บทที่ 533 หย่งซิ่ง
หลังจากสวี่ชีอันชั่งน้ำหนักดูแล้วก็เอ่ยวิเคราะห์ออกมาตามสถานการณ์ในปัจจุบัน
‘ให้นางรั้งท่านอาจารย์ของนางไว้ให้ดี ส่วนเรื่องเทพบุตรก็มอบให้ข้าจัดการ ตอนนี้สิ่งที่นางต้องคิดไม่ใช่เรื่องที่ว่าข้าจะไปช่วยนางเมื่อไหร่ แต่เป็นนางจะยื้อได้นานเท่าไหร่ต่างหาก’
ไต้ซือเหิงหย่วนเอ่ย ‘เข้าใจแล้ว อาตมาจะบอกแก่นางทุกคำทุกประโยค’
สวี่ชีอันกล่าวต่อ ‘ช่วงนี้การฝึกตนเป็นอย่างไรบ้าง’
ไต้ซือเหิงหย่วนตอบ ‘ตระหนักรู้ถึงพลังเทพวชิระแล้ว อย่างต่ำครึ่งเดือน อย่างมากสองเดือน ข้าก็จะเข้าสู่ธรณีประตูของพลังเทพวชิระได้’
นี่หมายความว่าพลังต่อสู้ที่แท้จริงของไต้ซือเหิงหย่วนไม่ด้อยกว่าขั้นสี่ไปแล้ว เมื่อได้ฝึกพลังเทพวชิระก็มีจะคุณสมบัติทะลวงถึงระดับเพชรขั้นสามได้…สวี่ชีอันดีใจยิ่ง
ก่อนจะจากกัน เขาได้สอนพลังเทพวชิระให้กับไต้ซือเหิงหย่วน ผู้ที่ฝึกพลังเทพวชิระจะต้องมีคุณสมบัติที่กำหนด แต่เขาเชื่อว่าไต้ซือเหิงหย่วนผู้ซึ่งมีสถานะเป็นพระอรหันต์จะต้องฝึกพลังเทพวชิระสำเร็จได้แน่ๆ
เรื่องนี้ไม่ต้องสงสัยเลย
การฝึกพลังเทพวชิระก็คือเงื่อนไขเบื้องต้นของการก้าวสู่ขั้นสามระดับเพชร อย่างน้อยต่อไปไต้ซือเหิงหย่วนก็จะอยู่ขั้นสาม นี่หมายความว่าต่อไปข้าก็จะมีระดับเพชรคนหนึ่งมาเป็นมือเป็นเท้าให้ นับว่าตอนนี้การลงทุนกับตัวไต้ซือเหิงหย่วนในช่วงแรกเริ่มได้ผลิดอกออกผลเรียบร้อยแล้ว
สวี่ชีอันอารมณ์ดีทันใด เขากลับมาถามต่อ ‘ฉู่หยวนเจิ่นล่ะ?’
‘ประสกฉู่ยังก้าวออกมาจากวิถีกระบี่ของเขาไม่ได้’ ไต้ซือเหิงหย่วนบอก
สวี่ชีอันถอนหายใจออกมา
เฮ้อ เจ้าเด็กนี่ เสื้อผ้าดีๆ ไม่ยอมใส่ กลับจะใส่ชุดแปลกใหม่ซะอย่างนั้น ไม่ชอบเดินบนเส้นทางของคนปกติเขาสินะ
คิดจะเดินบนเส้นทางใหม่มันง่ายนักหรืออย่างไร หากฉู่หยวนเจิ่นทำสำเร็จ ในบรรดาสมาชิกพรรคฟ้าดิน เขาก็จะกลายเป็นบุคคลที่มีพรสวรรค์น่ากลัวที่สุดแล้ว
แต่พูดไปพูดมา วิชาลับประเภทเลี้ยงจิตเช่นนี้ร้ายกาจมากจริงๆ พลังสะสมในการเปลี่ยนร่างนั้น เมื่อเวลาผ่านไปจนสะสมถึงระดับหนึ่งก็จะเกิดเป็นพลังต่อสู้ที่สามารถระเบิดออกมาเพื่อสังหารลูกพี่ตัวใหญ่จนตายได้เลย ตอนนั้นจิตดาบสิบปีของฉู่หยวนเจิ่นก็สามารถฟันร่างของจอมยุทธ์ขั้นสามได้ตรงๆ เพียงดาบเดียวจนทำให้บาดเจ็บไม่น้อยเลยทีเดียว
หลังจากจบบทสนทนาส่วนตัว สวี่ชีอันก็หันหลังกลับแล้วเก็บชิ้นส่วนหนังสือปฐพี ก่อนหันกายเดินออกไปนอกสุสาน
มู่หนานจือนั่งอยู่บนหลังของแม่ม้าน้อยและกอดจิ้งจอกขาวเอาไว้ สวี่ชีอันจูงม้าแล้วเดินเคียงไปกับหลี่หลิงซู่ โดยมีหุ่นเชิดเหิงอินเดินนำอยู่ข้างหน้า
“การตัดอารมณ์ความรู้สึกของนิกายสวรรค์คืออะไรหรือ”
จู่ๆ สวี่ชีอันก็ถามขึ้นมา
‘ก่อนหน้านี้ตอนที่อยู่ผิงโจว มิใช่ว่าข้าเคยพูดกับเจ้าในแดนฝันแล้วหรอกหรือ…’ หลี่หลิงซู่งึมงำอยู่ในใจก่อนหันหน้ามาเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม “เงียบงันไม่หวั่นไหว ราวกับผู้ลืมเลือน”
พูดดีจังนะ! สวี่ชีอันเหลือบมองเขา
“จริงๆ ก็เป็นเรื่องง่ายๆ ตามบันทึกตำราหยกของนิกายสวรรค์และจากความเข้าใจของตัวข้าเอง การตัดอารมณ์ความรู้สึกนั้นมีรากฐานมาจากการ ‘ลืมเลือน’ ลืมอะไร? คือการหลงลืมหรือ ก็ไม่ใช่ คือการไร้ความรู้สึกหรือ? ก็ไม่ใช่อีก”
หลี่หลิงซู่พูดจาฉะฉาน “ก็คือการมีความรู้สึก แต่ไม่ได้ผูกติดอยู่กับความรู้สึก ไม่ยึดติดและไม่ถูกขังอยู่ในความรู้สึก จนถึงขั้นที่สามารถมองดูอยู่เฉยๆ ได้ ข้าจะยกตัวอย่าง ผู้อาวุโสจะเลือกสิ่งใดระหว่างการช่วยใต้หล้าหรือช่วยคนหนึ่งคน?”
จู่ๆ ก็เป็นการสอนปรัชญาขึ้นมาเสียอย่างนั้น…สวี่ชีอันพินิจอยู่พักหนึ่งก็ไม่ได้ตอบ เพราะเขาคิดว่าการตอบออกไปจะเป็นการเปิดเผยอุปนิสัยของตัวเอง
หลี่หลิงซู่รออยู่ครู่หนึ่งก็ไม่ได้คำตอบจากเขา จึงพูดขึ้นเอง
“คนปกติย่อมเลือกช่วยใต้หล้าและละทิ้งบุคคล แต่หากบุคคลนั้นเป็นญาติสนิทมิตรสหายก็จะเลือกช่วยบุคคลและละทิ้งใต้หล้า เพราะเหตุใด เพราะตอนที่เขาเลือก เขาถูกกักขังอยู่ใน ‘อารมณ์ความรู้สึก’ แต่ผู้ที่ตัดอารมณ์ความรู้สึกได้นั้นจะเลือกช่วยใต้หล้า มิใช่ช่วยคนเพียงผู้เดียว แม้ว่าคนคนนั้นจะเป็นคนรักของตนก็ตาม”
สวี่ชีอันเอ่ยอย่างครุ่นคิด “เช่นนี้แล้ว ที่หลี่เมี่ยวเจินให้ความสำคัญกับคุณธรรมและเห็นใต้หล้ามาเป็นอันดับหนึ่งนั้น ก็ไม่ใช่การตัดอารมณ์ความรู้สึกเหมือนกันหรอกหรือ?”
“ไม่ๆๆ!”
หลี่หลิงซู่ส่ายหน้าติดๆ กัน “นางมีพฤติกรรมห้าวหาญทรงคุณธรรม ชอบเข้าไปยุ่งกับเรื่องของคนอื่น นี่คือตัวอย่างของการ ‘ถูกกักอยู่ในอารมณ์ความรู้สึก’ ความรู้สึกต่อความยุติธรรมของนางเป็นตัวขับเคลื่อนให้นางกำจัดความชั่วร้าย อีกอย่าง หากศิษย์น้องตกหลุมรักชายคนหนึ่งจริงๆ ข้าก็กล้ายืนยันเลยว่านางจะเลือกบุคคลและละทิ้งใต้หล้าแน่นอน”
“พูดเช่นนี้ แปลว่าเจ้าเดินถูกทางแล้ว?” สวี่ชีอันเอ่ยยิ้มๆ
“ย่อมเป็นเช่นนั้นอยู่แล้ว!” หลี่หลิงซู่ยืนอกเชิดหน้า
จากนั้นเขาก็พบว่าสายตาของสวีเชียนดูผิดปกติ เทพบุตรแห่งนิกายสวรรค์ใจตกไปที่ตาตุ่ม “เหตุใดผู้อาวุโสจึงมองข้าเช่นนั้นเล่า”
สวี่ชีอันยิ้ม แต่ไม่พูดอะไร
“สายตาของผู้อาวุโสทำให้ข้ารู้สึกไม่สบายใจเลย” หลี่หลิงซู่เค้นถามต่อ
สวี่ชีอันก็ยังคงยิ้มแต่ไม่พูดอะไร
หากการตัดอารมณ์ความรู้สึกคือโจทย์คณิตศาสตร์ประเภท 1+1 คำตอบของหลี่เมี่ยวเจินก็จะเป็น ‘3’ และเทพบุตรแห่งนิกายสวรรค์ก็จะหัวเราะเยาะว่า
‘เจ้าคนโง่ เห็นๆ อยู่ว่าคำตอบคือ 9’
โดยไม่รู้เลยว่าอาจารย์คณิตศาสตร์กำลังยืนถือไม้เรียวพร้อมกับยิ้มอย่างใจดีอยู่ข้างหลัง
ส่วนเรื่องที่ว่าจะช่วยหลี่เมี่ยวเจินอย่างไร ในความคิดของสวี่ชีอันคือต้องยื้อ ยื้อจนกว่าเจ็ดยอดกู่จะเลื่อนไปอีกขั้นแล้วค่อยคิดว่าจะช่วยคนอย่างไรอีกที
มีแต่ต้อง ‘ควบคุม’ หลี่หลิงซู่ให้ดีเท่านั้น แล้วเดินอ้อมรอบหนึ่งไปกับบุคคลระดับสูงของนิกายสวรรค์ ส่วนพลัง ‘เคลื่อนย้ายดวงดารา’ ของเทียนกู่ก็คือวิธีการปกปิดที่ทรงพลังยิ่งกว่าการปกปิดความลับของสวรรค์
พอเขามีพลังมากพอและเตรียมพร้อมรอบด้านแล้ว ก็จะโยนหลี่หลิงซู่ออกมาเป็นเหยื่อตกปลา
หากควบคุมได้ดี ข้าก็ถึงขั้นสามารถยืมพลังของนิกายสวรรค์มาจัดการกับสำนักพุทธและสำนักพ่อมดได้แบบเท่าเทียมกันเชียวนะ…
เมื่อคิดถึงตรงนี้ สวี่ชีอันก็เอ่ยถาม “จริงสิ ระดับฝึกตนของอาจารย์เจ้าเป็นอย่างไร”
“เทพเจ้าหยางขั้นสาม” หลี่หลิงซู่เอ่ย
เยี่ยมมาก…สวี่ชีอันหัวเราะออกมาไอรีนโนเวล
ขณะที่กำลังเดินอยู่นั้น จู่ๆ เขาก็มองเห็นหลุมลึกที่ปรากฏขึ้นมาจากไกลๆ เขาระงับจิตใจตื่นเต้นของตนไว้แล้วเอ่ย
“ข้าขอตัวไปทำธุระสักหน่อย พวกเจ้ากลับโรงเตี๊ยมไปก่อนได้เลย”
ทุกคนไม่สงสัย ทั้งยังมิได้เอ่ยถามมากความ จึงพากันเดินหน้าต่อไป
จิ้งจอกขาวยื่นอุ้งเท้าออกมาจากอ้อมแขนของมู่หนานจือ มันเหยียดอุ้งเท้าเล็กน้อยแล้วโบกมือ
สวี่ชีอันยืนมองเงาหลังของพวกเขาที่ห่างไปเรื่อยๆ จนกระทั่งหายลับไป ก่อนที่เขาจะกระโจนเข้าไปในหลุมลึกนั้นอย่างแทบอดใจรอไม่ไหว แล้วเผยรอยยิ้มกว้างอย่างเปี่ยมสุขราวกับได้กลับบ้าน
…
เมืองเล็กๆ แห่งหนึ่งที่ชายขอบของชิงโจว อำเภอกว่างฮั่น
ภายในห้องส่วนตัวของ ‘หอเซียงซาน’ ภัตตาคารที่ดีที่สุดของเมือง จีเสวียนถือจานดักแด้ทอดและกินอย่างเอร็ดอร่อย
“อร่อยมาก ถึงหน้าตาจะดูอัปลักษณ์ แต่พอกินแล้วกลับมีรสชาติอร่อยยิ่ง น้องหยวนซวง ลองสักจานไหม”
สวี่หยวนซวงขมวดคิ้วเล็กน้อย ไม่ได้ขยับตะเกียบอยู่นานราวกับความอยากอาหารของตนได้รับผลกระทบไปด้วย
ในห้องส่วนตัวอันกว้างขวาง มีคนนั่งอยู่ทั้งหมดเจ็ดคน สวี่หยวนซวงที่มีดวงตาสุกใสและฟันที่เรียงสวยงดงาม สวี่หยวนไหวที่ชอบทำหน้าตาเย็นชาดุดัน และจีเสวียนผู้เป็นบุคคลสำคัญของกลุ่มในครั้งนี้
นอกจากทั้งสามคนแล้วยังมีอีกสี่คน เมื่อนับจากซ้ายไปขวาก็จะมีนักพรตเฒ่าเจียวเยี่ยผู้สวมชุดคลุมเต๋าที่ซักจนขาวซีด เขาไว้เคราแพะและมีผมสีดอกเลา พร้อมกับรอยตีนกาสลักลึกที่หางตา
นักพรตเจียวเยี่ยคือนักพรตพเนจร เป็นหมอเร่ร่อนและเป็นนักทำนายที่เชี่ยวชาญในทุกๆ เรื่อง เขาใช้พลังวิญญาณกว่าครึ่งชีวิตไปกับ ‘ลัทธินอกรีต’ ทำให้ระดับการฝึกตนของตัวเองไม่สูงมาก
แต่ในยุทธภพ ผู้อาวุโสที่มีประสบการณ์มากมายหลายวิชาเช่นนี้สำคัญถึงขนาดที่อยู่เหนือกว่าจอมยุทธ์เลยด้วยซ้ำ
ต่อมาก็คือชายร่างผอมที่สวมชุดคลุมยาวกระดำกระด่างสีสันสดใส มีนามว่าฉีฮวนตานเซียง คนผู้นี้คือหมอผีพเนจรจากเผ่าซินกู่ ตอนอยู่ในอวิ๋นโจวเขาได้พบเรื่องเสนาบดีเล็กรังแกชาวบ้าน จึงควบคุมกู่พิษให้ทำลายทั้งครอบครัว
เห็นได้ชัดว่ามีอุปนิสัยสุดโต่ง
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง