บทที่ 534 ค่ำคืนฝนพรำบนเขารกร้าง
หยางเชียนฮ่วนเอ่ยช้าๆ “ช่วงนี้หลังจากทบทวนดูแล้ว ในที่สุดข้าก็เข้าใจแล้วว่าความแตกต่างระหว่างข้ากับสวี่ชีอันอยู่ที่ใด”
“อยู่ที่ใดหรือ”
จงหลีราวกับเป็นลูกคู่
หยางเชียนฮ่วนไม่ตอบคำถามแต่เอ่ยถามกลับ “ศิษย์น้องจงยังจำได้หรือไม่ว่าสวี่ชีอันเป็นที่รักใคร่ของประชาชนตั้งแต่เมื่อใด”
จงหลีเอียงหน้า เส้นผมย้อยตามไป เผยให้เห็นดวงตาสว่างเจิดจ้าคู่หนึ่ง ก่อนที่นางจะเอ่ยเสียงนุ่มละมุน “ไขคดีใหญ่ติดต่อกันได้ในช่วงการตรวจสอบข้าราชสำนัก?”
ในตอนนั้นจงหลียังเป็นแค่คนน่าสงสารที่ถูก ‘สยบ’ อยู่ใต้อาคาร นางยังไม่รู้จักสวี่ชีอัน แต่ต่อมาก็เริ่มรู้เรื่องอดีตต่างๆ ของสวี่ชีอันอย่างช้าๆ
“มิใช่ ถึงแม้ช่วงการตรวจสอบข้าราชสำนักเขาจะโดดเด่นจนเป็นที่จับตามอง แต่ชื่อเสียงของเขาก็แค่แพร่หลายอยู่ในแวดวงราชการ ชาวบ้านท้องตลาดเคยได้ยินชื่อเขามาบ้างเล็กน้อย แต่มิอาจพูดได้ว่าเป็นที่รักใคร่”
หยางเชียนฮ่วนพูดจาฉะฉานด้วยเสียงทุ้มต่ำ
“สิ่งที่ทำให้ชาวเมืองหลวงจดจำเขาได้ก็คือการประลองกับสำนักพุทธและการปฏิบัติการในอวิ๋นโจว ต่อจากนั้นก็ได้สังหารกั๋วกงที่ไช่ซื่อโข่ว ชื่อเสียงจึงพุ่งขึ้นจนถึงขีดสุด แต่ไม่ว่าจะเรื่องเหล่านี้ก็ดี หรือตำนานด่านอวี้หยางที่ตามมาหลังจากนั้นก็ช่าง หรือรวมไปถึงความสำเร็จในการสังหารจักรพรรดิ ความจริงแล้วแกนหลักของมันคืออย่างเดียวกัน”
ผ่านไปพักหนึ่ง เขาก็เอ่ยพูดด้วยน้ำเสียงราวกับเปิดเผยความจริงที่อยู่เบื้องหลัง
“เพราะว่าเขาสร้างปรากฏการณ์ ‘เพื่อชาติและประชาชน’ ให้กับตัวเองอย่างไม่หยุดยั้ง ชาวเมืองก็ย่อมที่จะรักใคร่เขา เขาสังหารหยวนจิ่งก็เท่ากับเขาสังหารทรราชคนหนึ่ง แต่ถ้าหากเขาสังหารหย่งซิ่ง เขาก็จะกลายเป็นกบฏ”
จงหลีได้ยินแล้วก็รู้สึกตื้นตัน ศิษย์พี่หยางนับว่าเข้าใจเสียที
หยางเชียนฮ่วนเอ่ยต่อ “ดังนั้น ข้าต้องเริ่มทำประโยชน์ให้กับประชาชน และทำให้ประชาชนทุกคนในเมืองหลวงรู้สึกเป็นหนี้บุญคุณข้าให้ได้”
“เช่นนั้นศิษย์พี่หยางจะทำอย่างไรหรือเจ้าคะ” จงหลีเอ่ยเสียงอ่อน
“ข้ามีแผนว่าจะเปิดร้านค้าหลายแห่งในเมืองหลวงเพื่อช่วยเหลือประชาชนเมืองหลวงโดยไม่มีค่าตอบแทน เมื่อนานเข้า ข้าก็จะอยู่เหนือกว่าสวี่ชีอันและกลายเป็นวีรบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ในสายตาของชาวเมืองหลวง” หยางเชียนฮ่วนพูดเสียงดังฟังชัด
“ศิษย์พี่หยางร้ายกาจยิ่ง ถึงขั้นคิดวิธีการดีๆ เช่นนี้ได้ด้วย” จงหลีดีใจแทนเขา
เมื่อได้รับการยอมรับและคำชื่นชมจากศิษย์น้องจง หยางเชียนฮ่วนก็จากไปอย่างพึงพอใจ
…
สายลมพัดโหม กอหญ้าเอนไหว
ที่เส้นขอบฟ้าไกลลิบมีเมฆทะมึนหนาทึบก่อตัวเป็นกลุ่มก้อนและเคลื่อนที่อย่างรวดเร็วตามแรงพัดของลมกรรโชก คณะเดินทางเดินอยู่บนเส้นทางเล็กๆ บนภูเขารกร้าง มู่หนานจือที่นั่งอยู่บนหลังม้าถูกห่อด้วยเสื้อคลุมขนจิ้งจอกอย่างแน่นหนา
นางขมวดคิ้วแล้วหันหน้าไปเอ่ยกับสวี่ชีอัน “ข้าหนาว”
ฤดูหนาวของวันนี้หนาวเย็นเป็นพิเศษ เพิ่งเข้าสู่เหมันต์ได้ไม่นาน หลังคาก็ถูกปกคลุมด้วยน้ำค้างแข็งเสียแล้ว
สวี่ชีอันพยักหน้า เขาวางมือบนท้องของแม่ม้าน้อยแล้วโคจรพลังปราณเข้าไป ปัจจุบันเขาสามารถปรับพลังปราณให้เป็นหลอมจิตและใช้พลังปราณได้ไม่น้อยเลย เทียบแล้วก็เท่ากับขั้นหลอมปราณระดับแปด
แม่ม้าน้อยสัมผัสได้ถึงความร้อนที่ส่งมาจากนายท่านก็ร้องขึ้นมาอย่างดีใจ มันหันหน้ามาแล้วเลียใบหน้าของสวี่ชีอัน
“เจ้าคนแซ่สวี!”
มู่หนานจือโมโหจนกัดฟันกรอด หรือว่านางยังเทียบม้าตัวหนึ่งไม่ได้
“สำหรับเจ้าแล้ว ความหนาวเย็นก็เป็นประสบการณ์ที่ไม่เลวเลยนะ การท่องอยู่ในยุทธภพนั้นไม่ใช่เรื่องสนุกหรอก”
ถึงจะพูดเช่นนี้ แต่สวี่ชีอันก็ยังกุมเท้าน้อยๆ ของนางเอาไว้แล้วแผ่พลังปราณส่งไปให้
หลี่หลิงซู่มองปฏิสัมพันธ์ระหว่างทั้งคู่พลางคิดว่า ‘ภรรยาไม่สวยพอ ดังนั้นสวีเชียนจึงเพิกเฉยไม่สนใจ’
เมื่อนึกถึงสาวงามทั้งหลายของตน แต่ละคนล้วนเป็นคนงามล้ำเลิศ เทพบุตรก็รู้สึกเหนือกว่าอย่างเลี่ยงไม่ได้ ขณะเดียวกันก็คาดเดาว่า ‘เป็นเพราะสวีเชียนหน้าตาไม่ค่อยดี หรือว่าเขาเข้ากับสตรีไม่ค่อยเก่งกันแน่นะ?’
‘ไม่อย่างนั้น ด้วยพลังฝึกตนของเขา จะมีสาวงามที่ไหนที่เขาไม่ได้อีกล่ะ’
‘แต่ถึงแม้ฮูหยินสวีจะหน้าตาธรรมดา แต่กลับมีบุคลิกโดดเด่นมาก ยิ่งคลุกคลีอยู่ด้วยกัน ก็ยิ่งรู้สึกว่านางแตกต่างจากหญิงสาวทั่วไป นี่น่าจะเป็นเหตุผลที่สวีเชียนแต่งกับนางสินะ…’
หลี่หลิงซู่แอบคิดอยู่ในใจ
หลังจากพลังปราณแผ่ซ่านไปสองสามรอบ ทั่วร่างของมู่หนานจือก็รู้สึกอบอุ่นขึ้นมา ถึงขั้นรู้สึกง่วงงุนเฉื่อยชาขึ้นมาด้วย นางจึงพยายามบังคับให้ตัวเองคงสติเอาไว้แล้ววางจิ้งจอกน้อยลงบนหลังม้า จากนั้นก็หยิบหนังสือ ‘บันทึกภูมิศาสตร์ต้าฟ่ง’ ออกมาจากในกระเป๋าสัมภาระ เมื่อเปิดอ่านไปพักหนึ่ง สีหน้าก็พลันเปลี่ยนแปลงไป
นางลอบกลืนน้ำลายแล้วเอ่ยถามเสียงเบา “ในหนังสือบอกว่า เซียงโจวมีจุดเด่นอยู่สองประการคือ ผีพรายและพิธีขนศพ”
เขตแดนที่พวกเขาอยู่ในปัจจุบันก็คือเซียงโจวซึ่งเป็นเมืองภายใต้เขตอำนาจของจางโจว
เมื่อจิ้งจอกขาวตัวน้อยได้ยินก็ขดตัวอย่างหวาดกลัว แล้วพูดติดๆ ขัดๆ เหมือนอย่างมู่หนานจือ
“อะ อะไรนะ มีผีพรายเยอะเลยหรือ…”
สวี่ชีอันเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ “ปีศาจร้ายอย่างเจ้ายังจะมากลัวผีพรายอีกหรือ”
จิ้งจอกขาวขลาดกลัวอยู่พักหนึ่งแล้วก็เอ่ยเสียงเบาหวิว “ขะ ข้ากลัวผีนะ”
หลี่หลิงซู่เอ่ย “สายน้ำในเซียงโจวมีมากมาย เครือข่ายแม่น้ำก็กระจัดกระจายไปทั่วเหมือนดวงดาวและไหลตัดกันหลายสาย แต่ละปีจึงมีคนจมน้ำตายนับไม่ถ้วน ผีพรายก็ย่อมมากด้วยเช่นกัน ส่วนพิธีขนศพ พูดไปแล้วก็ยาว”
เมื่อเห็นสองคนหนึ่งจิ้งจอกมองมา หลี่หลิงซู่ก็เอ่ยอธิบาย
“เมื่อประมาณหนึ่งร้อยแปดสิบปีก่อน จู่ๆ แถบตะวันตกของเซียงโจวก็มีคนประหลาดปรากฏตัวขึ้น วิธีการควบคุมซากศพก็มีฝีมือยอดเยี่ยมอย่างยิ่ง เขาใช้ศพเหล็กสิบสามตัวเอาชนะจนกลายเป็นผู้ที่ไร้คู่ต่อสู้แห่งเซียงโจว จากนั้นจึงเริ่มก่อตั้งสำนักขึ้นในเซียงโจว จนถึงตอนนี้ ในบรรดากลุ่มอิทธิพลมากมายในยุทธภพของเซียงโจว อย่างไรก็ต้องมีวิธีการควบคุมศพอยู่ด้วย ส่วนผู้ที่มีอำนาจมากที่สุดก็คือตระกูลไฉ ซึ่งธุรกิจหลักของตระกูลไฉก็คือการทำพิธีขนศพนี่แหละ โดยจะรับหน้าที่นำพาผู้ตายส่งกลับสู่ภูมิลำเนา ไม่ว่าศพใดที่ตระกูลไฉรับมาล้วนแต่ไม่เน่าเหม็นทั้งสิ้น”
สวี่ชีอันจูงเชือกม้าแล้วเอ่ยถาม “นี่คือวิธีการควบคุมศพของสำนักพ่อมดหรือว่าเป็นวิธีการของเผ่าซือกู่กันล่ะ”
หลี่หลิงซู่ยิ้มไอรีนโนเวล
“วิธีการของเผ่าซือกู่ คนประหลาดผู้นั้นมาจากเซียงโจว แต่ยามเยาว์วัยเกิดเหตุฆ่าล้างทั้งตระกูล ไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงไม่ตาย แต่ก็ถูกศัตรูนำไปขายเป็นทาสที่ซินเจียงตอนใต้และได้เรียนรู้วิธีการควบคุมศพที่ไม่ธรรมดามาจากเผ่าพันธุ์กู่ หลังจากศึกษาเองจนสำเร็จก็หลบหนีออกมาจากซินเจียงตอนใต้แล้วกลับมาแก้แค้นที่เซียงโจว พร้อมกับก่อตั้งสำนักขึ้นมา คนผู้นี้มีนามว่าไฉซือหมิง เป็นบรรพบุรุษของตระกูลไฉนั่นเอง แต่วิธีการควบคุมศพของเขายังมีข้อบกพร่องอยู่ เพราะฝึกได้ถึงแค่ขั้นห้าเท่านั้น
ต่อมาตระกูลไฉพัฒนามาสู่สายวิทยายุทธ์ คนในตระกูลจึงฝึกทั้งยุทธ์และกู่สองอย่าง หัวหน้าตระกูลไฉในสมัยนั้นก็อยู่ขั้นห้า แต่ในประวัติตระกูลก็เคยมีหัวหน้าตระกูลที่อยู่ขั้นสี่ด้วยเช่นกัน”
สวี่ชีอันเอ่ยอย่างประหลาดใจ “แต่ก่อนเจ้าเคยมาท่องเที่ยวที่เซียงโจวหรือ”
“ไม่เคย”
“แล้วเจ้ารู้เรื่องพวกนี้ได้อย่างไร”
“เพราะแม่นางคนหนึ่งของข้ารู้จักกับคนในตระกูลไฉดีอย่างไรเล่า” หลี่หลิงซู่เผยรอยยิ้มของผู้ชนะออกมา
ชิ! พอเผลอก็ได้โอกาสอวดเบ่งอีกแล้ว…สวี่ชีอันบ่นอยู่ในใจ เขาพยักหน้าแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง
“พรุ่งนี้ก็ไปถึงเมืองเซียงโจวแล้ว ข้าจะได้ไปเยี่ยมเยียนตระกูลไฉพอดีเลย”
สีหน้าของหลี่หลิงซู่เปลี่ยนไป เขาแอบแตะที่เอวเงียบๆ
ลมเริ่มพัดแรงขึ้น เมฆดำทะมึนตั้งเค้าลงมา เมื่อเห็นว่าฝนห่าใหญ่ก็ใกล้จะตกลงมาแล้ว ทั้งคณะก็เร่งฝีเท้าแล้วเดินมาพักหนึ่ง มู่หนานจือที่นั่งอยู่บนหลังม้าก็ชี้ไปยังที่ไกลๆ แล้วเอ่ยอย่างดีใจออกมา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง