ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง นิยาย บท 539

บทที่ 539 ไฉเสียน

‘ฝันไปรึ?’

มู่หนานจือมองเขาด้วยสายตาระแวดระวัง หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง เมื่อเห็นว่าไม่มีเรื่องร้ายเกิดขึ้น นางก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกทันที

“ไอ้คนเลว…”

นางเอื้อมมือออกไปข่วนหนังศีรษะสวี่ชีอันแล้วก็รู้สึกสดชื่นขึ้นชั่วขณะ

พระมเหสีระบายความไม่พอใจอย่างเงียบๆ ที่ถูกเมินเฉยตลอดทั้งทาง แม้ว่าผู้ชายคนนี้จะค่อนข้างดีกับนาง นอกจากต้องนอนค้างบนภูเขาอันแห้งแล้งเป็นครั้งคราวแล้ว ส่วนใหญ่นางก็จะได้อยู่ในโรงเตี๊ยมที่ดีที่สุด กินอาหารเลิศรสที่สุด

แต่ก็ดูจะเคารพซึ่งกันและกันมากไปหน่อยกระมัง

นอกจากครั้งนั้นที่ซุนเสวียนจีทำ ‘เลยเถิด’ ไปเล็กน้อย ปกติเขาก็มักจะกุมมือเล็กๆ ของนาง ต่อให้ข้าจะเปลี่ยนโฉมหน้า แต่ก็ยังเป็นหญิงงามอันดับหนึ่งแห่งต้าฟ่ง ข้าไม่มีแรงดึงดูดขนาดนั้นเชียวรึ?

“เจ้าตีฆ้องเงินสวี่!”

จิ้งจอกน้อยสีขาวที่อยู่บนเตียงโผล่ศีรษะน้อยๆ ออกมา ดวงตาสีดำแป๋วที่จ้องมองมู่หนานจือราวกับเด็กน้อยที่ค้นพบความลับอันยิ่งใหญ่ และกระซิบว่า “ข้าจะบอกเขา!”

มู่หนานจือกลอกตาและกล่าวว่า “เจ้าก็มาตีเขาสักทีสิ ไม่เป็นไรหรอก ข้าจะไม่พูด”

จิ้งจอกน้อยเอียงศีรษะครุ่นคิดครู่หนึ่งและกล่าวว่า “ตกลง!”

มันคลานออกมาจากผ้าห่มอันอบอุ่นอย่างคล่องแคล่ว จากนั้นก็กระโดดลงจากเตียงมายังโต๊ะข้างเตียง และพุ่งตัวกระโดดขึ้นไป

“ไอหยา!”

มันไม่สามารถกระโดดขึ้นไปได้ หน้าท้องของมันชนเข้ากับขอบเตียงอย่างแรง

“อ่อนหัดจริงๆ นี่หรือที่บอกว่าเดินทางได้วันละหลายพันลี้?”

มู่หนานจื่อมุ่ยปากและอุ้มมันขึ้นไปบนเตียง

“การแทรกซึมและระดับความเร็วเป็นความสามารถตามธรรมชาติของข้า แต่นี่มันใช้พลังมากเกินไป ข้ายังเล็ก พละกำลังก็ยังอ่อนแอมาก”

ในขณะที่กล่าว มันก็คลานไปที่ร่างของสวี่ชีอัน อุ้งเท้าด้านหน้าทั้งซ้ายและขวาตบหูของเขาเบาๆ พลางกล่าวตำหนิว่า “ปล่อยให้เจ้านอน พี่เย่จีจะไม่ให้เงิน ปล่อยให้เจ้านอน พี่เย่จีจะไม่ให้เงิน”

รอจนมันตีเสร็จ มู่หนานจือก็ยิ้มตาหยีและอุ้มจิ้งจอกน้อยขึ้นมา กล่าวว่า “ไหนบอกข้าซิสิว่านอนแล้วพี่เย่จีจะไม่ให้เงินหมายความว่าอะไร?”

นางรู้เพียงว่าเย่จีคือพี่สาวของจิ้งจอกน้อย และเป็นคนรักเก่าของสวี่ชีอัน

ในอุโมงค์ใต้ดิน สวี่ชีอันที่ราวกับได้กลับบ้าน กำลังทนต่อกลิ่นเหม็นฉุนด้วยความสุขที่แฝงไปด้วยความทุกข์

เขาเดินย่องตามซากศพที่ไม่ได้สวมผ้าคลุมศีรษะ จนกระทั่งเห็นซากศพเดินได้ตนนั้น ‘เขา’ เปิดผ้าคลุมศีรษะของศพอื่นๆ ออกอย่างต่อเนื่อง ราวกับกำลังหาอะไรบางอย่าง

เขาเป็นใคร? กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ คนที่ควบคุมเขาอยู่เบื้องหลังเป็นใคร?

ด้วยความรู้สึกสงสัยเช่นนี้ สวี่ชีอันยังคงอดทนต่อไปและรออย่างเงียบๆ

เวลาผ่านไปทีละน้อย ตอนนี้ผ่านไปกว่าสามสิบนาทีแล้ว เขาตรวจสอบซากศพทั้งหมดอย่างละเอียด หลังจากนั้นก็เข้าไปในประตูเล็กบานหนึ่ง

ห้องลับในในอุโมงค์ใต้ดินรึ?

ตะเกียงน้ำมันบนผนังส่องแสงสีเหลืองจางๆ ในขณะที่สวี่ชีอันกำลังพิจารณาว่าจะเข้าไปดีหรือไม่ ซากศพเดินได้ก็ออกมาก่อนแล้ว เขาปิดประตูเบาๆ และหมุนตัวเดินกลับไปตามทางเดิม

เขาจะไปแล้ว…แมวส้มรีบถอยออกไปโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย

มันรีบกระโดดออกจากจวนหลังเล็กก่อนที่ศพเดินได้จะออกมาจากอุโมงค์ใต้ดิน และซ่อนตัวอยู่ใกล้กับพุ่มไม้สีเขียวที่นอกลานบ้านอย่างมิดชิด

หลังจากนั้นไม่นาน ร่างสีดำแข็งทื่อก็ผุดขึ้นที่ลานบ้าน พร้อมกับเสียงบางอย่างกระแทกพื้นดัง ‘เพล้ง’

หลังจากนั้น ‘เขา’ ก็แอบแทรกซึมเข้าไปยังที่พักของไฉซิ่งเอ๋อร์อย่างเงียบๆ หลังจากได้ยินการเคลื่อนไหวที่วนไปวนมาในจวน เขาก็จากไปโดยไม่อาลัยอาวรณ์แม้แต่น้อย

บุคคลนี้คุ้นเคยกับจวนตระกูลไฉเป็นอย่างดี เขาหลีกเลี่ยงการลาดตระเวนยามได้อย่างชาญฉลาด และไปจากจวนตระกูลไฉได้อย่างราบรื่นตลอดทั้งทาง

ในระหว่างขั้นตอนนี้ สวี่ชีอันก็เดินตามด้านหลัง ‘เขา’ โดยตลอด

ในค่ำคืนอันหนาวเหน็บ ความเร็วของซากศพนั้นรวดเร็วมาก เขาเคลื่อนที่ไปตามถนนและตรอกซอกซอย หลบเลี่ยงทหารที่ลาดตระเวนตามท้องถนน นี่ไม่ใช่เรื่องยากอะไรนัก เพราะรัฐเล็กๆ อย่างเซียงโจวมีกำลังการลาดตระเวนค่อนข้างจำกัด จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะเข้มงวดเหมือนเมืองหลวง

อย่างไรก็ตาม เนื่องจากข่าวที่ไฉเสียนฆ่าคนไปทั่วเมื่อเร็วๆ นี้ ทำให้ราชสำนักเพิ่มกำลังลาดตระเวนในตอนกลางคืนมากขึ้น ประตูเมืองก็จะปิดหลังจากเวลาพลบค่ำ

แมวส้มเดินตามซากศพไปติดๆ จนมาถึงแม่น้ำเล็กๆ สายหนึ่งในที่สุด

‘ตู้ม…’

น้ำกระเซ็นออกเป็นวงกว้าง ซากศพเดินได้กระโดดลงไปในแม่น้ำโดยตรงและหายไปอย่างรวดเร็ว

เขาเห็นข้ารึ? ไม่สิ ซากศพที่ถูกควบคุมไม่มีการดำรงอยู่ของวิญญาณ เว้นแต่ว่าร่างของซากศพนี้จะอยู่ในขั้นหลอมวิญญาณ แต่หากเป็นเช่นนั้น เขาก็น่าจะเห็นข้าตั้งนานแล้วถึงจะสมเหตุสมผล…

แมวส้มเดินไปตามแม่น้ำและมองไปยังกำแพงเมืองอันสูงตระหง่านในระยะไกล ทันใดนั้นก็เข้าใจเจตนาของอีกฝ่ายโดยพลัน

‘เขา’ ตั้งใจดำลงไปในแม่น้ำเพื่อใช้เป็นเส้นทางในการออกไปนอกเมือง

แมวส้มวิ่งไปตามริมแม่น้ำอย่างรวดเร็ว เมื่อเข้าใกล้กำแพงเมืองแล้วก็กระโดดลงไปในแม่น้ำทันที

เหตุผลทั้งหมดที่ทำเช่นนี้ก็เพราะความแข็งแรงทางกายภาพของแมวไม่เพียงพอที่จะว่ายน้ำได้หลายร้อยเมตร และยังต้องพิจารณาถึงผลที่ตามมาด้วย

น้ำในแม่น้ำเย็นจัดและขุ่นมัว ทำให้ยากต่อการมองเห็น แมวส้มเคลื่อนไหวแขนขาทั้งสี่ไปที่ใต้น้ำ พาตัวเองผ่านกำแพงเมืองไปอย่างราบรื่น และปรากฏตัวที่นอกเมือง

ระลอกคลื่นกระทบกันบนผืนน้ำอันมืดมิด แมวส้มโต้กระแสน้ำอันหนักหน่วงจนมาถึงริมฝั่งแม่น้ำ

โดยทั่วไปแล้ว ร่องน้ำผ่านเมืองเช่นนี้จะมีการติดตั้งตาข่ายเหล็กไว้ด้านล่าง แต่ก็ไม่แน่ อย่างไรผู้คนในยุคนี้ก็มีแนวคิดเรื่องสุขอนามัยที่แย่มาก ไม่ว่าอะไรก็จะทิ้งลงแม่น้ำทั้งหมด ทำให้เกิดการอุดตันได้ง่าย

ด้วยเหตุนี้ จะติดตั้งตาข่ายเหล็กหรือไม่ ทั้งหมดก็ขึ้นอยู่กับจิตสำนึกของฝ่ายราชการในท้องถิ่น

หลังจากขึ้นมาบนฝั่งแล้ว แมวส้มก็เงยหน้าขึ้นเล็กน้อย กระตุกจมูกดม ได้กลิ่นราวกับซากศพจางๆ

มันพุ่งตัววิ่งออกไปราวกับลูกธนูที่แหลมคม ไม่นาน ก็เห็นร่างของศพเดินได้ปรากฏตัวอยู่ภายใต้แสงจันทร์สลัว

‘คน’ หนึ่งคนและแมวหนึ่งตัวรักษาระยะห่างที่ค่อนข้างปลอดภัยระหว่างกัน ในระหว่างที่เดินไปได้หนึ่งชั่วยาม สวี่ชีอันก็หยุดพักเพื่อเติมพลังอยู่หลายครั้ง

ลักษณะพิเศษของแมวคือความเร็ว แต่ความทรหดค่อนข้างต่ำ

การเดินทางระยะไกลครั้งนี้ทำให้ร่างกายของแมวส้มอ่อนล้าลงอย่างมาก

หากเปลี่ยนเป็นสุนัข สวี่ชีอันคิดว่าคงไม่มีปัญหาในการติดตามเขาไปยังถิ่นทุรกันดาร

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง