บทที่ 541 การลงโทษตัดอวัยวะสืบพันธุ์
อวี้โจว
ณ ถนนที่เต็มไปด้วยผู้คนเดินกันขวักไขว่ เทพธิดาปิงอี๋เดินนำลูกศิษย์อย่างหลี่เมี่ยวเจิน เข้าไปยังโรงเตี้ยมแห่งหนึ่งภายใต้สายตาประหลาดใจของผู้ที่สัญจรไปมา
ซึ่งบนนอกกำแพงของโรงเตี้ยมนี้ถูกวาดด้วยดอกบัวเก้ากลีบ
หลี่เมี่ยวเจินที่ถูกพาเข้ามายังโรงเตี้ยม เห็นว่าเทพธิดาปิงอี๋หยุดอยู่กลางห้องโถงใหญ่ ดวงตาคู่สีอ่อนกวาดสายตามองสำรวจไปยังชั้นสอง ราวกับกำลังค้นหาบางสิ่งอยู่
หลังจากผ่านไปไม่กี่วินาที นางก็เดินจูงลูกศิษย์ผ่านห้องโถงใหญ่ ก่อนจะขึ้นบันไดไป
‘ก๊อก ก๊อก!’ เทพธิดาปิงอี๋เคาะก่อนเปิดประตูห้องหนึ่งที่ได้หมายเอาไว้ก่อนหน้า
เงียบกริบ~
ห้องที่เปิดไปไร้สุ้มเสียงใดๆ หลี่เมี่ยวเจินเพียงมองปราดเดียวก็เห็นสภาพภายในห้องที่ถูกตกแต่งอย่างเรียบง่าย โดยมีนักพรตวัยกลางคนใบหน้าซูบผอม หนวดเครายาวถึงกลางอกรูปหนึ่ง กำลังนั่งขัดสมาธิบนเตียง
“ศิษย์พี่เสวียนเฉิง”
เทพธิดาปิงอี๋เอ่ยเรียกอย่างเย็นชา
“ท่านอาจารย์อาเสวียนเฉิง!”
หลี่เมี่ยวเจินเผยสีหน้าเย็นยะเยือก น้ำเสียงเรียบนิ่งไม่มีการสั่นไหวแม้แต่น้อย
นักบวชเต๋าเสวียนเฉิงลืมตาขึ้น กวาดสายตาอันไร้ซึ่งอารมณ์มองอาจารย์และลูกศิษย์ทั้งสอง สุดท้ายสายตาก็ตกที่ร่างหลี่เมี่ยวเจิน
เขาพยักหน้าเบาๆ “ไม่เลวนี่ ก้าวเข้าสู่ขั้นสี่ได้ และรากฐานยังมั่งคงอีกด้วย”
ความหมายของรากฐานมั่งคงที่ว่าก็คือ อย่างน้อยก็สามารถก้าวเข้าสู่ช่วงกลางของขั้นสี่ได้แล้ว
“ขอบพระคุณที่ท่านอาจารย์อาชมเจ้าค่ะ”
หลี่เมี่ยวเจินยังคงมีสีหน้าไร้ความรู้สึก ราวกับเรื่องนี้ไม่ได้มีความสำคัญอะไร และไม่มีค่าพอจะให้นางอารมณ์เปลี่ยนได้
จากนั้นนักบวชเต๋าเสวียนเฉิงก็หันไปมองเทพธิดาปิงอี๋กะทันหัน แล้วเอ่ยว่า “หากให้เปรียบอารมณ์นิสัยกับยามขึ้นลงเขา ก็มีการเปลี่ยนแปลงมากนะ ไม่เลวเลยทีเดียว ข้อมูลขององค์เทพอาจมีข้อผิดพลาดก็เป็นได้”
เทพธิดาปิงอี๋ตอบอย่างราบเรียบ “ทั้งหมดนี้คือเสแสร้งน่ะ”
หลี่เมี่ยวเจินพลันยอมแพ้ทันที จากสาวงามผู้เย็นชาดุจภูเขาหิมะกลายเป็นสาวงามผู้สดใสร่าเริง ก่อนจะกลอกตามองบนกล่าวว่า “ท่านอาจารย์ การเป็นจอมยุทธ์คือหนึ่งในวิถีทางที่ทำให้ข้าลืมเลือนความรู้สึก ในอนาคตข้าคงได้ไร้ความรู้สึกเป็นแน่ ท่านปล่อยข้าไปเถิด ถึงกลับนิกายเซนไป ใจข้าก็ยังสงสัยใคร่รู้ในโลกีย์โลก แล้วจะลืมเลือนความรู้สึกได้อย่างไร?”
เทพธิดาปิงอี๋ไม่ตอบกลับนาง จากนั้นก็ไปนั่งลงที่ข้างโต๊ะ “มีข่าวคราวของเทพบุตรบ้างหรือไม่”
“ตามที่คนรักของเขาจากเผ่าพันธุ์กู่ในซินเจียงตอนใต้ได้เปิดเผยมา พบว่าการหายตัวไปนานนับครึ่งปี เขาไปอยู่ที่กองกำลังยุทธภพท้องถิ่นเขตตงไห่มาโดยตลอด ซึ่งอยู่ร่วมกับสองนางสนมแห่งตำหนักมังกรตงไห่”
นักบวชเต๋าเสวียนเฉิงกล่าวอย่างเรียบนิ่ง “ข้าไปเขตตงไห่มาแล้วรอบหนึ่ง ทว่าไม่เจอตัวเขา ครั้นถามลูกศิษย์ตำหนักมังกรตงไห่ ถึงได้รู้ว่าหลี่หลิงซู่เคยอยู่ที่นั่นเมื่อไม่นานมานี้ และถูกสองนางสนมพาตัวไปที่เหลยโจว”
เทพธิดาปิงอี๋พยักหน้า แล้วถามว่า “ข้อมูลขององค์เทพเป็นความจริงหรือเปล่า?”
นักบวชเต๋าเสวียนเฉิงเงียบไปชั่วครู่หนึ่ง ก่อนจะพยักหน้าตอบ “ก็มากกว่าที่คาดไว้ไม่น้อยเลยทีเดียว”
นักบวชทั้งสองพลันตกเข้าสู่ความเงียบทันใด ทว่าผ่านไปไม่นาน เทพธิดาปิงอี๋พูดเสนอขึ้นว่า “แต่ปัญหาก็ยังแก้ไขได้โดยง่ายอยู่ดี ราชวงศ์บนโลกมนุษย์มีการลงโทษตัดอวัยวะสืบพันธุ์ กลายเป็นชายผู้ไร้ทายาทลูกหลาน และไม่อาจคิดที่จะมีความสัมพันธ์ระหว่างชายหญิงได้อีก ถึงจะพิการไปบางส่วน ทว่าก็ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการบำเพ็ญตบะ”
หลี่เมี่ยวเจินเอ่ยคล้อยตามอย่างไม่แยแส “ข้าว่าเป็นเช่นนั้นก็ดีเจ้าค่ะ”
…นักบวชเต๋าเสวียนเฉิงค่อยๆ กล่าวขึ้นว่า “หรือไม่ก็พาเขากลับนิกายก่อน แล้วค่อยให้องค์เทพตัดสินลงโทษเถอะ”
…
ภายในโรงเตี๊ยม
เจดีย์ทองอร่ามองค์หนึ่งถูกวางไว้บนโต๊ะ
ภายในห้องมีเพียงมู่หนานจือและเจ้าจิ้งจอกขาวตัวน้อย โดยมู่หนานจือกำลังสร้างโอสถพิษจากพืชมีพิษบนพื้น ขณะอยู่ในอ่างน้ำใหญ่หลังม่านกั้นลม
“นี่ท่านน้า เหตุใดชาดอกไม้ที่เจ้าชงถึงมีพลังงานอยู่ด้วย?” เจ้าจิ้งจอกขาวตัวน้อยหรี่ตา แล้วเพลิดเพลินกับกลิ่นหอมที่อยู่ระหว่างริมฝีปากและฟัน
“อาจเป็นเพราะข้าชงมันด้วยความสวยกระมัง” มู่หนานจือตอบอย่างลวกๆ
ขณะเดียวกันภายในเจดีย์พุทธะ สวี่ชีอันกำลังถือกำไลข้อเท้า พร้อมกับอุ้มแมวส้มในอ้อมอก มองไปทางเสินซูซึ่งแขนขาดอยู่ที่ไกลๆ แล้วพูดว่า “ไต้ซือ ท่านรู้วิธีคลายผนึกตะปูตอกวิญญาณจริงๆ ใช่หรือไม่?”
“เจ้าเข้ามาใกล้ๆ สิ แล้วข้าจะบอกเจ้า” เสินซูตอบกลับด้วยน้ำเสียงประสงค์ร้าย
“ก็ได้!”
สวี่ชีอันปล่อยแมวส้มลง ก่อนจะควบคุมให้มันเดินไปยังค่ายกลเบื้องหน้า เอ่ยเป็นภาษามนุษย์ว่า “ไต้ซือ ตอนนี้บอกได้หรือยัง”
…คนแขนขาดเงียบไปชั่วขณะหนึ่ง จากนั้นยิ้มเย็นกล่าว “เจ้าหนู คิดมากเกินไปแล้วนะ เจ้าเข้ามาด้วยตัวเองสิ”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง