บทที่ 536 ศัตรูมาเยือน
ผู้ดูแลประตูใหญ่เห็นคุณชายหนุ่มท่านนี้มีบุคลิกสง่างาม รูปลักษณ์ภายนอกก็หล่อเหลา ไม่เหมือนพวกสิบแปดมงกุฎที่เที่ยวหลอกลวงคนอื่น เขาจึงลังเลเล็กน้อยก่อนจะกล่าวว่า “คุณชายโปรดรอสักครู่!”
เขารีบหมุนตัววิ่งกลับเข้าไปในจวนอย่างรวดเร็ว ประมาณสิบห้านาที เสียงฝีเท้าอันเร่งรีบก็ดังขึ้น หญิงสาวท่านหนึ่งวิ่งออกมา นางสวมชุดกระโปรงยาวสีขาวบริสุทธิ์ เรียวคิ้วยาวสีดำ ริมฝีปากบางสีเชอร์รี่ ผิวขาวละเอียดอ่อนราวกับหยกน้ำงาม
หญิงที่เพิ่งเข้าวัยสามสิบ แต่งกายอย่างเรียบง่าย แต่กลับไม่สามารถปกปิดรูปร่างอันน่าภาคภูมิใจได้ บนศีรษะประดับด้วยดอกไม้สีขาว แต่สิ่งที่ทำให้ผู้อื่นสะดุดตานางมากที่สุด คือความโศกเศร้าที่ปรากฏอยู่จางๆ จนทำให้รู้สึกสงสารนางขึ้นมาโดยไม่มีเหตุผล
“ซิ่งเอ๋อร์!”
รอยยิ้มเล็กน้อยปรากฏขึ้นบนใบหน้าของหลี่หลิงซู่ เขาดูเหมือนคุณชายที่มีท่วงท่าอันสง่างามตลอดเวลา แม้อยู่ท่ามกลางความวุ่นวายก็ตาม
ไฉซิ่งเอ๋อร์จ้องเขาด้วยความว่างเปล่า ดวงตาของนางกลายเป็นสีแดงก่ำ พลางกล่าวด้วยความเย็นชาว่า “คุณชายหลี่ขนานนามตนเองว่าเป็นคนเสเพลแห่งยุทธจักร จิตไร้ที่พึ่ง จุดหมายเดียวของท่านคือการเดินไปสู่ยุทธจักรมิใช่หรือ วันนี้ลมพัดมาจากทิศใด ถึงได้พาท่านมาหาข้าถึงที่นี่”
หลี่หลิงซู่ถอนหายใจ “คนที่มีห่วงคงไปไหนได้ไม่ไกล สุดท้ายก็จะกลับมาอยู่ข้างกายคนรัก”
ไฉซิ่งเอ๋อร์หันหน้าหนี และพยายามกลั้นน้ำตาไม่ให้ไหลออกมา
ตอนที่เด็กผู้ชายคนนี้จากไป เขาต้องจากไปโดยไม่บอกลาหรือทิ้งจดหมายไว้สักฉบับอย่างแน่นอน…สวี่ชีอันแอบคาดเดาอยู่ในใจ
มิเช่นนั้น หญิงวัยแต่งงานท่านนี้คงไม่โกรธเคืองถึงเพียงนี้ นอกจากนี้ เมื่อเทียบกับสองพี่น้องตงฟางและเหวินเหรินเชี่ยนโหรวแล้ว เกรงว่านิสัยของอาหญิงตระกูลไฉท่านนี้คงดื้อรั้นพอๆ กัน
หลี่หลิงซู่อ้าปากราวกับกำลังจะกล่าวคำหวาน แต่ก็รู้สึกว่าสภาพแวดล้อมไม่เหมาะสมเท่าใดนัก เขาจึงไอกระแอมและกล่าวว่า “ผู้อาวุโสท่านนี้คือสหายของข้า เขามาเที่ยวที่เซียงโจวกับข้า ได้ยินว่าเกิดเรื่องขึ้นที่จวนตระกูลไฉ พวกเราจึงตั้งใจมาดูเป็นพิเศษ หากมีตรงไหนที่ต้องการความช่วยเหลือ ซิ่งเอ๋อร์ก็กล่าวมาได้ตามสะดวก”
ยามเฝ้าประตูตกตะลึงไปตามๆ กัน จู่ๆ คุณชายท่านนี้ก็เรียกท่านหญิงไฉว่าซิ่งเอ๋อร์อย่างไม่คาดคิด
ไฉซิ่งเอ๋อร์สูดหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะพยักหน้าให้สวี่ชีอันและกล่าวอย่างสุภาพด้วยน้ำเสียงอันเย็นยะเยือก “ผู้อาวุโสคงเหนื่อยจากการเดินทางแล้ว เชิญเข้าไปด้านในเจ้าค่ะ”
หากไม่ได้รู้สึกอะไรจริงๆ ตอนนี้นางก็ควรจะไล่พวกเราไปแล้ว เฮ้อ นางเป็นปลาอีกตัวที่ถูกผู้ชายเฮงซวยคนนี้เขมือบเข้าให้อีกแล้ว…สวี่ชีอันยกกำปั้นขึ้นมาเป็นการขอบคุณ ก่อนจะจูงแม่ม้าน้อยเข้าไปในจวน
หลังจากมอบแม่ม้าน้อยให้กับทาสรับใช้ในจวนตระกูลไฉเพื่อจัดหาที่ที่เหมาะสมให้มันแล้ว ทั้งสามก็เดินตามไฉซิ่งเอ๋อร์เข้าไปในห้องโถงใหญ่
“ซิ่งเอ๋อร์ ไฉเสียนฆ่าผู้นำตระกูลไฉจริงๆ รึ?” เมื่อไฉซิ่งเอ๋อร์เปิดทางให้แล้ว หลี่หลิงซู่ก็อดที่จะถามไม่ได้ “ไม่น่าจะเป็นเช่นนั้นกระมัง ไฉเสียนมีนิสัยอ่อนโยน ไม่ใช่คนเนรคุณ เรื่องนี้ต้องเกิดความเข้าใจผิดเป็นแน่”
“เข้าใจผิดรึ?”
รอยยิ้มเย็นชาปรากฏขึ้นบนใบหน้าขาวนวลของไฉซิ่งเอ๋อร์ “เรื่องนี้ข้าเห็นด้วยตาข้าเอง ทุกคนในตระกูลไฉก็ล้วนเห็นด้วยตาตนเอง แล้วจะเป็นเท็จได้อย่างไร”
หลี่หลิงซู่กล่าวด้วยความลังเลว่า “หรือว่ามีคนปลอมตัวมางั้นรึ?”
ไฉซิ่งเอ๋อร์ส่ายศีรษะ “วิชาปลอมตัวไม่สามารถเล็ดลอดจากสายตาข้าไปได้ นอกจากนี้ นิสัย ภูมิหลัง สิ่งของที่พกติดตัว และวิธีการควบคุมซากศพ ทั้งหมดล้วนเป็นหลักฐาน รูปลักษณ์สามารถเปลี่ยนได้ แต่สิ่งเหล่านี้เปลี่ยนไม่ได้”
หลี่หลิงซู่พูดไม่ออก เขาขมวดคิ้วครู่หนึ่ง ก่อนจะถามสิ่งที่ตนเองสงสัยมาโดยตลอด “แต่ทำไมเขาถึงต้องทำเรื่องที่ไร้มโนธรรมเช่นนี้?”
ไฉซิ่งเอ๋อร์กล่าวว่า “เพราะพี่ใหญ่วางแผนให้เสี่ยวหลานแต่งงานกับตระกูลหวงฝู่ อย่างที่เจ้ารู้ เสี่ยวหลานและไฉเสียนชอบพอกันมาตั้งแต่ยังเด็ก เขาชื่นชมเสี่ยวหลานมาโดยตลอด หลังจากรู้เรื่องนี้ เขาก็ขอร้องให้พี่ใหญ่ถอนการตัดสินใจอยู่หลายครั้ง และยังแสดงเจตจำนงว่าต้องการแต่งงานกับเสี่ยวหลานอีก ถึงแม้ไฉเสียนจะมีพรสวรรค์ที่ดี แต่พี่ใหญ่คิดว่าการให้เสี่ยวหลานแต่งงานกับเขาเป็นเรื่องที่ไม่จำเป็นและยังไม่ค่อยมีประโยชน์ต่อตระกูลไฉมากนัก ทว่าหากเป็นทองแผ่นเดียวกับตระกูลหวงฝู่ ทั้งสองฝ่ายก็จะผูกพันเป็นพันธมิตร ซึ่งมีประโยชน์ต่อความก้าวหน้าของตระกูลไฉมากกว่า”
ไฉซิ่งเอ๋อร์เป็นน้องสาวของผู้นำตระกูลไฉ สามีคนก่อนของนางคือลูกเขยที่แต่งเข้ามาในตระกูล
ฟังถึงตรงนี้ หลี่หลิงซู่ก็ขมวดคิ้วแน่นขึ้น “เสี่ยวหลานไม่ได้รักเขา นางเพียงแค่ปฏิบัติต่อเขาในฐานะพี่ชาย จริงสิ แล้วเสี่ยวหลานล่ะ?”
เมื่อไฉซิ่งเอ๋อร์ได้ยินเช่นนั้น สีหน้าของนางก็โศกเศร้าขึ้นมาทันที “เสี่ยวหลานถูกลักพาตัวไปแล้ว”
ภายใต้คำถามของหลี่หลิงซู่ นางอธิบายอย่างชัดเจนและฉะฉานว่า วันที่เกิดเรื่อง การต่อสู้อันน่าสะพรึงกลัวปลุกทุกคนในจวนให้ตื่นขึ้น ทุกคนรีบไปที่ห้องของท่านผู้นำ ก่อนจะพบว่าท่านผู้นำถูกฆ่าตายแล้ว ซึ่งฆาตกรก็คือบุตรบุญธรรมไฉเสียน
เมื่อไฉเสียนเห็นว่าเรื่องราวถูกเปิดโปงแล้ว เขาก็เกิดคลุ้มคลั่งขึ้นมาอย่างหนัก ควบคุมศพเหล็กทั้งสี่ร่าง ฆ่าทุกคนที่ขวางหน้าก่อนจะเผ่นหนีไป
“หลังจากเกิดเรื่องข้าถึงพบว่าเสี่ยวหลานไม่ได้อยู่ในห้องแล้ว กว่าครึ่งเดือนที่ผ่านมา ข้าส่งคนออกไปตามหานางทุกหนทุกแห่ง แต่สุดท้ายก็ยังไม่พบที่อยู่ของนาง” สีหน้าของไฉซิ่งเอ๋อร์เต็มไปด้วยความกังวล
หลี่หลิงซู่ถามว่า “ซิ่งเอ๋อร์ เจ้าไม่รู้สึกว่าเรื่องนี้มีอะไรที่ไม่สมเหตุสมผลรึ?”
ไฉซิ่งเอ๋อร์กล่าวเสียงเบาว่า “ตอนที่เขาหนีออกไปจากจวนตระกูลไฉวันนั้น ข้าก็พยายามขัดขวางเขา สิ่งที่ไม่สมเหตุสมผลที่สุดคือฐานการฝึกตนของไฉเสียนที่ก้าวกระโดดอย่างไม่มีที่มาที่ไป ตอนนี้เขาไม่ได้ด้อยกว่าข้าอีกต่อไปแล้ว
“แต่เจ้าคงรู้ว่าวิธีการควบคุมซากศพของตระกูลไฉเกิดจากวิชาซือกู่ของเผ่ากู่ นอกจากเจ้าตัวแล้ว คนนอกล้วนควบคุมได้ยาก”
หลี่หลิงซู่ตกอยู่ในความสับสนอย่างหนัก เขารู้สึกโดยสัญชาตญาณว่าเรื่องนี้มีหลายอย่างที่ไม่สมเหตุสมผล แต่ก็ไม่สามารถสรุปได้ ยิ่งไปกว่านั้น เขาไม่รู้ว่าควรจะตรวจสอบอย่างไร
ไฉซิ่งเอ๋อร์เห็นเขาขมวดคิ้วครุ่นคิด ก็กล่าวด้วยความเย็นชาว่า “เจ้าคิดว่าไฉเสียนถูกปรักปรำ ก็เลยอยากสืบคดีนี้และคืนความบริสุทธิ์ให้เขารึ?”
หลี่หลิงซู่ส่ายศีรษะกล่าวว่า “คืนความจริงให้กับตระกูลไฉต่างหาก ในเมื่อข้ามาแล้ว ก็ต้องช่วยเจ้าจัดการเรื่องนี้อย่างแน่นอน”
ไฉซิ่งเอ๋อร์มองเขาอย่างเย็นชา “เช่นนั้นเจ้ามีเบาะแสอะไร?”
หลี่หลิงซู่พูดไม่ออกชั่วขณะ พลางส่ายศีรษะ
หญิงวัยแต่งงานที่งดงามราวกับดอกไม้มีกลิ่นหอมยิ้มเย้ยหยัน “เจ้าคิดว่าตนเองเป็นฆ้องเงินสวี่ที่เชี่ยวชาญในการไขคดีแปลกๆ งั้นรึ?”
หลี่หลิงซู่ยิ้มด้วยความขมขื่นและกล่าวว่า “ซิ่งเอ๋อร์ เหตุใดเจ้าต้องประชดประชันเช่นนี้ ข้ารู้ว่าเจ้าเกลียดข้าที่ข้าจากไปโดยไม่ลา…”
‘ก๊อก ก๊อก’
เวลานี้เอง เสียงเคาะโต๊ะก็ดังขึ้นขัดจังหวะคู่รักที่กำลังไม่พอใจกัน ไฉซิ่งเอ๋อร์เลิกเรียวคิ้วงามขึ้น พลางหันไปมองชายชุดดำ
สวี่ชีอันกล่าวช้าๆ ว่า “มีบางเรื่องที่ข้าอยากจะถามสาวน้อยสักหน่อย”
สาวน้อย…ไฉซิ่งเอ๋อร์เลิกคิ้วขึ้นด้วยความตกตะลึงไอรีนโนเวล
“ตัวตนของเขาค่อนข้างพิเศษ เมื่ออยู่ต่อหน้าเขา บรรพบุรุษต้นสกุลไฉล้วนเคารพเลื่อมใสเขามาก” หลี่หลิงซู่เกรงว่าคนสนิทจะขัดแย้งกับสวีเชียน และทำให้ตาแก่นี่ขุ่นเคืองใจ เขาจึงรีบกล่าวอธิบายอย่างรวดเร็ว
ไฉซิ่งเอ๋อร์รู้ว่าถ้าจะมี ‘อายุยืน’ ต้องทำอย่างไร รูปลักษณ์อันงดงามเปลี่ยนไปเล็กน้อย ท่าทีของนางพลันแข็งทื่อทันที กล่าวด้วยความนุ่มนวลว่า “เชิญท่านอาวุโสพูดเถิด”
“ผู้นำตระกูลไฉเจี้ยนหยวนปฏิบัติกับไฉเสียนอย่างไร? แล้วไฉเสียนมีนิสัยอย่างไร?” สวี่ชีอันถาม
ไฉซิ่งเอ๋อร์ตอบว่า “ไฉเสียนเป็นเด็กกำพร้าตั้งแต่เด็ก เขาถูกรังแกบ่อยมาก พี่ใหญ่เห็นเขาน่าสงสาร จึงรับเขามาเลี้ยงในฐานะบุตรบุญธรรม พี่ใหญ่ไม่เพียงแต่เลี้ยงดูจนเขาเติบโต แต่ยังสอนวิธีการควบคุมซากศพ สอนการฝึกตน และสอนวิทยายุทธให้เขา หากจะพูดว่าพี่ใหญ่มีบุญคุณอันใหญ่หลวงดุจภูเขาก็ยังมิเกินจริง
“ส่วนไฉเสียน หากไม่ใช่เพราะมีคดีนองเลือดนี้เกิดขึ้น ทุกคนก็ยังคงโง่ และคิดว่าเขาเป็นคนกตัญญูและซื่อสัตย์”
สวี่ชีอันพยักหน้า “นั่นก็คือ ผู้นำตระกูลไฉมีบุญคุณกับเขามาก แต่นิสัยของเขาก่อนหน้านี้ก็ไม่เหมือนคนเนรคุณ เช่นนั้น ถึงแม้เขาจะโกรธจริงๆ และไม่มีทางปลงใจยอมให้คุณหนูตระกูลไฉแต่งงานกับคนอื่น จะเป็นตัวเลือกที่ดีกว่าหรือไม่ หากเขาลักพาตัวคุณหนูตระกูลไฉและพานางหนีไปให้ไกลเสีย?”
‘ใช่ เป็นเช่นนี้แหละ’…หลี่หลิงซู่ปรบมืออย่างแรง นี่คือเหตุผลที่เขารู้สึกว่าทำไมมีหลายสิ่งที่ไม่สมเหตุสมผลเกี่ยวกับเรื่องนี้
ไฉซิ่งเอ๋อร์ขมวดคิ้วครุ่นคิด และกล่าวว่า “ที่ผู้อาวุโสพูดมาก็มีเหตุผล แต่วันนั้นข้าต่อสู้กับเขาด้วยตัวเอง ยืนยันได้ว่าไฉเสียนเป็นตัวของตัวเอง คนหลายคนในจวนก็สามารถเป็นพยานได้ ศพเหล็กเหล่านั้นก็เป็นของเขาจริงๆ”
มีพยานบุคคลด้วยสินะ…สวี่ชีอันกล่าววิเคราะห์ว่า “ซือกู่เป็นสิ่งที่สามารถรวมเข้ากับสิ่งอื่นได้ทั้งหมด ปรมาจารย์ซือกู่ที่ทรงพลังสามารถปล่อยจื่อกู่และเข้าบังคับควบคุมผู้อื่นราวกับหุ่นเชิดได้ หากมีคนปลอมตัวเป็นไฉเสียนและบังคับควบคุมศพเหล็กของเขาล่ะ”
หลี่หลิงซู่กล่าวอย่างครุ่นคิด “ด้วยเหตุนี้ ฐานการฝึกตนของเขาจึงพัฒนาขึ้นอย่างก้าวกระโดด ที่แท้เขาก็ไม่ได้เป็นตัวของตัวเองหรอกรึ?”
ไฉซิ่งเอ๋อร์ส่ายศีรษะ “ไม่ใช่ หากมีใครปลอมตัวเป็นเขาจริงๆ ก็ไม่ควรเปิดเผยความสามารถถึงจะถูก ยิ่งไปกว่านั้น ผู้แข็งแกร่งที่มีคุณสมบัติตรงตามเงื่อนไขก็มีอยู่น้อยนิด แล้วแรงจูงใจของคนผู้นั้นคืออะไร? เพียงเพราะต้องการตำหนิไฉเสียนรึ?”
สวี่ชีอันมองนางด้วยความลึกซึ้ง พลางกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “เรื่องนี้ต้องตรวจสอบให้ละเอียด แน่นอนว่าหากจับเป็นไฉเสียนได้ ทุกอย่างก็จะยิ่งง่ายขึ้น”
…
เมืองหลวง สำนักโหราจารย์
หยางเชียนฮ่วนยืนอยู่ริมหน้าต่างที่ชั้นสองของห้องโถงใหญ่ โดยหันหน้าไปทางหน้าต่าง และหันหลังให้กับทุกคน
ด้านหลังเขามีโหรกว่ายี่สิบคน พวกเขาทั้งหมดล้วนเป็นฝ่ายเดียวกับหยางเชียนฮ่วน ซึ่งเหล่าสหายร่วมงานภายในสำนักโหราจารย์เรียกว่า ‘พรรคสมองส่วนหลัง’
เห็นได้ชัดว่าเป็นชื่อที่ไม่สุภาพและมีอารมณ์เหน็บแนมอยู่ในนั้น
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง