ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง นิยาย บท 542

บทที่ 542 ส่วนลึกของห้องใต้ดิน

“พวกเราบ่าวข้ารับใช้จะไปรู้เรื่องเหล่านี้ได้อย่างไรล่ะเจ้าคะ”

สาวใช้ตัวน้อยก้มหน้าส่ายศีรษะ รู้ว่าสิ่งใดควรพูดหรือสิ่งใดไม่ควรเอ่ยเป็นอย่างดี

หลี่หลิงซู่ลุกขึ้นยืนออกห่างจากเตียง แล้วเดินมายังข้างโต๊ะ พร้อมกับยันมือทั้งบนโต๊ะ เอนตัวไปเบื้องหน้าด้วยท่วงท่ารุกล้ำอีกฝ่าย พลางมองสาวใช้ตัวน้อยที่อยู่ต่ำกว่า ก่อนจะยกยิ้มมุมปากเอ่ยว่า “สาวน้อยที่ทำตัวเชื่อฟัง ถึงจะดูน่ารัก”

ใบหน้าตู้เจวียนแดงระเรื่อทันใด นางก้มหน้างุด ไม่กล้าสบตาหลี่หลิงซู่ แล้วเอ่ยเสียงค่อยว่า “กะ…ก็รู้มาบ้างนิดหน่อย นายท่านเจ้าคะ ท่านต้องรับปากว่าจะไม่แพร่งพรายออกไป มิเช่นนั้นบ่าวได้เดือดร้อนเป็นแน่”

‘ด้วยนัยน์ตาคู่ที่ประกายประหนึ่งแฝงดวงดาวเอาไว้ อีกทั้งใบหน้าหล่อเหลา และบุคลิกที่ไม่ธรรมดา…หญิงสาวคนใดก็ล้วนลุ่มหลง แล้วยังจะมีใครสามารถต้านทานเสน่ห์ของข้าได้เล่า!’

หลี่หลิงซู่ถอนหายใจราวกับอยู่ที่สูงจนหนาวกาย

“เจ้าวางใจได้ ข้าจะไม่เอาออกไปแพร่งพรายที่ไหน” เขายิ้มเล็กน้อยพร้อมพูดรับปาก

“ความสัมพันธ์ระหว่างคุณหนูใหญ่กับนายท่านย่อมดีมากอยู่แล้วเจ้าค่ะ แต่ดูเหมือนว่าคุณหนูใหญ่จะไม่ยอมแต่งงานกับตระกูลหวงฝู่ และขอร้องต่อนายท่านบ่อยครั้ง ซ้ำยังอดอาหารเป็นเวลาหลายวันด้วยเจ้าค่ะ”

‘ไฉหลานไม่ยินยอมแต่งงานกับตระกูลหวงฝู่ ถึงกับเคยอดอาหาร เพื่อแสดงการต่อต้าน…’ หลี่หลิงซู่ขมวดคิ้ว พลางคิดในใจว่าเหตุใดซิ่งเอ๋อร์ไม่เคยบอกเรื่องนี้กับเขาสักนิดเลย

“แล้ว…แล้วความสัมพันธ์ระหว่างคุณหนูใหญ่กับไฉเสียนล่ะ?” หลี่หลิงซู่กระซิบถาม

“สนิทสนมกันดั่งพี่น้องเลยเจ้าค่ะ” ตู้เจวียนตอบ

“ระหว่างพวกเขามีหรือเปล่า เอ่อ มีความสัมพันธ์สิเน่หาระหว่างชายหญิงหรือไม่?” หลี่หลิงซู่พูดหยั่งเชิง

“ระ…เรื่องนี้บ่าวจะรู้ได้อย่างไรล่ะเจ้าคะ…” ตู้เจวียนตอบอย่างยากลำบาก

จากนั้นเขาก็ถามความสัมพันธ์ของคนที่มีความสำคัญในตระกูลไฉอีกสองสามคน แต่เมื่อถามความสัมพันธ์ระหว่างไฉซิ่งเอ๋อร์กับไฉเจี้ยนหยวน ตู้เจวียนก็ตอบว่า “ท่านอาหญิงกับผู้นำตระกูลขัดแย้งกันมาตั้งแต่สมัยก่อนแล้วเจ้าค่ะ”

หลี่หลิงซู่หรี่ตา ระงับอารมณ์แล้วพูด “เอ๋? เล่าให้ฟังรายละเอียดหน่อยสิ ว่ามันเกิดอะไรขึ้น”

ตู้เจวียนลังเลอยู่ครู่ ก่อนจะกล่าว “มันเป็นเรื่องเมื่อหลายปีก่อนเจ้าค่ะ ท่านอาเขยคนก่อนที่แซ่หลิว ซึ่งตระกูลหลิวและตระกูลไฉได้คบหากันมาหลายชั่วอายุคน ภายหลังตระกูลหลิวเกิดตกอับ ท่านอาเขยจึงแต่งเข้าจวนไฉ ต่อมา ท่านอาเขยกับผู้นำตระกูลเกิดอุบัติเหตุขณะออกไปข้างนอก แล้วไม่รอดกลับมาเจ้าค่ะ

“แต่ข้าได้ยินมาว่าการตายของท่านอาเขยเหมือนจะมีเงื่อนงำ ท่านอาหญิงเลยทะเลาะกับผู้นำตระกูลอย่างหนัก…”

นางชะงักสักพักหนึ่ง และไม่ได้เล่าต่อแต่อย่างใด

การพูดถึงจุดนี้ก็เป็นการล้ำเส้นมากแล้ว อีกทั้งรายละเอียดของเงื่อนงำที่ว่า นางผู้เป็นสาวใช้ก็ไม่รู้อย่างชัดเจนด้วย

‘สามีคนก่อนของซิ่งเอ๋อร์ตายไปอย่างน่าสงสัยหรือ? นี่มัน…ช่วงเวลาที่ข้าอยู่กับนางมา ทำไมไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อน…’ หลี่หลิงซู่ลอบขมวดคิ้ว

ทันใดนั้นเองเขาพลันคิดได้ ทุกๆ คนย่อมไม่เอ่ยถึงเรื่องสามีคนเก่าต่อหน้าคนรักใหม่ของอาหญิงแห่งตระกูลไฉอย่างเขาอยู่แล้ว

“ขอบคุณแม่นางตู้เจวียนที่บอกนะ!”

หลี่หลิงซู่เผยรอยยิ้มอบอุ่นที่ประหนึ่งระบบปรับอากาศส่วนกลาง ทำให้สาวใช้พลันพวงแก้มอมชมพู และสดชื่นสบายไปทั่วร่างกายในเดือนสิบสองตามจันทรคติของฤดูเหมันต์

หลังจากส่งลาสาวใช้ผู้มีนามว่าตู้เจวียนคนนี้แล้ว หลี่หลิงซู่ก็กลับห้อง ล้มตัวนอนลงบนเตียง พยายามค้นหาความจริงท่ามกลางม่านหมอกหนาอันยุ่งเหยิง

‘ไฉหลานไม่ยอมแต่งงานกับตระกูลหวงฝู่ หากข้าเป็นไฉเสียน พาอีกฝ่ายหนีไปด้วยกันจะไม่ดีกว่าหรือ?…’

‘สามีคนก่อนของซิ่งเอ๋อร์ตายอย่างไรกันนะ? ดูเหมือนว่าไฉเจี้ยนหยวนมีส่วนเกี่ยวข้องด้วย? ไม่เช่นนั้นทั้งสองคนจะทะเลาะกันใหญ่โตเพราะอะไร…นอกจากจะเป็นผู้รับผลประโยชน์สูงสุดแล้ว นางก็ยังมีแรงจูงใจอีกมากเลยทีเดียว’

หลี่หลิงซู่ถอนหายใจ ก่อนจะพลิกตัวลุกขึ้นนั่ง ตัดสินใจไปโรงเตี้ยม เพื่อนำข่าวนี้ไปบอกกับสวีเชียน “อันที่จริง ข้าสืบต่อด้วยตัวคนเดียวก็ได้ ถึงแม้สวีเชียนจะมีฝีมือสูง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะสามารถไขคดีได้เสียหน่อย ตอนนี้เขาสวมชื่อเป็นใครอยู่นะ สวี่ชีอันหรือ?”

หลี่หลิงซู่พึมพำอยู่พักหนึ่ง แต่ก็ไม่เลิกล้มความคิดที่จะนำข่าวไปบอกตาแก่ผู้นั้น

ณ เมืองหลวง จวนสกุลสวี่

ระหว่างที่เตาถ่านภายในห้องโถงกำลังลุกเป็นไฟ ทางด้านอาสะใภ้ก็แกะเปลือกส้มในมือ พลางกล่าวว่า “อีกไม่กี่วันพวกเจ้าจะไปจวนสกุลหวางแล้ว ต้องเข้าใจมารยาทและการประพฤติตัวให้เรียบร้อย มิอาจทำให้ฮูหยินแห่งจวนสกุลหวางและบรรดาญาติหญิงดูแคลนได้ เข้าใจหรือไม่”

ขณะที่พูดนั้น นางก็เงยหน้าละสายตาจากส้ม มามองเด็กสาวข้างกายที่กำลังกระหายรอกินส้มอยู่

“แม่พูดถึงเจ้าอยู่นะ!”

อาสะใภ้เอ่ยอย่างหงุดหงิด “วันๆ รู้แต่เรื่องกิน กิน กิน ไม่ช้าก็เร็วแม่จะส่งเจ้าเรียนศิลปะที่สำนักโหราจารย์เสีย”

วันนี้นางสวมเสื้อนวมสั้นปักลายเมฆา ซึ่งเข้าคู่กับกระโปรงยาวจับจีบสีเข้ม ทั้งยังปักปิ่นหยกกับปิ่นระย้าทองคำในมวยผมอย่างประณีต ดูสง่างามและเปี่ยมเสน่ห์ หากมองในแวบแรก ก็ดูเหมือนเด็กหญิงสูงศักดิ์จากตระกูลร่ำรวยมากเลยทีเดียว

แน่นอนว่า คนที่คุ้นเคยอย่างอาสะใภ้ล้วนรู้ดีว่านางนั้นสวยแต่รูป จูบไม่หอม

“ดีเลยๆ ถ้างั้นก็สามารถเล่นกับพี่ไฉ่เวยได้สินะ”

สวี่หลิงอินที่มวยผมทรงเด็กน้อยเอ่ยด้วยความดีใจ

สิ่งที่นางอยากจะพูดจริงๆ ก็คือ พี่ไฉ่เวยที่มีเงินมากมาย ย่อมซื้อของกินอร่อยๆ ได้ต่างหาก

ทว่าตอนนี้นางมิใช่สวี่หลิงอินคนก่อนอีกแล้ว ตอนนี้ ตอนนี้เป็น…

“ท่านแม่ ตอนนี้ข้าอายุเท่าไรแล้ว” สวี่หลิงอินถามเสียงดัง

อาสะใภ้ไม่ตอบคำถามนาง กลับหันหน้าพูดไปกับสวี่หลิงเยวี่ยว่า “แต่อย่าให้โดนรังแกได้นะ เข้าใจหรือไม่ ดูเหมือนว่าเหล่าฮูหยินที่อยู่ในตระกูลร่ำรวยทรงอิทธิพลอย่างจวนสกุลหวางนั้นไม่น่าเป็นมิตรด้วยเลยสักคน อารมณ์ของเจ้ายังไม่แข็งแกร่งพอ หากโดนคนกลั่นแกล้งเข้า มิอาจร้องไห้โวยวายได้นะ

“หากโดนรังแกก็ไปหาซือมู่ซะ และรู้ขอบเขตด้วยว่าสิ่งใดตัวเองควรพูดหรือไม่ควรทำ เข้าใจหรือไม่ จริงสิ บรรดาบุตรชายทั้งบุตรสาวของคุณชายใหญ่และคุณชายรองแห่งจวนสกุลหวาง ก็อายุไล่เลี่ยกับสวี่หลิงอินนี่และ ซึ่งเป็นช่วงอายุเด็กที่น่าปวดหัวที่สุดแล้ว บอกไม่ได้เหมือนกันว่าเพราะอะไร…อย่าให้หลิงอินทำลายชื่อเสียงวงศ์ตระกูลล่ะ”

สวี่หลิงเยวี่ยตอบ ‘อือ’ ก่อนจะเอ่ยว่า “ทราบแล้วเจ้าค่ะท่านแม่”

เนื่องจากสวี่เอ้อร์หลางและคุณหนูแห่งจวนสกุลหวางจะหมั้นหมายกัน ระหว่างที่ทั้งสองตระกูลต้องดำเนินประเพณีเหล่านี้นั้น อาสะใภ้ผู้ซึ่งเป็นนายหญิงประจำตระกูล ย่อมไม่อาจปรากฏตัวต่อหน้าสาธารณชนอย่างง่ายดาย เพราะมันไม่เหมาะสมกับสถานะของนาง

ดังนั้นการติดต่อระหว่างญาติฝ่ายหญิง จึงมอบหน้าที่ให้สองสาวพี่น้องอย่างสวี่หลิงเยวี่ยและสวี่หลิงอินไป

แต่อาสะใภ้ก็ยังไม่วางใจ พลางคิดว่าหญิงที่แสนวิเศษอย่างนางซึ่งรวบความสวยและความชาญฉลาดไว้ในตัวคนเดียว นอกจากกำเนิดเอ้อร์หลางที่ฉายแววอนาคตไกลแล้ว ก็ยังมีบุตรสาวอีกสองคนที่พอจะไปวัดไปวาได้

สวี่หลิงเยวี่ยที่อ่อนแอเกินไป พูดจานิ่มนวลไม่สู้คนราวกับเป็นที่รองรับอารมณ์คนอื่น ส่วนสวี่หลิงอินไม่ค่อยฉลาดนัก เป็นหญิงสาวโง่เขลาทึ่มทื่อคนหนึ่ง

อาสะใภ้จึงกลัวว่าเมื่อพวกนางไปจวนสกุลหวางแล้ว จะโดนคนจากจวนสกุลหวางรังแกเอาได้

อาสะใภ้มิได้กังวลเกินกว่าเหตุแต่อย่างใด เพราะตระกูลร่ำรวยทรงอิทธิพลอย่างจวนสกุลหวางนั้น ค่อนข้างถือตนเหนือกว่าผู้อื่นเป็นอย่างมาก การที่คุณหนูตระกูลหวางแต่งงานกับเอ้อร์หลาง ก็เป็นการลดตัวลงมาแต่งงานกับผู้มีสถานะต่ำกว่า แล้วเหล่าสตรีในตระกูลหวางจะให้เกียรติตระกูลสวี่เพียงใดกัน?

แม้จะพูดได้ว่าไม่ถึงขั้นแสดงสีหน้ารังเกียจอย่างออกหน้า แต่ก็คงเป็นการโจมตีอย่างซ่อนเข็มไว้ในปุยนุ่น[1] คิดแล้วคงเป็นเช่นนั้นแน่

‘หากคนอ่อนแออย่างสวี่หลิงเยวี่ยเจอแบบนี้เข้าละก็…’

“เฮ้อ!” อาสะใภ้ถอนหายใจด้วยความผิดหวังที่เหล็กไม่กลายเป็นเหล็กกล้า[2]

จากนั้นนางก็ไม่คิดเรื่องไม่เป็นเรื่องเหล่านี้อีก ก่อนจะบ่นว่า “หยางเชียนฮ่วนคนนั้น ไม่ว่าอย่างไรก็รู้จักกับพี่ใหญ่ของพวกเจ้ามานาน แม่เขียนจดหมายหาเขา เพื่ออยากให้สำนักโหราจารย์รับหลิงอินเข้าเป็นศิษย์ ไม่คิดเลยว่านานขนาดนี้แล้ว จะยังไม่ตอบกลับอีก”ไอรีนโนเวล

ขณะที่สวี่หลิงเยวี่ยกำลังแกะเปลือกส้ม ก็กล่าวขึ้นว่า “ท่านแม่ สำนักโหราจารย์ตอบกลับมาแล้วเจ้าค่ะ เมื่อวานข้ารับจดหมายมา แต่ลืมบอกกับท่าน”

แววตาอาสะใภ้พลันเปล่งประกาย เอ่ยอย่างทั้งตื่นตกใจและดีใจ “สำนักโหราจารย์ว่าอย่างไรบ้าง?”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง