ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง นิยาย บท 540

บทที่ 540 ผู้ต้องสงสัย

ไฉเสียนไม่ได้ตอบในทันที เล่นสำบัดสำนวนว่า

“พ่อแม่เสียชีวิตตั้งแต่ข้ายังเด็ก ไม่มีที่พึ่ง เป็นขอทานหาเลี้ยงชีพอยู่ในเซียงโจว ต่อมาพ่อบุญธรรมรับข้าไปเลี้ยงดู เขาดีต่อข้ามาก กระทั่งให้ความสำคัญมากกว่าลูกชายตัวเองเสียอีก ดังนั้น พี่น้องทั้งสามคนจึงต่างรังเกียจรังงอนข้า เกลียดชังข้า”

“มีเพียงเสี่ยวหลานคนเดียวที่จริงใจต่อข้า ไม่เคยดูถูกข้าเนื่องจากอดีตของข้า…”

เมื่อพูดถึงตรงนี้ ไฉเสียนก็เหม่อลอยไปครู่หนึ่ง ราวกับย้อนกลับไปเมื่อหลายปีก่อน ในวันที่อากาศร้อนระอุ ขอทานที่สกปรกและเหม็นไปทั้งตัวถูกนำตัวกลับไปที่จวนสกุลไฉ เด็กสาวที่ซ่อนอยู่หลังฉากกั้นยื่นศีรษะออกมา แอบพินิจพิเคราะห์อยู่เงียบๆ ทั้งสองสบตากัน เขาก้มหน้าลงด้วยรู้สึกดูถูกตัวเอง

รอยยิ้มของเด็กสาวนั้นสดใสงดงาม

ขณะที่ฟังไฉเสียนเล่าเรื่องราวในอดีต สวี่ชีอันก็เหม่อลอยไปครู่หนึ่ง นึกถึงเว่ยเยวียน

ในตอนนั้นซ่างกวนฮองเฮาก็เหมือนกับแสงที่สุกสกาว ส่องสว่างเข้ามาในชีวิตที่ทุกข์โศกในวัยเยาว์ของเว่ยเยวียน

“วันนั้น หลังอาหารเย็น คนรับใช้ในจวนถ่ายทอดคำพูดว่า พ่อบุญธรรมต้องการพบข้า ข้ารู้ว่าเป็นเพราะเรื่องของเสี่ยวหลาน ก่อนหน้านี้ เพราะเรื่องการแต่งงานของเสี่ยวหลานทำให้พวกเราโต้แย้งกันหลายครั้ง

“ข้ารักเสี่ยวหลาน ต้องการให้พ่อบุญธรรมยกนางให้แต่งงานกับข้า แต่พ่อบุญธรรมกลับรู้สึกว่า ข้าเป็นคนจวนสกุลไฉ ถูกกำหนดมาให้รับใช้จวนสกุลไฉ หากเสี่ยวหลานแต่งงานกับข้า ก็เพียงทำให้ดูดีขึ้นเท่านั้น แต่การแต่งงานเพื่อเชื่อมสัมพันธ์กับตระกูลหวงฝู่จะเป็นประโยชน์กับวงศ์ตระกูลมากยิ่งกว่า”

แมวส้มหัวเราะ ‘คิกคิก’ แล้วพูดว่า “ถูกต้องแล้ว”

แววตาของไฉเสียนหม่นหมองเล็กน้อย พูดต่อไปว่า

“หลังจากไล่คนรับใช้กลับไปแล้ว ข้าก็ไปพบพ่อบุญธรรม ระหว่างทางรู้สึกได้ว่าในห้องพ่อบุญธรรมมีการเคลื่อนไหวต่อสู้ จึงรีบไปดู…ข้าช้าไปก้าวหนึ่ง ตอนไปถึง พ่อบุญธรรมถูกคนฆ่าตายในห้องแล้ว ส่วนฆาตกรนั้นไม่มีร่องรอย ข้าทั้งเสียใจและโกรธแค้นเป็นอย่างยิ่ง ในเวลานี้เอง ท่านอาก็ได้พาคนในตระกูลมาถึง

“นางและคนในตระกูลไม่พูดพร่ำทำเพลงต่างประณามว่าข้าเป็นคนฆ่าพ่อบุญธรรม และต้องการสะสางพรรค ข้าพยายามอธิบายทุกอย่าง พวกเขาก็ไม่สนใจแม้แต่น้อย ไม่มีใครเชื่อข้าสักคน ด้วยความจนใจ ข้าจึงจำต้องเรียกศพเหล็กมา เข่นฆ่ากันตลอดทางออกมาจากจวนสกุลไฉ

“แม้ข้าจะไม่ได้เป็นคนฆ่าพ่อบุญธรรม แต่ในคืนนั้น มือทั้งสองข้างของข้ากลับเปื้อนเลือดของลูกหลานตระกูลไฉไปไม่น้อยจริงๆ หลังจากหนีออกจากเมืองเซียงโจวแล้ว ข้าก็ซ่อนตัวอยู่ที่นี่เพื่อรักษาอาการบาดเจ็บ คนในครอบครัวนั้นเคยได้รับบุญคุณจากข้า ยอมเชื่อข้าตลอดมา ไม่ได้ตัดสินว่าข้าเป็นฆาตกรเพราะคำโจษจันของคนภายนอก”

แมวส้มพูดตัดบทว่า “เจ้าเป็นคนลักพาตัวเสี่ยวหลานไปใช่หรือไม่”

ไฉเสียนส่ายหน้า “หลังเกิดเรื่อง ข้าเป็นห่วงเสี่ยวหลาน เคยแอบกลับไปที่จวนสกุลไฉอย่างลับๆ แต่หานางไม่เจอ เมื่อบังคับถามคนรับใช้ในจวนสกุลไฉแล้ว จึงรู้ว่านางหายตัวไปตั้งแต่คืนที่พ่อบุญธรรมเสียชีวิตแล้ว ข้าสงสัยว่านางจะตกที่นั่งลำบาก”

แมวส้มคิดอะไรขึ้นมาได้ “คืนนี้ที่เจ้าแอบเข้าไปในห้องเก็บศพใต้ดิน เพื่อตามหาเสี่ยวหลาน?”

ไฉเสียนพยักหน้า ในดวงตามีแววดีใจ “ข้าหานางไม่เจอ”

แมวส้มถามอีกครั้งว่า “ในเขตจางโจว คนร้ายที่ก่อคดีฆาตกรรมฆ่าคนหลอมศพไปทั่วคือใคร?”

“ข้าไม่รู้”

ไฉเสียนหน้าเขียว ในน้ำเสียงและอารมณ์เต็มไปด้วยความแค้น

“มีคนปลอมตัวเป็นข้าฆ่าคนไปทั่ว ก่อคดีฆาตกรรม เพราะต้องการบีบให้ข้าอับจนหนทาง ไม่มีโอกาสได้กลับตัวอีก โดยเริ่มลงมือกับชาวยุทธ์ ต่อมาก็เป็นพรรคเล็กๆ จนถึงตอนนี้แม้กระทั่งชาวบ้านทั่วไปก็ไม่เว้น

“การชุมนุมมือสังหารมารครั้งนี้ ก็คือผลลัพธ์ที่พวกมันต้องการ”

แมวส้มถามหยั่งเชิงว่า “ทำไมเจ้าจึงไม่หนีไปเล่า?”

ไฉเสียนถามกลับว่า “ทำไมข้าต้องหนี พ่อบุญธรรมตายโดยไม่รู้สาเหตุ เสี่ยวหลานไม่รู้อยู่ที่ไหน ฆาตกรที่ใส่ความข้ายังตามตัวไม่พบ ยังคงก่อกรรมทำชั่วไปทั่ว ทำไมข้าต้องหนี?”

พี่ชาย นิสัยของเจ้ารุนแรงไปหน่อย…ทันใดนั้นสวี่ชีอันก็นึกขึ้นมาได้ หากฆาตกรตัวจริงที่อยู่เบื้องหลังและรู้นิสัยของไฉเสียนดี ถ้าเช่นนั้นจุดประสงค์ที่ทำทั้งหมดนี้ ก็เพื่อบีบให้เขาอยู่ต่อวางแผนได้ดีทีเดียว!

จู่ๆ ไฉเสียนก็ถอนหายใจ “ระยะนี้ ข้าออกไปตามหาฆาตกรตัวจริงที่อยู่เบื้องหลังตลอด ไปตามหาที่ที่เกิดคดีฆาตกรรมบ่อยๆ แต่ที่จับได้ล้วนเป็นพวกคนชั่วที่ใช้ชื่อของข้าในการปล้นชิงทรัพย์สิน หรือหลอมศพทั้งนั้น”

แมวส้มพูดว่า “ในใจของเจ้า ย่อมต้องมีผู้ต้องสงสัยอยู่แล้วใช่หรือไม่”

ไฉเสียนมีท่าทีลังเลเล็กน้อย แล้วพูดว่า “ข้าสงสัยว่าท่านอากำลังใส่ความข้า”

ใบหน้าของแมวส้มแสดงอารมณ์เหมือนมนุษย์ ทำเสียงจึ๊ก แล้วพูดว่า “ลองพูดมา”

คำตอบที่แมวส้ม ได้รับคือความเงียบในเวลาสั้นๆ ต่อมาไฉเสียนจึงถอนหายใจแล้วพูดว่า

“นอกจากท่านอาแล้ว ยังจะมีใครอีก? พี่ใหญ่ตายตั้งแต่อายุยังน้อย พี่รองและพี่สามก็ไม่ได้เรื่อง หากพ่อบุญธรรมตายไป คนที่สามารถคุกคามนางได้ก็มีเพียงเสี่ยวหลานและข้า เหตุการณ์ครั้งนี้ ได้ผลหลายอย่างไม่ใช่หรือ?

“ก่อนคืนนี้ แม้ข้าจะสงสัยนางมาตลอด แต่ก็ไม่มั่นใจและไม่มีหลักฐาน ทว่าคืนนี้ ข้าแอบเข้าไปในจวนสกุลไฉ ได้ยินนางกำลังมีความสุขกับคนเสเพลบนเตียงกับหูตัวเอง

“ท่านอาเปลี่ยนไป เมื่อก่อนนางไม่เคยทำตัวเสเพลเช่นนี้อย่างเด็ดขาด ความทะยานอยากทำให้นางทำเรื่องผิดศีลธรรม”

อ้อ นี่มัน! ผู้ชายเสเพลคนนั้นเจ้าก็น่าจะรู้จัก เขาก็คือหลี่หลิงซู่ผู้ทรยศต่อความรักในตอนนั้นอย่างไรเล่า…แมวส้มแอบพึมพำในใจ

นอกจาก ‘คนเสเพล’ จุดนี้ที่ประเมินผิดพลาดแล้ว การตัดสินของไฉเสียน ส่วนใหญ่จะสอดคล้องกับการคาดเดาของเขา

ในวิชาสืบสวนสอบสวนมีแนวคิดพื้นฐานอยู่ข้อหนึ่งคือ ในคดีอาญาคนไหนได้รับผลประโยชน์ คนนั้นก็คือผู้ต้องสงสัย

ในคดีของจวนสกุลไฉ ไฉซิ่งเอ๋อร์เรียกได้ว่าเป็นผู้ได้รับผลประโยชน์แต่เพียงผู้เดียว ดังนั้นนางจึงมีแรงจูงใจในการก่อคดี แน่นอนว่า นี่ยังไม่ใช่การชี้ขาด ดังนั้นจึงเป็นเพียง ‘ผู้ต้องสงสัย’

แต่จากการเปลี่ยนแปลงของคดีในภายหลัง การก่อคดีฆาตกรรมหลายๆ ครั้งในเซียงโจว รวมทั้งจางโจวและที่อื่นๆ ไม่สอดคล้องกับรูปแบบการก่อคดีตามปกติ

ก่อนหน้านี้สวีชีอันก็ไม่เข้าใจเกี่ยวกับเรื่องนี้ จนถึงตอนนี้ที่ได้พบกับไฉเสียน และการหายตัวไปเช่นนี้ของเสี่ยวหลาน รวมถึงการใส่ร้ายในคดีฆาตกรรม ล้วนทำเพื่อรั้งไฉเสียนไว้?

ดังนั้นเรื่องนี้ยังต้องมีเงื่อนไขเบื้องต้น นั่นก็คือฆาตกรที่อยู่เบื้องหลังรู้นิสัยของไฉเสียนดี คนที่ไม่คุ้นเคย ย่อมทำเช่นนี้ไม่ได้

“ขอบคุณที่บอกข้า เหตุการณ์ที่ผ่านมา ข้าเข้าใจแล้ว หากเจ้าถูกคนใส่ความจริง ข้าจะลองสืบสวนให้กระจ่าง คืนความบริสุทธิ์ให้กับเจ้า

แต่เวลานี้ เจ้าต้องคืนปาณมังกรให้ข้าก่อน…เขาเพิ่งจะคิดเช่นนี้ ก็ได้ยินไฉเสียนพูดเสียงต่ำว่า

“ขอบคุณมาก เจ้าพูดกับข้ามากมายเช่นนี้ คงจะรอร่างเดิมมาใช่หรือไม่”

…ใบหน้าของแมวส้มบึ้งตึง แทบจะร้อง “เมี้ยว” ทำตัวน่ารักเพื่อให้ผ่านด่านนี้ไป

ไฉเสียนทอดถอนใจ “ขอโทษด้วย ข้าไม่ไว้ใจใครทั้งสิ้น หากเจ้าต้องการช่วยข้าจริงๆ ก็ย่อมได้ พวกเราถือเอาที่นี่เป็นสถานที่ติดต่อ มีอะไรคืบหน้า หรือมีธุระติดต่อกับข้า สามารถมอบจดหมายให้เอ้อร์ยาได้

‘เมื่อเป็นเช่นนี้ ไม่ว่าข้าจะเป็นคนดีหรือคนเลว ก็ไม่สามารถทำร้ายคนครอบครัวนี้ได้…’ แมวส้มพูดเสียงขรึม “ตกลง!” พูดจบ ไฉเสียนก็ดีดพลังปราณออกมา ซัดแมวส้มจนสลบไป

หลังจากผ่านไปหนึ่งเค่อ ร่างเดิมของสวี่ชีอันก็รีบตามมา คล้ายผีในความมืด เงานั้นวูบวาบไปมา อยู่ในตรอกเล็กๆ

นอกจากแมวส้มที่สลบไสลไม่รู้สึกตัวแล้ว ในตรอกนั้นว่างเปล่า ไม่มีแม้แต่เงาของคน

สวี่ชีอันกระโดดขึ้นไปบนหลังคาบ้านดินหลังหนึ่ง มองไปรอบๆ ไม่มีการสนองตอบต่อกลิ่นอายของปราณมังกร นี่แสดงว่าไฉเสียนอยู่ไกลจากที่นี่มากแล้ว

ระวังตัวมากเลยนะเนี่ย

เขาลอยตัวลงสู่พื้นอย่างเบาหวิว อุ้มแมวส้มขึ้นมา นวดหว่างคิ้ว แล้วเดินจากไปช้าๆ

ซินกู่ควบคุมสัตว์ แบ่งออกเป็นสองชนิด ชนิดหนึ่งเป็นแบบ ‘โน้มน้าว’ สามารถทำให้บรรดาสัตว์และแมลงรับใช้ตัวเอง อีกชนิดหนึ่งคือแบบ ‘ครอบงำ’ จิตเดิมจะฝังอยู่ในร่าง ใช้สัตว์เป็นตัวแทน

อธิบายง่ายๆ ‘โน้มน้าว’ เป็นวิธีแบบทั่วไป ส่วนการ ‘ครอบงำ’ เป็นการเจาะจงเท่านั้น อาจจะทำการโน้มน้าวสัตว์สองหรือสามตัว ขึ้นอยู่กับความแข็งแกร่งและความอ่อนแอของจิตเดิม

เขาสามารถครอบงำให้แมวส้มวิ่งได้ไกลขนาดนี้ ล้วนอาศัยความทนทานของจิตเดิมขั้นสามทั้งสิ้น

นอกจากนี้ วิธีการควบคุมศพเดินได้ของซือกู่ ได้ผลดีเช่นเดียวกับการ ‘ครอบงำ’ ของซินกู่ แตกต่างกันที่ ซินกู่ต้องใช้แรงขับเคลื่อนจากจิตเดิมของตัวเอง ส่วนซือกู่นั้นจะฝังจื่อกู่ไว้ในศพ สิ้นเปลืองพลังงานไม่มาก

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง