บทที่ 532 ฝากข้อความผ่านหนังสือปฐพี
‘ที่แท้หมายเลขเจ็ดเป็นเทพบุตรของนิกายสวรรค์จริงๆ ด้วย คิดไม่ถึงว่าจะบังเอิญพบเขาที่นี่…’ ดวงตาของฉู่หยวนเจิ่นเป็นประกาย รู้สึกสนใจหมายเลขเจ็ดซึ่งไม่เคยพบหน้ากันมาก่อน
ตั้งแต่เมื่อครั้งที่หลี่เมี่ยวเจินแฝงตัวไปปราบโจรที่อวิ๋นโจว สมาชิกพรรคฟ้าดินก็รู้แล้วว่าหมายเลขเจ็ดกับนางมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกันอย่างยิ่ง มิเช่นนั้น คงจะไม่มอบเศษชิ้นส่วนหนังสือปฐพีให้หลี่เมี่ยวเจินเก็บรักษาในขณะที่ตกอยู่ในอันตรายเพราะถูกคนตามฆ่า ประกอบกับนิกายสวรรค์มีระบบเทพบุตรและเทพธิดา จึงคาดเดาได้ไม่ยากว่า มีความเป็นไปได้สูงว่าหมายเลขเจ็ดคนนั้นจะเป็นเทพบุตรของนิกายสวรรค์ เป็นศิษย์พี่หรือศิษย์น้องของหลี่เมี่ยวเจิน
แต่ตัวหลี่เมี่ยวเจินเองก็ปิดบังเรื่องนี้อย่างมิดชิด ไม่มีการพูดถึงอย่างเด็ดขาด ดังนั้นการคาดเดาก็เป็นเพียงการคาดเดา ไม่มีการพิสูจน์ให้เห็นจริง
เวลานี้ได้ยินหลี่เมี่ยวเจินพูดเช่นนี้ ฉู่หยวนเจิ่นจึงมั่นใจจริงๆ ว่าหมายเลขเจ็ดก็คือเทพบุตรของนิกายสวรรค์
‘เฮ้อ ในที่สุดก็ได้พบกับเทพบุตรของนิกายสวรรค์ที่ปกติแล้ว…’ ฉู่หยวนเจิ่นพึมพำในใจ
เขาเกือบจะหมดความอดทนกับหลี่เมี่ยวเจินแล้ว ลำพังแค่การกำจัดคนพาลเพราะพบเห็นความไม่เป็นธรรมก็ยังพอทน แต่ยังชอบผดุงความยุติธรรมโดยไม่หวังผลตอบแทน การท่องยุทธภพต้องอาศัยอะไร? ไม่ใช่เงินหรือ?
พวกเขาทั้งสามอยู่ในช่วงเวลาที่น่าสังเวชที่สุด แม้แต่โรงเตี๊ยมก็อยู่ไม่ไหว
สำหรับเรื่องนี้ คำอธิบายของหลี่เมี่ยวเจินคือ สำหรับพวกเราแล้ว นอนกลางแจ้งหรือนอนโรงเตี๊ยมจะแตกต่างกันอย่างไร?
ฉู่หยวนเจิ่นไม่มีอะไรจะโต้แย้ง
อย่างไรสวี่ชีอันก็ยังดีกว่า หากท่องยุทธภพไปกับเขา จะต้องกินอยู่อย่างสุขสบาย ได้ชิมอาหารอร่อยของท้องถิ่นทุกร้าน ชมวิวทิวทัศน์ที่สวยงามท้องถิ่นทุกแห่ง ตกกลางคืนยังได้ไปดื่มเหล้าดอกไม้ที่หอนางโลมหรือสำนักสังคีต
“ไปกันเถิด!“
หลี่เมี่ยวเจินนำหน้าเข้าไปในโรงเตี๊ยมก่อน ตอนนี้ไม่ใช่เวลาอาหาร ในห้องโถงจึงมีลูกค้าอยู่เพียงไม่กี่คน
นางเดินตรงไปที่โต๊ะจ่ายเงิน สอบถามเจ้าของโรงเตี๊ยมว่า “มีคนหนุ่มหน้าตาดีมากๆ มาเข้าพักที่โรงเตี๊ยมหรือไม่?”
หลี่เมี่ยวเจินเชื่อมั่นในตัวเอง ด้วยหน้าตาของคนเลวนั้น เพียงแค่เจ้าของร้านเห็น จะต้องจำได้อย่างแน่นอน
เจ้าของร้านคิดอยู่ครู่หนึ่ง รู้สึกลังเลเล็กน้อย “หน้าตาดีมากๆ นี่ดีแค่ไหน?”
หลี่เมี่ยวเจินหันกลับมา ชี้ไปที่ฉู่หยวนเจิ่น “หน้าตาดีกว่าเขา”
เมื่อเจ้าของร้านเห็นใบหน้าของฉู่หยวนเจิ่นก็ส่ายหน้า “ไม่เคยเห็น คุณชายคนนี้ท่าทางสุภาพงดงาม โลกนี้หายาก จะมีคนที่หน้าตาดีกว่าเขาได้อย่างไร”
ฉู่หยวนเจิ่นเก็บดาบด้วยท่าทางพึงพอใจ
หลี่เมี่ยวเจินขมวดคิ้ว ส่ายหน้า พึมพำว่า “ระยะนี้มีนักพรตมาพักที่นี่หรือไม่?”
“มี”
“ใคร?”
สายตาของเจ้าของร้านมองผ่านไหล่ของหลี่เมี่ยวเจิน จ้องไปที่ด้านหลังของนาง แล้วพูดว่า “ก็อยู่ข้างหลังเจ้านั่นไง”
หลี่เมี่ยวเจินตกตะลึง เมื่อหันกลับไปมอง ก็เห็นคนสามคนที่อยู่ข้างหลัง ไม่รู้ว่าบุรุษรูปร่างลักษณะสง่างาม สวมเสื้อกันฝน ศีรษะสวมหมวกดอกบัว คิ้วตรงยาว ดวงตาสีครามอ่อนๆ ที่พบได้น้อยมาก ใบหน้างดงามราวแกะสลักปรากฏตัวขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่
“ท่านอาจารย์”
หลี่เมี่ยวเจินรู้สึกประหลาดใจ รีบเดินไปหาบุรุษรูปงาม แล้วพูดว่า
“ท่านอาจารย์ลงเขามาทำไม เหตุใดท่านจึงมาอยู่ที่นี่ ไม่พบกันสองปี ศิษย์คิดถึงท่านเป็นอย่างยิ่ง พวกเราได้พบกันที่นี่ นับว่าเป็นพรหมลิขิตจริงๆ”
เทพธิดาปิงอี๋มองนางอย่างเฉยเมย “ข้าสะกดรอยตามเจ้ามาตลอดทาง จอมยุทธ์หญิงนางแอ่นเหินไปที่ไหน ก็มีชื่อเสียงเลื่องลือที่นั่น หาไม่ยาก”
ชะงักไปครู่หนึ่ง นางก็พูดอย่างเฉยเมยว่า “แค่คำพูดที่เจ้าพูดเมื่อครู่ ลงโทษให้เจ้านั่งหันหน้าเข้ากำแพงบำเพ็ญเพียรเป็นเวลาสามปีก็ไม่นับว่าเกินไป”
ถึงจากกันนานสิบปี ชาวนิกายสวรรค์พบหน้ากัน ก็ควรจะพยักหน้าแสดงความเคารพต่อกันอย่างสงบเสงี่ยม
…หลี่เมี่ยวเจินมีสีหน้าหวาดกลัว “ข้าก็กำลังบำเพ็ญเพียรอยู่ ก่อนเลื่อนสู่ขั้นสาม ศิษย์ยังไม่สามารถทำความเข้าใจเรื่องการตัดอารมณ์ความรู้สึก”
นางรีบแนะนำเพื่อนต่ออาจารย์ “ท่านนี้คือฉู่หยวนเจิ่นศิษย์เพียงในนามของนิกายมนุษย์ เดิมทีเป็นจอหงวนแห่งต้าฟ่ง ท่านนี้คือจอมยุทธ์ภิกษุเหิงหย่วนแห่งวัดมังกรเขียว
เทพธิดาปิงอี๋เหลือบมองพวกเขาด้วยแววตาไม่ยินดียินร้าย “กระบี่ อัฐิธาตุ”
ทั้งสี่คนนั่งลงที่โต๊ะ เทพธิดาปิงอี๋พูดอย่างเย็นชาว่า “ลงจากเขามาท่องเที่ยวสองปี เข้าใจเรื่องการตัดอารมณ์ความรู้สึกแล้ว?”
หลี่เมี่ยวเจินกลอกตาไปมา แล้วพูดว่า “เอ่อ เรื่องนี้…ศิษย์กำลังพยายามอยู่”
เทพธิดาปิงอี๋พูดอย่างเย็นชาว่า “ยื่นมือมา”
หลี่เมี่ยวเจินทำตามด้วยความงุนงง
แสงสีทองอ่อนส่องออกมาจากแขนเสื้อของเทพธิดาปิงอี๋ จับข้อมือทั้งสองข้างหลี่เมี่ยวเจินไว้แน่น
“เชือกมัดวิญญาณ?”
หลี่เมี่ยวเจินตกใจเป็นอย่างยิ่ง คิดไม่ถึงเลยว่าเรื่องจะบานปลายเช่นนี้ จึงพูดอย่างงงงันว่า “อาจารย์ ท่านกำลังทำอะไร”
สีหน้าของเทพธิดาปิงอี๋เย็นชา น้ำเสียงราบเรียบเช่นเดิม “ได้รับบัญชาจากเทพสวรรค์ ให้จับหลี่เมี่ยวเจินกลับนิกาย ศึกษาตำราของนิกายสวรรค์ใหม่อีกครั้ง”
ฉู่หยวนเจิ่นและเหิงหย่วนมองหน้ากัน ไม่รู้จะทำอย่างไรดีไปชั่วขณะ
“เพราะอะไร?”
หลี่เมี่ยวเจินไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น
เทพธิดาปิงอี๋สีหน้าเรียบเฉย “ศิษย์ของนิกายสวรรค์มีความทะยานอยากน้อย แม้มีการบำเพ็ญเพียรภาวนา แต่ก็ห้ามเกี่ยวข้องกับเหตุต้นผลกรรมมากเกินไป เทพสวรรค์เชื่อว่าเจ้าเหินห่างจากหลักธรรมของนิกายสวรรค์แล้ว จะต้องศึกษาตำราของนิกายสวรรค์ใหม่อีกครั้ง ตื่นรู้เมื่อไหร่ ก็จะปล่อยเจ้าออกมาเมื่อนั้น”
‘ศิษย์ของนิกายสวรรค์ลงจากเขามาบำเพ็ญเพียร ท่าทีที่ถูกต้องคือมองความสุขความทุกข์ในโลกมนุษย์อยู่ข้างๆ แต่หลี่เมี่ยวเจินไม่ใช่ หลี่เมี่ยวเจินนั้นมาเกลือกกลั้วในโคลนเลนโลกมนุษย์ด้วยความสนุกสนาน ข้าก็ว่าแล้ว หลี่เมี่ยวเจินเป็นนิกายสวรรค์ที่แปลกประหลาด บำเพ็ญด้านการตัดอารมณ์ความรู้สึกแท้ๆ แต่กลับชอบช่วยเหลือผู้ที่ถูกรังแก ไม่ช้าก็เร็วจะต้องถึงจุด…’ ในสมองของฉู่หยวนเจิ่นมีไม่รู้จะหาคำใดมาอธิบาย
หลี่เมี่ยวเจินไม่ยอมแพ้ “ศิษย์ ศิษย์กำลังฝึกใจ”
เทพธิดาปิงอี๋พยักหน้า “กลับนิกายเซนไปอธิบายให้เทพสวรรค์ฟังแล้วกัน แต่ก่อนไป ข้าต้องช่วยศิษย์พี่เสวียนเฉิงจับกุมเทพบุตรก่อน”
‘ฮะ? เทพบุตร นิกายสวรรค์ต้องการจับกุมแม้กระทั่งเทพบุตร?’
ฉู่หยวนเจิ่นรู้สึกข้องใจอยู่ในใจ อดหันไปมองเหิงหย่วนไม่ได้ พบว่าในแววตาของอีกฝ่ายก็มีความข้องใจเช่นกัน
เทพธิดาปิงอี๋ลุกขึ้นยืน จูงหลี่เมี่ยวเจินเดินออกไปทันที
“ท่านอาจารย์ ท่านอาจารย์ ข้าไม่อยากกลับนิกาย ข้ายังมีเวลาบำเพ็ญเพียรอีกหนึ่งปี ท่านตัดสินได้อย่างไรว่าข้าไม่สามารถตัดอารมณ์ความรู้สึกได้ ท่านช่วยขอความเมตตานิกายสวรรค์แทนข้าด้วย…”
หลี่เมี่ยวเจินที่ถูกจูง เดินโซเซไปข้างหน้า เอ่ยปากขอร้องไม่หยุด
เหิงหย่วนรีบลุกขึ้น พูดเสียงเคร่งขรึมว่า “ผู้อาวุโส หลี่…”
ยังไม่ทันพูดจบ ก็ถูกหลี่เมี่ยวเจินตะโกนให้หยุดพูด
จอมยุทธ์หญิงนางแอ่นเหินกระแสจิตว่า ‘อย่าพยายามขัดขวาง นางต้องฆ่าพวกเจ้าแน่ คนที่ตัดอารมณ์ความรู้สึกได้ จะไม่ฆ่าคนเพราะความรู้สึกหรือความดีความชั่ว ไม่ว่าคนดีหรือคนเลวในสายตาของพวกเขาล้วนไม่แตกต่างกัน แต่หากพวกเขารู้สึกว่าพวกเจ้าคอยขัดขวาง ก็จะฆ่าทิ้งโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย และจะไม่ลังเลเพียงเพราะสถานะของเจ้า ห้ามขัดขวางนางโดยเด็ดขาด…แต่ก็อย่าทอดทิ้งข้า กลับไปนิกายสวรรค์ทีนี้ เกรงว่าชาตินี้คงออกมาไม่ได้แล้ว’
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง