ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง นิยาย บท 541

สรุปบท บทที่ 541 การลงโทษตัดอวัยวะสืบพันธุ์: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

ตอน บทที่ 541 การลงโทษตัดอวัยวะสืบพันธุ์ จาก ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง – ความลับ ความรัก และการเปลี่ยนแปลง

บทที่ 541 การลงโทษตัดอวัยวะสืบพันธุ์ คือตอนที่เปี่ยมด้วยอารมณ์และสาระในนิยายกำลังภายใน ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง ที่เขียนโดย Internet เรื่องราวดำเนินสู่จุดสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยใจตัวละคร การตัดสินใจที่ส่งผลต่ออนาคต หรือความลับที่ซ่อนมานาน เรียกได้ว่าเป็นตอนที่นักอ่านรอคอย

บทที่ 541 การลงโทษตัดอวัยวะสืบพันธุ์

อวี้โจว

ณ ถนนที่เต็มไปด้วยผู้คนเดินกันขวักไขว่ เทพธิดาปิงอี๋เดินนำลูกศิษย์อย่างหลี่เมี่ยวเจิน เข้าไปยังโรงเตี้ยมแห่งหนึ่งภายใต้สายตาประหลาดใจของผู้ที่สัญจรไปมา

ซึ่งบนนอกกำแพงของโรงเตี้ยมนี้ถูกวาดด้วยดอกบัวเก้ากลีบ

หลี่เมี่ยวเจินที่ถูกพาเข้ามายังโรงเตี้ยม เห็นว่าเทพธิดาปิงอี๋หยุดอยู่กลางห้องโถงใหญ่ ดวงตาคู่สีอ่อนกวาดสายตามองสำรวจไปยังชั้นสอง ราวกับกำลังค้นหาบางสิ่งอยู่

หลังจากผ่านไปไม่กี่วินาที นางก็เดินจูงลูกศิษย์ผ่านห้องโถงใหญ่ ก่อนจะขึ้นบันไดไป

‘ก๊อก ก๊อก!’ เทพธิดาปิงอี๋เคาะก่อนเปิดประตูห้องหนึ่งที่ได้หมายเอาไว้ก่อนหน้า

เงียบกริบ~

ห้องที่เปิดไปไร้สุ้มเสียงใดๆ หลี่เมี่ยวเจินเพียงมองปราดเดียวก็เห็นสภาพภายในห้องที่ถูกตกแต่งอย่างเรียบง่าย โดยมีนักพรตวัยกลางคนใบหน้าซูบผอม หนวดเครายาวถึงกลางอกรูปหนึ่ง กำลังนั่งขัดสมาธิบนเตียง

“ศิษย์พี่เสวียนเฉิง”

เทพธิดาปิงอี๋เอ่ยเรียกอย่างเย็นชา

“ท่านอาจารย์อาเสวียนเฉิง!”

หลี่เมี่ยวเจินเผยสีหน้าเย็นยะเยือก น้ำเสียงเรียบนิ่งไม่มีการสั่นไหวแม้แต่น้อย

นักบวชเต๋าเสวียนเฉิงลืมตาขึ้น กวาดสายตาอันไร้ซึ่งอารมณ์มองอาจารย์และลูกศิษย์ทั้งสอง สุดท้ายสายตาก็ตกที่ร่างหลี่เมี่ยวเจิน

เขาพยักหน้าเบาๆ “ไม่เลวนี่ ก้าวเข้าสู่ขั้นสี่ได้ และรากฐานยังมั่งคงอีกด้วย”

ความหมายของรากฐานมั่งคงที่ว่าก็คือ อย่างน้อยก็สามารถก้าวเข้าสู่ช่วงกลางของขั้นสี่ได้แล้ว

“ขอบพระคุณที่ท่านอาจารย์อาชมเจ้าค่ะ”

หลี่เมี่ยวเจินยังคงมีสีหน้าไร้ความรู้สึก ราวกับเรื่องนี้ไม่ได้มีความสำคัญอะไร และไม่มีค่าพอจะให้นางอารมณ์เปลี่ยนได้

จากนั้นนักบวชเต๋าเสวียนเฉิงก็หันไปมองเทพธิดาปิงอี๋กะทันหัน แล้วเอ่ยว่า “หากให้เปรียบอารมณ์นิสัยกับยามขึ้นลงเขา ก็มีการเปลี่ยนแปลงมากนะ ไม่เลวเลยทีเดียว ข้อมูลขององค์เทพอาจมีข้อผิดพลาดก็เป็นได้”

เทพธิดาปิงอี๋ตอบอย่างราบเรียบ “ทั้งหมดนี้คือเสแสร้งน่ะ”

หลี่เมี่ยวเจินพลันยอมแพ้ทันที จากสาวงามผู้เย็นชาดุจภูเขาหิมะกลายเป็นสาวงามผู้สดใสร่าเริง ก่อนจะกลอกตามองบนกล่าวว่า “ท่านอาจารย์ การเป็นจอมยุทธ์คือหนึ่งในวิถีทางที่ทำให้ข้าลืมเลือนความรู้สึก ในอนาคตข้าคงได้ไร้ความรู้สึกเป็นแน่ ท่านปล่อยข้าไปเถิด ถึงกลับนิกายเซนไป ใจข้าก็ยังสงสัยใคร่รู้ในโลกีย์โลก แล้วจะลืมเลือนความรู้สึกได้อย่างไร?”

เทพธิดาปิงอี๋ไม่ตอบกลับนาง จากนั้นก็ไปนั่งลงที่ข้างโต๊ะ “มีข่าวคราวของเทพบุตรบ้างหรือไม่”

“ตามที่คนรักของเขาจากเผ่าพันธุ์กู่ในซินเจียงตอนใต้ได้เปิดเผยมา พบว่าการหายตัวไปนานนับครึ่งปี เขาไปอยู่ที่กองกำลังยุทธภพท้องถิ่นเขตตงไห่มาโดยตลอด ซึ่งอยู่ร่วมกับสองนางสนมแห่งตำหนักมังกรตงไห่”

นักบวชเต๋าเสวียนเฉิงกล่าวอย่างเรียบนิ่ง “ข้าไปเขตตงไห่มาแล้วรอบหนึ่ง ทว่าไม่เจอตัวเขา ครั้นถามลูกศิษย์ตำหนักมังกรตงไห่ ถึงได้รู้ว่าหลี่หลิงซู่เคยอยู่ที่นั่นเมื่อไม่นานมานี้ และถูกสองนางสนมพาตัวไปที่เหลยโจว”

เทพธิดาปิงอี๋พยักหน้า แล้วถามว่า “ข้อมูลขององค์เทพเป็นความจริงหรือเปล่า?”

นักบวชเต๋าเสวียนเฉิงเงียบไปชั่วครู่หนึ่ง ก่อนจะพยักหน้าตอบ “ก็มากกว่าที่คาดไว้ไม่น้อยเลยทีเดียว”

นักบวชทั้งสองพลันตกเข้าสู่ความเงียบทันใด ทว่าผ่านไปไม่นาน เทพธิดาปิงอี๋พูดเสนอขึ้นว่า “แต่ปัญหาก็ยังแก้ไขได้โดยง่ายอยู่ดี ราชวงศ์บนโลกมนุษย์มีการลงโทษตัดอวัยวะสืบพันธุ์ กลายเป็นชายผู้ไร้ทายาทลูกหลาน และไม่อาจคิดที่จะมีความสัมพันธ์ระหว่างชายหญิงได้อีก ถึงจะพิการไปบางส่วน ทว่าก็ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการบำเพ็ญตบะ”

หลี่เมี่ยวเจินเอ่ยคล้อยตามอย่างไม่แยแส “ข้าว่าเป็นเช่นนั้นก็ดีเจ้าค่ะ”

…นักบวชเต๋าเสวียนเฉิงค่อยๆ กล่าวขึ้นว่า “หรือไม่ก็พาเขากลับนิกายก่อน แล้วค่อยให้องค์เทพตัดสินลงโทษเถอะ”

ภายในโรงเตี๊ยม

เจดีย์ทองอร่ามองค์หนึ่งถูกวางไว้บนโต๊ะ

ภายในห้องมีเพียงมู่หนานจือและเจ้าจิ้งจอกขาวตัวน้อย โดยมู่หนานจือกำลังสร้างโอสถพิษจากพืชมีพิษบนพื้น ขณะอยู่ในอ่างน้ำใหญ่หลังม่านกั้นลม

“นี่ท่านน้า เหตุใดชาดอกไม้ที่เจ้าชงถึงมีพลังงานอยู่ด้วย?” เจ้าจิ้งจอกขาวตัวน้อยหรี่ตา แล้วเพลิดเพลินกับกลิ่นหอมที่อยู่ระหว่างริมฝีปากและฟัน

“อาจเป็นเพราะข้าชงมันด้วยความสวยกระมัง” มู่หนานจือตอบอย่างลวกๆ

ขณะเดียวกันภายในเจดีย์พุทธะ สวี่ชีอันกำลังถือกำไลข้อเท้า พร้อมกับอุ้มแมวส้มในอ้อมอก มองไปทางเสินซูซึ่งแขนขาดอยู่ที่ไกลๆ แล้วพูดว่า “ไต้ซือ ท่านรู้วิธีคลายผนึกตะปูตอกวิญญาณจริงๆ ใช่หรือไม่?”

“เจ้าเข้ามาใกล้ๆ สิ แล้วข้าจะบอกเจ้า” เสินซูตอบกลับด้วยน้ำเสียงประสงค์ร้าย

“ก็ได้!”

สวี่ชีอันปล่อยแมวส้มลง ก่อนจะควบคุมให้มันเดินไปยังค่ายกลเบื้องหน้า เอ่ยเป็นภาษามนุษย์ว่า “ไต้ซือ ตอนนี้บอกได้หรือยัง”

…คนแขนขาดเงียบไปชั่วขณะหนึ่ง จากนั้นยิ้มเย็นกล่าว “เจ้าหนู คิดมากเกินไปแล้วนะ เจ้าเข้ามาด้วยตัวเองสิ”

“วันที่เกิดเรื่องขึ้น ยอดฝีมือจำนวนมากแห่งจวนสกุลไฉรับรู้ได้ถึงการผันผวนของพลังปราณ ทันใดนั้นเองก็พบว่าผู้นำตระกูลถูกไฉเสียนทำร้ายในห้องนอน พอไฉเสียนเห็นว่ากรรมชั่วตนโดนเปิดโปง จึงควบคุมศพเหล็กสังหารแล้วหนีไป

“ในจุดนี้ สิ่งที่ซิ่งเอ๋อร์และไฉเสียนพูดนั้นไม่เหมือนกันอยู่นิดหน่อย ซึ่งไฉเสียนบอกว่า ซิ่งเอ๋อร์กับคนตระกูลไฉไม่เคยยืนยันว่าเขาคือฆาตกร และต้องการจะจับกุมเขา ส่วนซิ่งเอ๋อร์ได้ให้การไว้ว่าไฉเสียนเกิดคลุ้มคลั่งขึ้น เลยออกมาไล่ฆ่าในจวนสกุลไฉ

“โดยพื้นฐานแล้วคำพูดของคนตระกูลไฉจะเหมือนกับซิ่งเอ๋อร์ เกี่ยวกับประเด็นนี้ ก็มีความเป็นไปได้สามประการ อย่างแรกคือ ซิ่งเอ๋อร์และคนในจวนสมรู้ร่วมคิดกัน สอง ไฉเสียนเป็นคนโกหก และสาม ซิ่งเอ๋อร์มีคนช่วยเหลือ คนที่ช่วยเหลือนั้น อาจปลอมตัวเป็นไฉเสียนสังหารไฉเจี้ยนหยวน หลังจากนั้นก็ก่อคดีฆาตกรรมตามจุดต่างๆ ในจางโจว แล้วโยนความผิดให้ไฉเสียน

“ไฉหลานหายตัวไปในคืนที่ไฉเจี้ยนหยวนถูกฆ่า ไฉเสียนบอกว่ามีคนใส่ร้ายตัวเอง และคนคนนั้นต้องเชี่ยวชาญวิชาควบคุมศพเป็นแน่ ซึ่งก็ไม่น่าใช่ซิ่งเอ๋อร์”

‘หรือจะเป็นไฉหลาน?’

จู่ๆ ความคิดนี้ก็พลันผุดขึ้นในสมองของหลี่หลิงซู่อย่างไม่อาจควบคุมได้

“เฮ้อ แต่ไม่มีหลักฐาน นี่ใช้การไม่ได้…”

ขณะนั้นเอง สาวใช้ในจวนก็เข้ามาส่งน้ำชาให้ สาวใช้ผู้นี้หน้าตาน่ารักน่าเอ็นดู รูปร่างเพรียวบาง แม้บั้นท้ายจะเล็กไปหน่อย ทว่าก็กลมกลึงเนื้อแน่น

นางถือกาน้ำชาทรงปากยาวร้อนผ่าว ก่อนจะเปิดฝาเครื่องลายครามบนโต๊ะ แล้วเทน้ำร้อนลงไป

หลี่หลิงซู่เอ่ยถามโดยไม่คิด “เจ้าชื่ออะไรหรือ?”

สาวใช้ตอบเสียงเบา “เรียนนายท่าน ข้าน้อยนามว่าตู้เจวียนเจ้าค่ะ” นางก้มศีรษะลงเล็กน้อย ไม่กล้ามองหน้าหลี่หลิงซู่

“เงยหน้าขึ้นมาสิ” หลี่หลิงซู่บอก

สาวใช้ตู้เจวียนลังเลนิดหน่อย จากนั้นก็เงยหน้าขึ้น รวบรวมความกล้าสบตากับหลี่หลิงซู่

“อยู่จวนนี้มานานแค่ไหนแล้ว?”

“บ่าวถูกขายเข้ามาในจวนแห่งนี้ตั้งแต่เด็กเจ้าค่ะ”

หลี่หลิงซู่พลันลุกจากเตียงขึ้นมานั่ง พลางมองสาวใช้ตัวน้อย

“งั้นข้าถามเจ้าหน่อย ความสัมพันธ์ระหว่างคุณหนูใหญ่กับผู้นำตระกูลเป็นอย่างไร?”

………………………………………

———————

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง