความเฉยเมย “ข้าจะไม่ออมมือในการต่อสู้ครั้งนี้ หากเจ้ารอดไปได้ในร้อยกระบวนท่า ก็จะสำเร็จการฝึกฝน แต่ถ้ารอดไปไม่ได้ ก็ต้องตาย”

เด็กชายที่ถือดาบสองเล่มกล่าวเสียงเบาว่า “เลิกพูดไร้สาระได้แล้ว ท่านอาจารย์ ลงมือเถอะ”

การต่อสู้ครั้งนี้น่าสลดใจอย่างยิ่ง เด็กชายทนรับดาบถึงสามสิบหกเล่ม ลมหายใจแผ่วเบาราวกับใกล้ตาย

ฉากเบื้องหน้าเปลี่ยนแปลงอีกครั้ง เจ้าของแดนแห่งความฝันยังคงเป็นนักรบที่ถือดาบสองเล่ม แต่เป็นเด็กชายที่กลายเป็นชายหนุ่มแล้ว

ศัตรูก็เปลี่ยนจากท่านอาจารย์เป็นชายชราที่มีลำแสงแห่งความดื้อรั้นท่านหนึ่ง

ชายชราตวาดด้วยความโกรธ “ถังหยวนอู่ เจ้ากล้าฆ่าคนแก่อย่างข้ารึ อาจารย์ของเจ้าแก่แล้ว ข้าอาจจะกลัวเล็กน้อย แต่ความแข็งแกร่งขั้นห้านั้นเหมาะสมกับการฆ่าข้ารึ?”

ถังหยวนอู่กล่าวเสียงเบาว่า “สัตว์ประหลาดเฒ่าแห่งภูผางู เจ้าทำการล่วงประเวณีและปล้นสะดม ก่อกรรมทำชั่วไปหมด วันนี้ข้าจะฆ่าเจ้า”

ทุกคนต่างมองไปที่ถังหยวนอู่อย่างพร้อมเพรียงกัน มีคนกล่าวขึ้นมาอย่างฉับพลันว่า “นี่คือการต่อสู้อันโด่งดังที่เจ้าสำนักถังสังหารผู้นำเขาเฉอซาน แล้วเข้าสู่ขั้นสี่”

“อืม ข้าจำได้แล้ว ปีนั้นผู้นำเขาเฉอซานก่อกรรมทำชั่วที่เหลยโจว ก่อคดีฆ่าคนตายทั้งบ้านจนนับไม่ถ้วน เป็นที่ต้องการตัวของราชสำนัก ต้องให้เจ้าสำนักถังลงมือถึงฆ่าเขาได้ ตอนนั้นเป็นที่ฮือฮาในเหลยโจวไม่น้อย”

“แต่ว่า ทำไมเรื่องราวในอดีตของเจ้าสำนักถังถึงปรากฏที่นี่ได้?”

ตงฟางหว่านหรงเห็นเช่นนั้นก็ถอนหายใจ ราวกับเรื่องนี้ได้ยืนยันการคาดเดาในใจของนางแล้ว จากนั้นนางก็กล่าวเสียงทุ้มต่ำว่า “เพราะจิตเดิมของพวกเรามีส่วนเกี่ยวข้องกับอาจารย์…เมื่อได้รับอิทธิพลของพ่อมดแห่งความฝันในแดนแห่งความฝันของน่าหลันเทียนลู่ แดนแห่งความฝันของทุกคนจึงกำลังผสมผสานเข้าด้วยกันอย่างช้าๆ”

“เจ้ากำลังจะบอกว่าตอนนี้พวกเรากำลังฝันอยู่งั้นรึ?” หยวนอี้กล่าวเสียงทุ้ม

ถังหยวนอู่แสดงสีหน้าโดยฉับพลัน “การต่อสู้ของเด็กฝึก สงครามการฆ่าผู้นำเขาเฉอซาน เป็นการต่อสู้ที่น่าตื่นเต้นที่สุดในชีวิตของข้าจริงๆ แม้จะผ่านไปหลายปี ข้าก็มักจะฝันถึงอยู่บ่อยๆ”

“คุ้มค่าแล้วที่ได้เห็นสงครามด่านซานไห่ในอดีต ได้เห็นตอนที่เจ้าสำนักถังฆ่าผู้นำเขาเฉอซาน”

“ใช่แล้ว ประสบการณ์เช่นนี้ พูดไปก็ไม่มีใครเชื่อ”

หลังจากนั้น ทุกคนก็ประสบกับแดนแห่งความฝันอีกหลายสนาม มีการต่อสู้ในสมรภูมิของแม่ทัพเจิ้นฝู่หลี่เส่าอวิ๋นและผู้บัญชาการหยวนอี้ มีการเข่นฆ่านองเลือดของเหล่าจอมยุทธ์องอาจแห่งเหลยโจว ยังมีมุมมองของลูกศิษย์สำนักพุทธ เห็นฉากอันงดงามที่ภิกษุสมณศักดิ์สูงแดนประจิมสวดมนต์และแสดงพระธรรมเทศนา

สวี่ชีอันปะปนอยู่ในฝูงชน เขานิ่งเงียบไม่พูดไม่จา แต่สายตากลับจับจ้องสองพี่น้องตงฟางและภิกษุวัดซานฮัวเป็นพิเศษ

สำนักพุทธและสำนักพ่อมดมาถึงโดยมีการเตรียมตัวมาก่อน พวกเขาย่อมรู้ว่าจะหลุดพ้นจากแดนแห่งความฝันได้อย่างไร ปลดปล่อยน่าหลันเทียนลู่อย่างไร ได้รับปราณมังกรอย่างไร…จะให้พวกเขาปลดปล่อยน่าหลันเทียนลู่ไม่ได้…ขณะที่เขาคิด จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงอุทาน เมื่อหันศีรษะไปมอง ตนเองก็ตกตะลึงเช่นกัน

ภาพนี้คุ้นตามาก คุ้นจนทำให้สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง

พิธีต้าวฮวดของสำนักพุทธ!

ค่ายกลแปดทุกข์!

บรรลัยแล้ว นี่มันแดนแห่งความฝันของข้ารึ?!

………………………………………………

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง