บทที่ 544 คดีสังหารโหด
สวี่ชีอันไม่ได้ขอเข้าไปในบ้านเนื่องจากเป็นการเสียมารยาท การทำเช่นนี้ในบ้านที่ไม่มีผู้ชายอยู่ จะทำให้เกิดการติฉินนินทาได้
สวี่ชีอันย่อมรู้ว่าความระแวดระวังและตื่นตระหนกของสองแม่ลูกไม่ได้มาจากเหตุผลดังกล่าว แต่เพราะมี ‘แผนร้าย’ ซ่อนไว้ต่างหาก
“หนูน้อย เจ้ารู้จักไฉเสียนหรือไม่” สวี่ชีอันเอ่ยถาม
เมื่อได้ยินคำพูดดังนั้น เด็กหญิงก็ตะลึงงัน และจ้องมองเขาอย่างว่างเปล่า เป็นความสับสนเนื่องจากประสบกับความสูญเสียตั้งแต่อายุยังน้อย ไม่รู้จะรับมืออย่างไร
หญิงสาวฟังภาษาราชการไม่ออก แต่เมื่อเห็นสีหน้าเหม่อลอยของลูกสาวก็สังเกตได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ จึงรีบเข้าไปประชิดตัว
สวี่ชีอันย่อตัวลงรีบเอื้อมมือไปลูบศีรษะของนางก่อนที่นางจะกรีดร้อง อาศัยจังหวะดังกล่าวใช้ซินกู่ พลางกล่าวยิ้มๆ
“ข้าเป็นเพื่อนกับอาเสียนของเจ้า เมื่อคืนเขาไม่ได้บอกเจ้าหรือ”
ทันใดนั้นในสายตาของเด็กหญิง ท่านอาแปลกหน้าก็กลายเป็นคนคุ้นเคย ใจดี ไม่มีพิษภัยไปเสีย
“อื้ม!”
เด็กหญิงพยักหน้าอย่างจริงจัง “ท่านอาบอกว่าถ้ามีท่านอาแปลกหน้ามาหา ให้จำในสิ่งที่เขาพูดเจ้าค่ะ”
สวี่ชีอันส่งกระดาษแผ่นเล็กๆ ให้กับนาง “ช่วยส่งกระดาษแผ่นนี้ให้กับอาของเจ้าทีนะ”
เมื่อพูดจบ ก็เห็นแผลหิมะกัดบริเวณหลังมือ และเห็นรองเท้าคู่บางที่ดูแล้วไม่น่าปกป้องนางจากความหนาวเหน็บได้เลย ลองคิดดูแล้วเท้าของเด็กน้อยก็คงจะเป็นแผลหิมะกัดไม่ต่างกัน
ดังนั้นเขาจึงหยิบเงินออกมาสองสามเหรียญยื่นให้เด็กหญิงพร้อมกับแผ่นกระดาษ “เงินนี่เอาไว้ซื้อขนมกินนะ”
เด็กน้อยรับกระดาษมาแต่ไม่รับเงิน นางเงยหน้ามองมารดาของตน
หญิงสาวเม้มริมฝีปากแน่น จ้องมองเงินตาเขม็งแต่ไม่กล้ารับมา สำหรับครอบครัวยากจนแล้วเศษเงินเพียงเท่านี้ก็มากพอที่จะซื้อเนื้อมาเลี้ยงครอบครัวได้หลายวัน และสามารถซื้อเสื้อกันหนาวให้กับเด็กน้อยได้สักตัวแล้ว
“อื้ม!”
หญิงสาวพยักหน้าอย่างแรง
เด็กหญิงยื่นมือที่เต็มไปด้วยแผลพุพองออกมากำเงินไว้แน่น
สวี่ชีอันขอตัวจากไป เมื่อเดินออกมาจากลานบ้านแล้ว ก็มีเสียงตะโกนของเด็กหญิงลอยตามหลังมา เมื่อหันกลับไปมองก็เห็นว่านางไม่ได้ตามมาแต่กลับวิ่งเข้าไปในบ้านแทน
ไม่นานนางก็ถือมันเทศหัวแห้งๆ ออกมาอย่างรวดเร็ว และยื่นให้ด้วยท่าทีเหนียมอาย
สวี่ชีอันจ้องมองด้วยสายตาอ่อนโยน และรับหัวมันเทศแห้งมา
ดวงตาของเด็กหญิงเป็นประกาย นางคลี่ยิ้มสดใสบริสุทธิ์ให้กับเขา
“ข้าขอถามอะไรเจ้าอีกสักอย่าง ถ้าเจ้าตอบข้า ถ้าจะให้เงินเจ้าเพิ่ม” สวี่ชีอันกล่าวยิ้มๆ
เด็กหญิงครุ่นคิดก่อนจะพยักหน้าหงึกหงัก
“ไฉเสียนกับพ่อของเจ้ามีความสัมพันธ์กันอย่างไร”
เด็กหญิงตอบ “ท่านพ่อให้ข้าเรียกเขาว่าท่านอาเสียนเจ้าค่ะ”
นางไม่ทราบเรื่องราวในอดีตของบิดา
“ไฉเสียนอาศัยอยู่ที่บ้านของเจ้านานเท่าไรแล้ว”
เด็กหญิงครุ่นคิดแล้วเอ่ย “อยู่ที่บ้านน้อยมากเลยเจ้าค่ะ”
น้อยมาก? สวี่ชีอันขมวดคิ้ว “เจ้าคิดว่าท่านอาไฉเสียนเป็นคนดีหรือไม่”
“อื้ม เหมือนท่านอาเลยเจ้าค่ะ”
เด็กหญิงพยักหน้า เด็กน้อยมีท่าทีกระตือรือร้นอย่างมาก
เรียกท่านพี่ยังจะดีเสียกว่า อย่างไรเสียข้าอายุสิบแปดตลอดกาล…สวี่ชีอันกล่าวยิ้มๆ “แล้วมีอะไรอีกหรือไม่”
เขาถามไปอย่างไม่คาดหวัง
“ท่านอาชอบฝันร้าย แล้วก็เหม่อลอยบ่อยๆ…” เด็กหญิงเอียงศีรษะครุ่นคิด ดวงตาเป็นประกาย “ท่านอาเสียนมีนิ้วเท้าหกนิ้วด้วยเจ้าค่ะ”
สวี่ชีอันให้เงินนางตามสัญญา จากนั้นก็โบกมือลาและออกไปจากหมู่บ้าน
…
จวนสกุลไฉ
เมื่อฉานซือจิ้งซินกลับมาถึงสำนัก ก็พบกับจอมยุทธ์ภิกษุจิ้งหยวน “ข้าลองตรวจสอบดู ก็พบว่าการตายของอดีตสามีของสีกาไฉซิ่งเอ๋อร์เกี่ยวข้องกับไฉเจี้ยนหยวนผู้นำตระกูล”
จิ้งหยวนพยักหน้า “เล่ามาให้หมด”
ฉานซือผู้ใช้คาถา หากต้องการสอบสวนเรื่องใด ย่อมทำได้ดั่งใจ
แม้จะไม่สะดวกใจในการใช้คาถากับไฉซิ่งเอ๋อร์ แต่ก็แอบลักไก่ใช้สอบถามกับข้ารับใช้ได้ไม่มีปัญหา
จิ้งซินถามเรื่องไฉเสียนมากที่สุด และถามเรื่องของไฉซิ่งเอ๋อร์แต่พอเป็นพิธี
เมื่อได้ฟังคำพูดของศิษย์พี่ จอมยุทธ์ภิกษุจิ้งหยวนก็ขมวดคิ้วแน่น
“หากทุกอย่างที่ไฉซิ่งเอ๋อร์พูดเป็นเรื่องโกหก เช่นนั้นไฉเสียนก็อาจจะไม่ใช่คนที่ได้ปราณมังกรไปอย่างที่พวกเราคิดก็ได้ ที่แท้สีกาไฉซิ่งเอ๋อร์ก็สูญเสียสามีไปนี่เอง ข้ายังคิดอยู่เลยว่าชายที่ยืนอยู่ข้างๆ นางคือสามีของนางเสียอีก”
จิ้งซินครุ่นคิดก่อนจะเอ่ยขึ้น “คงต้องสอบถามคนผู้นี้เพิ่มเติมอีก เขาน่าจะรู้อะไรมากทีเดียว”
…
กลางดึก
ถ่านไฟกำลังลุกโชน หลี่หลิงซู่กกกอดหญิงสาวคนงามผู้ออกเรือนแล้วใต้ผ้าห่มผืนหนา ทั้งสองเพิ่งเสร็จกิจ เหงื่อโซมกายทั้งคู่ไอรีนโนเวล
ไฉซิ่งเอ๋อร์นอนขดตัวอยู่ในอ้อมแขนของเขา เผยให้เห็นหัวไหล่กลมกลึงขาวนวล นางไล้ปลายนิ้ววนเป็นวงกลมบนแผงอกของหลี่หลิงซู่
“เจ้าสอบสวนข้า!”
หลี่หลิงซู่ที่กำลังอยู่ในห้วงอารมณ์สมฤทัย ม่านตาหดลงเล็กน้อยก่อนจะกลับมาเป็นปกติ “ข้ารู้สึกได้ว่าเจ้ายังมีอะไรปิดบังข้าอยู่”
ไฉซิ่งเอ๋อร์ถอนหายใจ “คุณชายหลี่ เจ้าเลิกสนใจเรื่องของสกุลไฉเถิด ขอเพียงเจ้าอยู่เคียงข้างข้า เท่านี้ข้าก็พอใจแล้ว คนที่อยากสอบสวนข้าไม่ใช่เจ้า แต่เป็นสวีเชียนอะไรนั่นไม่ใช่หรือ”
‘ซิ่งเอ๋อร์ลางสังหรณ์แม่นจนน่ากลัว…’ หลี่หลิงซู่กล่าว “เลิกพูดเรื่องของเขาเถิด”
ไฉซิ่งเอ๋อร์บิดเอวเปลี่ยนท่านอน
“เขาดูมีอะไรกลิ่นอายที่พิเศษยิ่ง ข้าเองก็บอกไม่ถูก แต่รู้สึกว่าคนคนนี้ดูเสแสร้งไม่มีความจริงใจแม้แต่น้อย แน่นอนว่าหากเขาอยู่ในขั้นเหนือมนุษย์อย่างที่เจ้าว่าจริง ก็ต้องปลอมตัวเป็นเรื่องปกติ”
หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง นางก็เอ่ยขึ้นอีกครั้ง “สวีเชียนมีความแค้นกับสำนักพุทธใช่หรือไม่”
น้ำเสียงของไฉซิ่งเอ๋อร์ฟังดูมั่นอกมั่นใจอย่างยิ่ง
“เหตุใดเจ้าถึงคิดเช่นนั้น” สีหน้าของหลี่หลิงซู่ไม่เปลี่ยนแม้แต่น้อย
“ก็ตอนที่ภิกษุพวกนั้นมา พวกท่านก็ออกไปจากจวนทันที ขนาดคุณชายหลี่ยังไม่กล้าเปิดเผยนามต่อหน้าพวกเขาเลยนี่”
สีหน้าของไฉซิ่งเอ๋อร์เยือกเย็น ฉาบด้วยรอยยิ้มราบเรียบ “ในกลุ่มนั้นมีภิกษุผู้อยู่ในขั้นสี่สองคน ว่ากันตามเหตุผล หากสวีเชียนผู้นั้นเป็นยอดฝีมือระดับเหนือมนุษย์จริงๆ จะเกรงกลัวพวกเขาไปทำไม บางทีอาจจะมีสาเหตุอื่น หรือไม่ก็มีคนอยู่เบื้องหลังภิกษุพวกนั้น ใช่หรือไม่คุณชายหลี่”
‘คุยต่อไม่ได้แล้ว…’ หลี่หลิงซู่พลิกตัวทาบทับร่างของคนงาม พลางกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ซิ่งเอ๋อร์ช่างฉลาดหลักแหลมนัก ข้ารักเจ้าเหลือเกิน”
…
วันรุ่งขึ้นในตอนเช้าตรู่
สวี่ชีอันจูงแม่ม้าน้อยออกไปจากเมืองเซียงโจวอย่างรีบเร่ง พร้อมกับมู่หนานจือที่นั่งอยู่บนหลังม้า
การชุมนุมมือสังหารมารจัดขึ้นที่แม่น้ำเซียง สาเหตุที่เลือกที่นี่ก็เป็นเพราะต้องการหลีกเลี่ยงชาวบ้านและชาวยุทธภพทั้งหลายที่มักจะแบ่งแยกกันมาแต่ไหนแต่ไร
นี่เป็นฉันทามติของชาวยุทธภพและราชสำนัก ลำพังพวกชาวบ้านตลาดทั่วไปนั้นไม่ได้รู้อะไรมากนัก เพียงแต่มาหาความบันเทิงเท่านั้น
ทางการเปิดพื้นที่ริมชายฝั่งแม่น้ำเซียง จัดการสร้างเวที วางไม้กระดาน แบ่งพื้นที่ เป็นต้น
กลุ่มชาวยุทธ์ที่รายงานตัวเข้าร่วมแล้วจะมีการจัดสรรซุ้มไม้ไว้ให้ ส่วนกลุ่มชาวยุทธ์และพวกชาวยุทธ์ทั่วไปที่ไม่ได้รายงานตัวสามารถยืนดูได้จากบริเวณรอบๆ เท่านั้น
เมื่อพ้นเขตเมือง สวี่ชีอันก็พลิกตัวขึ้นควบแม่ม้าน้อย และห้อตะบึงไปยังที่หมายพร้อมกับมู่หนานจือ
หลังจากผ่านไปราวๆ ครึ่งชั่วยาม ในที่สุดก็มาถึงสถานที่จัดงานชุมนุมมือสังหารมารซึ่งมีคนอยู่แน่นขนัด
มีทั้งชาวยุทธ์ที่หอบสารพัดอาวุธมาด้วยและทหารที่ทำหน้าที่รักษาความสงบเรียบร้อย
สายลมที่ริมแม่น้ำพัดกระหน่ำ หนาวเหน็บบาดลึกถึงกระดูก ในซุ้มไม้มีกลุ่มชาวยุทธ์จำนวนมากมารออยู่แล้ว
‘ผู้ฝึกตน’ ธรรมดาอย่างสวี่ชีอัน ทำได้เพียงรับชมจากไกลๆ พร้อมกับฝูงชนที่ถูกเจ้าหน้าที่สกัดกั้น
“ท่านผู้อาวุโส?”
ทันใดนั้นมีเสียงร้องประหลาดใจดังขึ้นมาจากด้านหลัง
สวี่ชีอันหันไปเห็นหวังจวิ้นและเฝิงซิ่วที่ ‘ร่วมทุกข์ร่วมสุข’ ด้วยกันในวัดร้างบนภูเขาแห้งแล้งเมื่อคราวนั้น ทั้งสองคนมีกองกำลังคอยหนุนหลังอยู่ แต่สวี่ชีอันจำไม่ได้เสียแล้วว่าเป็นพวกไหน
“พวกเจ้านี่เอง”
สวี่ชีอันส่งยิ้มและพยักหน้าให้
มู่หนานจือที่นั่งอยู่บนหลังม้า วางท่ามองทั้งสองคนอย่างสูงส่ง
หวังจวิ้นที่ถือดาบในมือเอ่ยถามด้วยความสงสัย “ดูจากตัวตนของผู้อาวุโสแล้ว เหตุใดถึงไม่เข้าไปข้างในล่ะขอรับ”
“ข้าแค่แวะมาร่วมสนุกด้วยเท่านั้นเอง”
สวี่ชีอันอธิบายสั้นๆ
หวังจวิ้นยังคงสวมชุดจิ้นจวงสีดำทั้งตัวเหมือนเดิม เพียงแต่รูปแบบดูเปลี่ยนไป ไม่ใช่ตัวเดียวกับวันนั้น
เฝิงซิ่วเปลี่ยนจากชุดแขนสั้นเรียบร้อย เป็นเสื้อนอกท่อนบนที่ขับเน้นทรวดทรงของหญิงสาว และกระโปรงยาวฟู่ฟ่องท่อนล่าง
ชุดนี้ทำให้นางดูทั้งสง่างามและอ่อนโยนสมกับที่เป็นสตรี แต่ไม่จำกัดการเคลื่อนไหว ไม่ขัดขวางการออกท่าทางต่อสู้ของนาง
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง