บทที่ 531 สื่อสารกับเสินซู (2)
ซุนเสวียนจีกระทืบเท้าหนึ่งครั้ง ค่ายกลลำเลียงก็พามู่หนานจือและหลี่หลิงซู่หายตัวไปจากชั้นสาม
สวี่ชีอันประนมมือขึ้น หันไปทำความเคารพภิกษุเฒ่าถ่าหลิง “ไต้ซือทราบหรือไม่ว่าข้าเป็นใคร”
ภิกษุเฒ่ายิ้มและตอบกลับ “อาตมาได้ยินข่าวลือเกี่ยวกับประสกที่วัดซานฮัวมาไม่น้อย”
ข้าคิดว่าเจ้าไม่สนใจโลกภายนอกเสียอีก…สวี่ชีอันถามกลับ “เรื่องอันใดหรือ”
หลี่เส่าอวิ๋นบอกว่าภิกษุเฒ่ารูปนี้มีความสามารถในการคิดคำนวณสูงหาตัวจับยาก อีกทั้งยังมีสติปัญญาปราดเปรื่อง สวี่ชีอันเกรงว่าเขาจะหลอกลวงตน จึงถามย้ำเพื่อความแน่ใจ
ภิกษุเฒ่าตอบอย่างตรงไปตรงมา “เดาว่าสาเหตุแรกที่ทำให้พวกประสกเดินทางแดนพุทธะ คงจะเป็นเพราะเรื่องพุทธมหายาน”
กะแล้วเชียวว่าเขาต้องรู้จักตัวตนของข้า…สวี่ชีอันกล่าวยิ้มๆ “ไต้ซือ ท่านเคยได้ยินเรื่องตะปูตอกวิญญาณหรือไม่”
“ตามตำนานเล่าว่า เมื่อครั้งในระหว่างที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าออกจาริกเผยแพร่คำสอนในดินแดนประจิมทิศนั้น พระองค์ถูกเผ่าอสูรขัดขวาง แต่หลังจากนั้นเผ่าอสูรส่วนใหญ่ก็ทราบซึ้งในพระธรรมของพระพุทธเจ้า จึงหันมานับถือพระพุทธศาสนา”
ทราบซึ้งในรสพระธรรม หรือโดนล้างสมองกันแน่ สวี่ชีอันบ่นในใจ
“แต่ราชาอสูรกลับแข็งข้อ จนแม้แต่พระพุทธเจ้าก็ยังหมดหนทาง จึงใช้ตะปูตอกวิญญาณผนึกเขาไว้ใต้อรัญตาเป็นเวลาสี่สิบเก้าปี ก่อนจะนำตัวมาขัดเกลา” ถ่าหลิงกล่าว
สวี่ชีอันยิงคำถามกับผู้เชี่ยวชาญโดยตรง
“เช่นนั้นท่านคงจะเคยเห็นตะปูตอกวิญญาณสินะ? ท่านทราบวิธีใช้งานมันหรือไม่”
ภิกษุเฒ่าส่ายหน้า “ประสกเอ๋ย อาตมาเป็นเพียงถ่าหลิงเท่านั้น”
แล้วมันหมายความว่ายังไงฟะ…สีหน้าของสวี่ชีอันชะงักค้างเล็กน้อย
“ถ่าหลิงไม่สามารถบำเพ็ญตนได้ อาตมาเป็นเพียงจิตนึกคิดที่เกิดขึ้นจากเจดีย์พุทธะองค์นี้ ต่างจากสิ่งมีชีวิตทั่วไป ความสามารถของอาตมาเป็นสิ่งที่นายท่านอุทิศให้”
กล่าวคือความสามารถของถ่าหลิงเป็นสิ่งตายตัว เจดีย์พุทธะมีความสามารถเช่นไร ถ่าหลิงก็ได้รับความสามารถเช่นนั้นไปด้วย ไม่สามารถฝึกวรยุทธ์ได้เหมือนคนทั่วไป และไม่สามารถสำแดงวรยุทธ์โดยไม่พึ่งอาวุธเวทมนตร์…กล่าวอีกนัยหนึ่ง ต่อจากนี้ไปดาบไท่ผิงของข้าจะทำได้แต่บั่นคอคน สมแล้วที่เป็นอาวุธเวทมนตร์ของจอมยุทธ์ กักขฬะเสียไม่มี…ข้าเชื่อคำพูดของภิกษุเฒ่าแค่ครึ่งเดียวเท่านั้น ไว้กลับไปถามศิษย์พี่สองดีกว่า เขาเป็นโหร ไม่มีใครเข้าใจอาวุธเวทมนตร์ได้ดีกว่าเขาอีกแล้ว
เขาไม่ได้รับคำตอบที่คาดหวัง แต่โชคดีที่เขาไม่ได้ตั้งความหวังเอาไว้สูง จึงเลิกสนใจเรื่องตะปูตอกวิญญาณ แล้วชี้ไปที่ท่อนแขนของเสินซู
“ไต้ซือ ข้าขอพูดคุยกับเขาได้หรือไม่”
ภิกษุเฒ่าถ่าหลิงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนตอบ “ได้สิ!”
สวี่ชีอันหยิบสร้อยกำไลออกมา เดินไปอยู่ข้างค่ายกล เขย่าให้เกิดเสียงกระดิ่งขึ้นมา
แขนซ้ายของเสินซูขยับนิ้วชี้เล็กน้อย
“กรุ๊ง กริ๊ง กรุ๊ง กริ๊ง…”
ยิ่งเสียงของกระดิ่งดังขึ้นเท่าไร นิ้วมือของแขนซ้ายก็ยิ่งขยับเร็วขึ้นเท่านั้น ฉับพลันความอาฆาตพยาบาทที่รุนแรงก็เพิ่มขึ้นและปกคลุมชั้นที่สามทั้งหมด
แรงอาฆาตระดับนี้ทำให้หัวใจของสวี่ชีอันเต้นถี่ ราวกับตกอยู่ท่ามกลางฝูงหมาป่า ดวงตาสีเขียววาววับจ้องมองเหยื่อที่ถูกเลือกตาเป็นมัน ไม่มีความปรานีแม้แต่น้อย
“เสินซู?”
สวี่ชีอันเอ่ยถามเป็นการหยั่งเชิง
เขาสามารถเรียกชื่อเสินซูต่อหน้าถ่าหลิงได้อย่างไม่ยี่หระ ประการแรกสำนักพุทธทราบอยู่แล้วว่าเสินซูอยู่ในร่างของเขา ความลับนี้ถูกเปิดเผยไปนานแล้ว เช่นเดียวกับเรื่องโชคชะตา
ประการที่สอง ก่อนหน้านี้ความตั้งใจจะคลายผนึกเสินซูของเขาถูกเปิดเผยต่อหน้าถ่าหลิงจนหมดเปลือกแล้ว
ทันทีที่สวี่ชีอันขานชื่อของเขาออกมา เสียงที่เคร่งขรึมเต็มไปด้วยความเคียดแค้นก็ดังขึ้นมาจากท่อนแขน
“เจ้าเป็นใคร รู้จักนามของข้าได้อย่างไร”
“เป็นคนที่บังเอิญรู้จักนามของท่านเท่านั้น” สวี่ชีอันคิดก่อนจะตอบ “ข้าได้รับมอบหมายจากใครบางคนให้มาไถ่ถามเรื่องบางอย่างจากท่าน กำไลข้อเท้านี้เป็นเครื่องยืนยัน เอ่อ ท่านยังจำเจ้าของกำไลข้อเท้าอันนี้ได้หรือไม่”
“…จำไม่ได้”
สวี่ชีอันกล่าวด้วยสีหน้าเรียบเฉย “ท่านคงไม่คิดจะลวงข้าเข้าไปหา แล้วฉวยโอกาสทำเรื่องเลวร้ายกับข้าใช่หรือไม่”
“…” เสินซูกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “เจ้าคนไร้ค่า ฉลาดเหมือนกันนะ”
ทันใดนั้นสวี่ชีอันก็ตระหนักขึ้นได้ “ท่านคิดจะทำเรื่องชั่วร้ายกับข้าจริงๆ ด้วย”
“…”
เสินซูไม่พูดให้มากความ จากนั้นก็เกิดอาการบ้าคลั่ง ใช้นิ้วมือต่างเท้า วิ่งพล่านไปทางซ้ายทีขวาที จนทำให้โซ่ตรวนขาดสะบั้น
“ปล่อยข้าออกไป ปล่อยข้าออกไป พระพุทธเจ้า เจ้ามันจอมทรยศ!”
เสียงคำรามกึกก้องทั่วพื้นที่ชั้นสาม สั่นสะเทือนเจดีย์เล็กน้อย
สวี่ชีอันขมวดคิ้ว รู้สึกราวกับว่าขมับเต้นตุบๆ เลือดแทบจะกระฉูดออกมาจากเส้นเลือด ปวดศีรษะจนแทบจะระเบิด
เขาอดทนต่ออาการปวดศีรษะและถามเสียงดัง “ตอนนั้นพระพุทธเจ้าทำอะไรกับท่าน เล่ามาให้ละเอียดเดี๋ยวนี้ แล้วท่านรู้จักกับจิ้งจอกสวรรค์เก้าหางแห่งอาณาจักรหมื่นปีศาจใช่หรือไม่ พวกท่านมีความสัมพันธ์อย่างไรต่อกัน”
ทว่าเสินซูกลับไม่สนใจเขา เอาแต่สาปแช่งพระพุทธเจ้าอย่างเอาเป็นเอาตาย ทำให้เจดีย์พุทธะสั่นสะเทือนไม่หยุดหย่อน
หลังจากผ่านไปสิบกว่านาที ในที่สุดเขาก็สงบลง และเอ่ยพลางถอนใจเบาๆไอรีนโนเวล
“อยากรู้ใช่หรือไม่ เช่นนั้นเจ้าก็เข้ามานี่สิ เข้ามาใกล้ๆ เดี๋ยวข้าจะบอกให้”
“ทำไมท่านไม่ออกมาเองล่ะ” สวี่ชีอันมุ่ยหน้า “ท่านรู้หรือไม่ว่าตัวเองถูกขังอยู่ในเจดีย์มานานเท่าไร”
เมื่อได้ยินคำถามดังกล่าว เสินซูก็ระงับความอาฆาตลง และถามกลับโดยไม่รู้ตัว “นานเท่าไรแล้วล่ะ”
อยุู่ในเจดีย์จนลืมวันลืมคืน
สวี่ชีอันกล่าวอย่างจริงจัง “ห้าพันปีแล้ว”
เสินซูเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะแค่นเสียงหัวเราะ “เจ้าปดข้า”
น้ำเสียงของเขาหนักแน่นอย่างยิ่ง
เอ้า เอาอะไรมาหาว่าข้าปดเจ้า อยู่ในเจดีย์มานานจนลืมวันลืมคืน รู้ได้ยังไงว่าข้าโกหก…สวี่ชีอันขมวดคิ้ว
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง