บทที่ 537 นิสัยเสีย
มู่หนานจือสีหน้าเปลี่ยนเล็กน้อย อีกทั้งการตอบสนองยังรุนแรงกว่าสวี่ชีอันเสียอีก “ภิกษุน่ารังเกียจมาถึงที่นี่เชียวหรือ?”
สวี่ชีอันขมวดคิ้ว ถาม “เกิดอะไรขึ้น”
ช่วงที่กล่าว สายตาของเขามองไปทางปากประตูหลังสวนดอกไม้ ทันทีที่เห็นร่างของภิกษุหัวโล้น ก็เริ่มเข้าสู่โหมดการต่อสู้ทันที
“ข้าเพิ่งเข้าร่วมสังเกตการณ์ พวกเขามาเพราะชุมนุมมือสังหารมาร จิ้งซินและคนอื่นๆ ที่เดินทางผ่านเซียงโจว ได้ยินว่าไฉเสียนฆ่าบิดาอย่างชั่วช้า จึงตั้งใจมาเพื่อสอบถามสถานการณ์โดยเฉพาะ และวางแผนที่จะแทรกแซงในเรื่องนี้ หึ เหล่าภิกษุสำนักพุทธมักชอบกระทำการเป็นวีรบุรุษที่กล้าหาญ เพื่อแสดงถึงความเมตตาของสำนักพุทธเช่นนี้แหละ”
หลี่หลิงซู่หัวเราะเย้ยหยัน
สายตาของเขาจับจ้องไปที่กระปุกตำสมุนไพรอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ หายใจเข้าลึกๆ จากนั้นก้าวถอยหลังอย่างไม่ลังเล
พิษ!
ถึงอย่างนั้นฐานการฝึกตนของเขาก็อยู่ในขั้นสี่ ดังนั้นพิษจึงไม่สามารถส่งผลกระทบต่อเขาได้
หากสิ่งที่เขาคาดเดาไม่ผิดพลาด ชายท่าทางประหลาดคนนี้คงเป็นทหาร แล้วเปลี่ยนไปบำเพ็ญวิชากู่กลางคัน เขาคิดจะทำอะไรกันแน่? บำเพ็ญระบบทหารคู่กับระบบกู่หรือ…หลี่หลิงซู่คาดเดาอย่างลับๆ
ความจริงแล้วการบำเพ็ญเช่นนี้ถือว่าค่อนข้างปกติ
ยอดฝีมือระบบเดี่ยวจำนวนมากเดินไปสู่จุดที่ยากลำบากเหมือนคอขวด ท้ายที่สุดเมื่อไม่สามารถทะลวงได้ จึงมักจะลองบำเพ็ญระบบอื่นๆ ควบคู่
แต่เป็นเรื่องยากที่จะพบในขั้นสามลงมา ถึงอย่างไรพลังงานและพรสวรรค์ของมนุษย์ก็มีจำกัด ชีวิตหนึ่งร้อยปีผ่านไปอย่างรวดเร็ว บำเพ็ญแค่ระบบเดียวก็เป็นเรื่องยากมากแล้ว
แต่ในบรรดายอดฝีมือในระดับที่เหนือกว่าสามัญ ‘บำเพ็ญระบบคู่’ ค่อนข้างพบเจอได้บ่อยครั้ง หลังจากบรรลุขั้นสามแล้วอายุขัยจะยืนยาว มีเวลา พลัง เพื่อสร้างเส้นทางอื่น และแสวงหาความก้าวหน้า
ระบบคู่โดยปกติจะเป็นกู่และทหาร ลัทธิเต๋าและทหาร พ่อมดและทหาร ขงจื๊อและทหาร..เหตุผลง่ายมาก ระบบบำเพ็ญของทหารเป็นของทรัพยากรสาธารณะ และง่ายต่อการฝึกฝนจนสำเร็จ
ทว่ารูปแบบบำเพ็ญของระบบอื่นๆ ขั้นกลางและขั้นต่ำนั้นก็ไม่เลว ตั้งแต่ขั้นสี่ขึ้นไป โดยทั่วไปจะไม่เผยแพร่สู่โลกภายนอก
“ดูเหมือนว่า จวนสกุลไฉคงรอช้าไม่ได้แล้ว”
คำกล่าวของสวี่ชีอัน ขัดจังหวะอารมณ์ความคิดที่กระจัดกระจายของหลี่หลิงซู่
ภิกษุสำนักพุทธน่าจะมาตามหาข้า ยึดเจดีย์พุทธะกลับคืน และถือโอกาสแย่งชิงเส้นเลือดมังกรไปด้วย หากเดาไม่ผิด ระดับเพชรคงอยู่ในขบวนนี้ด้วย แม้ข้าไม่หวั่นเกรงขั้นสี่ แต่ระดับเพชรขั้นสามก็สามารถทุบข้าได้…
เหอะ โชคชะตาช่างเล่นตลกเสียจริง คาดไม่ถึงว่าจะมาเจอพวกเขาที่เซียงโจว เมื่อคิดดูแล้ว ข้าคงไม่สะดวกข้าไปยุ่งเรื่องของตระกูลไฉแล้ว อย่างน้อยก็ไม่สามารถเข้าร่วมอย่างโจ่งแจ้งได้…
เมื่อคิดถึงจุดนี้ สวี่ชีอันก็ตัดสินใจ “พวกเราต้องออกจากจวนสกุลไฉเดี๋ยวนี้ เทพบุตรในฐานะที่เจ้าเป็นผู้สอดแนม เช่นนั้นจงอยู่ที่จวนสกุลไฉ คอยสืบข้อมูลให้แก่พวกเราเสีย”
หลี่หลิงซู่หน้าถอดสี “ให้ข้าอยู่ที่นี่? หากถูกภิกษุและสำนักพุทธจำได้เล่า ข้าคงล่วงลับคาที่แน่”
หลังสวี่ชีอันดื่มยาพิษช้อนสุดท้ายเสร็จ ก็กล่าวกลั้วหัวเราะ “ไฉซิ่งเอ๋อร์ทราบฐานะที่เจ้าเป็นเทพบุตรแห่งนิกายสวรรค์หรือไม่?”
หลี่หลิงซู่ส่ายหน้า “ข้าไม่ได้เปิดเผยให้นางรู้”
“เมื่อครู่ที่เจ้าไปสังเกตการณ์การณ์ จิ้งซินจำเจ้าได้หรือไม่?”
หลี่หลิงซู่ยังคงส่ายหน้า
“ดีมาก!”
สวี่ชีอันพยักหน้า “เหวินเหรินเชี่ยนโหรวนำฐานะของเจ้าไปเปิดเผยแก่สำนักพุทธแล้ว จากที่พวกเราปรึกษากันล่วงหน้า เหตุผลทั้งหลายนี้จะไม่ส่งผลกระทบต่อนาง ในเมื่อไฉซิ่งเอ๋อร์ไม่ทราบฐานะของเจ้า เช่นนั้นเจ้าเพียงทำให้นางปกปิดชื่อที่แท้จริงของเจ้าก็ได้แล้ว”
“ในเหลยโจว เจ้าเป็นเพียงผู้สังเกตการณ์ จิ้งซินไม่ได้สังเกตเห็นเจ้าตั้งแต่แรก อีกทั้งตอนนั้นเจ้ามีการปลอมตัว บัดนี้เจ้ากลับมาใช้ใบหน้าที่แท้จริง คนของสำนักพุทธไม่อาจจดจำได้”
หลี่หลิงซู่ยังคงรู้สึกไม่มั่นใจพอ กล่าวอย่างลังเล “ก็จริงอยู่ แต่…”
สวี่ชีอันโบกมือ “เจ้าอยากจะสืบคดีของไฉเสียนมิใช่หรือ เช่นนั้นเจ้าต้องจับตามองไฉซิ่งเอ๋อร์ให้มาก”
เทพบุตรสีหน้าเปลี่ยนทันที พลางจ้องเขาเขม็ง “ท่านหมายความว่าอย่างไร?”
“ก่อนหน้านี้เจ้าก็อยู่ในที่เกิดเหตุ ข้าถามเจ้าแล้ว หากมีคนที่เชี่ยวชาญด้านการควบคุมซากศพจริง และมีแรงจูงใจมากพอที่จะกล่าวโทษไฉเสียน คนผู้นั้นจะเป็นใครไปได้?”
ไม่รอให้เทพบุตรได้ตอบ สวี่ชีอันก็กล่าวต่อ
“แน่นอนว่าเป็นเพื่อนตัวน้อยของเจ้าแน่ หัวหน้าตระกูลไฉเสียชีวิตแล้ว ทั้งตระกูลก็ตกเป็นของนาง ทว่าตบะของไฉเสียนไม่ได้อ่อนแอ อีกทั้งมีพรสวรรค์ บุคลิกหรือก็ดีเลิศ คนเช่นนี้ต้องมีบารมีแน่นอน สำหรับนางแล้ว ฐานะของเขาค่อนข้างคุกคามสถานะของนาง”
“ดังนั้นแผนการใส่ร้ายที่ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว จึงเป็นวิธีการที่ดีเยี่ยม”
หลี่หลิงซู่ส่ายหน้าด้วยสีหน้าที่จริงจัง “ซิ่งเอ๋อร์ไม่ทำแบบนี้แน่”
สวี่ชีอันตบบ่าเขา “เช่นนั้นก็อยู่ที่นี่และจับตามองนางให้ดี”
…
หลี่หลิงซู่เดินไปมาอยู่ในห้องโถงใหญ่ ไฉซิ่งเอ๋อร์กำลังต้อนรับจิ้งซินและจิ้งหยวนอยู่ นอกจากสองคนนี้ ภายในห้องยังมีภิกษุอีกสามรูป
“อมิตตาพุทธ คนชั่วร้ายเช่นนี้ ปล่อยเอาไว้จะเป็นหายนะ แต่ประสกไฉโปรดวางใจ อาตมาจะให้การช่วยเหลือตระกูลไฉ กำจัดหายนะนี้เอง”
ฉานซือจิ้งซินประสานมือเข้าหากัน
“ขอบคุณไต้ซือมาก”
ไฉซิ่งเอ๋อร์พนมมือทั้งสิบเพื่อทำความเคารพ
จิ้งซินหัวเราะ จากนั้นสายตาของเขาก็ตกไปอยู่ที่หลี่หลิงซู่ กล่าว “ประสก ท่านนี้คือ…”
หลี่หลิงซู่แย่งเอ่ยปากก่อนไฉซิ่งเอ๋อร์ ส่งส่งสัญญาณเสียงกล่าว “อย่าเรียกชื่อของข้า”
ไฉซิ่งเอ๋อร์ยิ้มเย็น “เขาคือเพื่อนเก่าของข้า ได้ยินว่าภายในครอบครัวเกิดเรื่อง จึงตั้งใจมาเยี่ยมเยียน”
จิ้งซินและภิกษุพยักหน้า
ไฉซิ่งเอ๋อร์กล่าวต่อ “ไต้ซือทั้งหลายเดินทางมาจากเขตตะวันตก ไม่สู้พักอยู่ในจวนนี้ ดีกว่าพักในโรงเตี๊ยม”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง