ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง นิยาย บท 545

สรุปบท บทที่ 545 ไร้เบาะแส: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

บทที่ 545 ไร้เบาะแส – ตอนที่ต้องอ่านของ ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

ตอนนี้ของ ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง โดย Internet ถือเป็นช่วงเวลาสำคัญของนิยายกำลังภายในทั้งเรื่อง ด้วยบทสนทนาทรงพลัง ความสัมพันธ์ของตัวละครที่พัฒนา และเหตุการณ์ที่เปลี่ยนโทนเรื่องอย่างสิ้นเชิง บทที่ 545 ไร้เบาะแส จะทำให้คุณอยากอ่านต่อทันที

บทที่ 545 ไร้เบาะแส

แสงแดดลอดผ่านหน้าต่างมุ้งลวดกระทบละอองฝุ่นลอยละล่อง

ท่ามกลางความเงียบงันรอบข้าง สวี่ชีอันยืนนิ่งอยู่กลางบ้าน ผ่านไปพักหนึ่ง เมื่อเส้นเลือดปูดโปนบนหน้าผากเริ่มยุบลงไปแล้ว เขาก็เริ่มตรวจสอบที่เกิดเหตุ ด้วยสีหน้าไร้อารมณ์

เครื่องเรือนเช่นโต๊ะ เก้าอี้ยังอยู่ในสภาพเรียบร้อย ไม่มีร่องรอยของการต่อสู้ หลอดเลือดแดงข้างลำคอของชายผู้นั้นถูกปาดด้วยของมีคม ขมับด้านซ้ายยุบลง

สิ้นใจทันที

สาเหตุการตายของสองแม่ลูกคือถูกแทงด้วยอาวุธมีคม แม่ถูกแทงทะลุหัวใจ แต่ลูกสาวถูกแทงเข้าที่อกขวา หลังจากที่สวี่ชีอันสัมผัสศีรษะของนาง ก็พบว่าสาเหตุการตายที่แท้จริงคือถูกทุบเข้าที่กะโหลก

จากนั้นเขาก็พลิกร่างของทั้งสามคน เลิกเสื้อผ้าฝ้ายขึ้น เพื่อดูรอยเขียวช้ำหลังเสียชีวิต

“เวลาตายไม่เกินสี่ชั่วยาม ถูกฆ่าช่วงเช้า…ไม่ ไม่ใช่ เมื่อคืนอุณหภูมิอยู่ที่ประมาณสององศา ถ้าถูกฆ่าเมื่อคืน เวลาตายจริงๆ ก็ต้องเร็วกว่านั้น”

อุณหภูมิต่ำช่วยรักษา ‘สภาพความสด’ จึงส่งผลกระทบต่อการหาเวลาเสียชีวิต

“ถึงจะไม่มีร่องรอยการต่อสู้ในบ้านก็ไม่ได้แปลว่าเป็นฝีมือของคนใกล้ตัว เพราะการทำร้ายชาวบ้านธรรมดานั้นช่างง่ายดาย สามารถสังหารได้ในพริบตา”

แต่ถ้าไม่มีเหตุจูงใจ ใครมันจะอยากฆ่าครอบครัวผู้บริสุทธิ์เช่นนี้

สวี่ชีอันนั่งลงข้างโต๊ะ ใช้ปลายนิ้วเคาะโต๊ะเบาๆ จนเกิดเสียงตึกๆ ฟีโรโมนในสมองของเขากำลังเดือดพล่าน…

“นอกจากข้ากับไฉเสียน มีใครรู้จักที่นี่อีกบ้าง ถ้าไม่มีคนอื่น ฆาตกรก็ต้องเป็นเขาไม่ก็ข้า ถ้ามีคนรู้จักที่นี่จริง เหตุใดต้องรอจนกระทั่งข้าส่งจดหมายแล้วถึงค่อยลงมือ ฆ่าปิดปากหรือ

“เป้าหมายไม่ใช่ตัวไฉเสียน แต่เป็นการกีดกันไม่ให้ไฉเสียนไปร่วมงานชุมนุมมือสังหารมาร…แต่มันจะมีความหมายอะไร แทนที่จะมาซุ่มโจมตีคนที่นี่ สู้สังหารไฉเสียนไปเลยไม่ดีกว่าหรือ

“ดังนั้น คนที่ฆ่าปิดปากก็คือไฉเสียนงั้นสิ? ก็ไม่ใช่เหมือนกัน แรงจูงใจไม่มีน้ำหนัก”

ดวงตาของสวี่ชีอันก็เบิกกว้างขึ้นทันใด คิดถึงความเป็นไปได้อย่างหนึ่งขึ้นมาได้

วันที่ข้ากลายร่างเป็นแมวสะกดรอยตามไฉเสียน ขณะเดียวกันข้าก็ถูกสะกดรอยตามด้วย…

“ไฉเสียนไม่มีทางรู้ตัวว่าข้าสะกดรอยตาม เพราะมนุษย์ศพไม่มีความสามารถในการป้องกันการสะกดรอยตามได้ แต่ในขณะเดียวกันข้าก็ไม่มีความสามารถที่ว่าเช่นกัน เพราะตอนนั้นข้าเป็นแค่แมวตัวหนึ่ง ไม่ได้อยู่ในร่างของตัวเอง ถ้าหากคืนวันนั้น มีคนตามรอยข้ามาเงียบๆ…”

สวี่ชีอันลุกพรวดออกไปจากห้องทันที หันหลังกลับปิดประตูสนิท แล้วควบแม่ม้าน้อยวิ่งห้อตะบึงออกไป

จวนสกุลไฉ

หลี่หลิงซู่ยกถ้วยชาร้อนด้วยมือสองข้างและจิบเครื่องดื่มรสหวานเข้าไป

ในถ้วยชาสีขาวประณีตในมือ มีผลเก๋ากี่แช่อยู่เต็มถ้วย ทำให้น้ำชาที่เหลือเล็กน้อยในถ้วยออกรสหวานเป็นพิเศษ

เฮ้อ ชีวิตแต่ละวันนี้หนอ…หลี่หลิงซู่ถอนหายใจออกมา

ก่อนที่ลัทธิเต๋าจะก้าวสู่ระดับเหนือมนุษย์ การพัฒนาทางร่างกายนั้นมีข้อจำกัดอยู่มาก ไม่เหมือนสายจอมยุทธ์ที่ร่างกายเปลี่ยนแปลงได้เช่นนั้น

ในช่วงหกเดือนที่ผ่านมา สองพี่น้องตงฟางตั้งใจสูบพลังวิญญาณของเขาจนทำให้เขาอยู่ในสภาพร่อแร่ตลอดเวลา

เดิมทีคิดว่าถ้าทิ้งสองพี่น้องตงฟางมาได้ จะฟื้นฟูพลัง สะสมพลังวิญญาณได้อย่างเต็มที่ แต่ใครจะไปคิดว่าด้วยเหตุผลหลายๆ ประการทำให้ต้องหันไปซบอกสาวงามรายอื่นแทน

จากเหวินเหรินเชี่ยนโหรวถึงไฉซิ่งเอ๋อร์ พวกนางล้วนเป็นฟืนแห้งใกล้ไฟ

“บางทีข้าน่าจะลองฝึกสายจอมยุทธ์ ถึงแม้จะมีกฎห้ามสูญเสียความบริสุทธิ์ก่อนฝึกขั้นหลอมปราณ แต่นั่นก็จำกัดแค่คนที่ไม่พื้นฐาน คนที่สูญเสียความบริสุทธิ์ไปตั้งแต่แรกหลอมปราณไม่ได้ หากข้าฟื้นฟูตบะกลับมาได้ การฝึกหลอมปราณอย่างหนักด้วยระดับเต๋าขั้นสี่ก็ไม่ได้ยากเย็นอะไร

“แต่อย่างไรเสียข้าก็ต้องเริ่มฝึกตั้งแต่ขั้นหลอมจิต มิฉะนั้น หากปราศจากการทรมานตนแล้วไซร้ ข้าก็ไม่มีวันไปถึงขั้นห้าสลายแรง เดี๋ยวสิ ข้าไม่ได้ฝึกฝนสายจอมยุทธ์เพื่อพลังต่อสู้ แค่ขั้นหลอมปราณก็พอแล้ว…”

ขณะที่กำลังครุ่นคิดอยู่นั้น จู่ๆ เขาก็เห็นร่างของคนผู้หนึ่งยืนขึ้นมาจากเงาของโต๊ะชา

ปรากฏว่าเป็นสวีเชียนที่มีสีหน้าราบเรียบ

“ท่านผู้อาวุโส?”

หลี่หลิงซู่ตะลึงงัน คิดไม่ถึงว่าสวีเชียนจะมาหาด้วยตัวเอง ไม่กลัวว่าจะถูกภิกษุของสำนักพุทธพวกนั้นจับได้บ้างหรือ

เพียงแค่เอ่ยปากทักทาย เขาก็รู้สึกได้ทันทีว่าท่าทางของสวีเชียนผิดปกติไป

ความสามารถในการ ‘สังเกตสิ่งรอบตัว’ ของนิกายสวรรค์ ทำให้รู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงอันเล็กน้อยของคนหรือสิ่งของที่คลุกคลีมานานได้ทันที

เป็นความสามารถจำเป็นของขั้น ‘สวรรค์และมนุษย์รวมเป็นหนึ่ง’

แม้ว่าหลี่หลิงซู่ไม่ได้ถือว่ารู้จักสวีเชียนเป็นอย่างดี แต่ก็ใช้เวลาด้วยกันมากพอสมควร

สวีเชียนที่ผ่านมาเป็นดั่งแอ่งน้ำลึกล้ำสุดหยั่งถึง ทว่าสวีเชียนในตอนนี้กลับเป็นเหมือนคลื่นน้ำปั่นป่วนใต้ผิวน้ำเรียบสงบ

สวี่ชีอันพยักหน้าและกล่าว “เมื่อคืนไฉซิ่งเอ๋อร์อยู่ที่ใด”

‘บนเตียงข้า’ หลี่หลิงซู่กล่าว “อยู่กับข้าตลอด”

สวี่ชีอันถามย้ำ “เจ้าแน่ใจหรือ”

อาจจะอาศัยช่วงที่เจ้าหลับ แอบไปทำเรื่องน่าละอายก็ได้

หลี่หลิงซู่ขมดวคิ้ว “เมื่อคืนกว่าเราสองคนจะเสร็จกิจก็ปาเข้าไปยามจื่อสองเค่อแล้ว อีกอย่างผนึกของข้าแตกออกส่วนหนึ่งทำให้นอนหลับไม่สนิท หากคนที่นอนข้างๆ ลุกออกไป ไม่มีทางที่ข้าจะไม่รู้”

พูดมาถึงตรงนี้ หลี่หลิงซู่ก็นวดคลึงเอวที่ปวดโดยไม่รู้ตัว

ยามจื่อสองเค่อ เจ้ามันอึดขนาดนั้นเชียวหรือ สวี่ชีอันพยักหน้าช้าๆ ไม่พูดไร้สาระ “อีกสองเค่อไปเจอกันที่นอกเมืองทิศเหนือ”

เขากลายร่างเป็นเงาและหายไปจากห้อง

“ลึกลับดีแท้…”

หลี่หลิงซู่กุลีกุจอออกไปจากห้องทันที แล้วไปขอม้าตัวหนึ่งจากผู้ดูแลจวนไฉ ขี่ไปตามเส้นทางสายหลัก มุ่งหน้าไปทางประตูเมืองทิศเหนือ

ใช้เวลาเพียงหนึ่งเค่อ ทั้งสองก็พบกันนอกประตูเมืองทิศเหนือ หลี่หลิงซู่สังเกตเห็นว่าสวีเชียนเปลี่ยนท่าทีไปอีกแล้ว

สวี่ชีอันพยักหน้าน้อยๆ ไม่มีคำอธิบายใดๆ แตะท้องของแม่ม้าน้อยเบาๆ แล้วห้อตะบึงออกไป

“ย่า!”

หลี่หลิงซู่สะบัดแซ่ตามไปทันที

เมื่อเข้าใกล้หมู่บ้าน สวี่ชีอันก็ชะลอความเร็วของม้าลง โยนเสื้อคลุมและหมวกให้กับอีกฝ่าย

“ใส่เสีย ในหมู่บ้านเกิดเหตุฆาตกรรม เจ้าไปเรียกวิญญาณมาไต่ถามว่าใครเป็นฆาตกร”

เมื่อหลี่หลิงซู่เปลี่ยนเสื้อแล้ว สวี่ชีอันก็พลิกตัวลงจากม้า ดีดนิ้วสองสามครั้ง แม่ม้าน้อยและหลี่หลิงซู่ก็เดินเข้าไปซ่อนตัวในป่าละเมาะข้างทางอย่างว่าง่าย

‘แหม กู่สัตว์ร้ายนี่ช่างมีประโยชน์จริงๆ’ หลี่หลิวสู่ครุ่นคิดอย่างริษยาไอรีนโนเวล

ซินกู่เรียกอีกอย่างว่า ‘กู่เดรัจฉาน’ ‘กู่สัตว์ร้าย’ เนื่องจากปรมาจารย์ซินกู่ใช้ในการควบคุมแมลงพิษและสัตว์ร้าย

ทั้งสองเข้าไปยังหมู่บ้านพร้อมกัน ทันทีใกล้ถึงที่หมาย สวี่ชีอันก็พบว่านอกบ้านหลังเล็กมีผู้คนมุงดูรายล้อม พร้อมกับเสียงร่ำไห้ดังมาจากข้างในบ้าน

ชาวบ้านที่อยู่ทั้งในบ้านและนอกบ้านต่างส่งเสียงกระซิบกระซาบ

สวี่ชีอันได้ยินเพียงคำพูดเลือนรางไม่กี่คำ

“ครอบครัวของหวางเหล่าซื่อเคยทำร้ายใครด้วยหรือ”

“ใครจะไปรู้เล่า แม้แต่เด็กน้อยก็ไม่เว้น ฆาตกรช่างใจทรามหยาบช้าจริงๆ”

“เฮ้อ หรือจะเป็นฝีมือของไฉเสียน ต้องเป็นเขาแน่ ได้ยินไอ้วิปริตนี่สังหารพ่อเลี้ยงของตนได้ลงคอ”

“ไอหยา แบบนี้พวกเราจะไม่ตกอยู่ในอันตรายหรือ”

เขาและหลี่หลิงซู่ผลักชาวบ้านออก แล้วเดินเข้าไปในบ้าน

ร่างของสมาชิกครอบครัวสามคนวางอยู่บนไม้กระดานเรียบง่ายกลางบ้าน คลุมทับด้วยผ้าขาวสกปรก ด้านข้างมีชายชราผมหงอกขาวผู้หนึ่งนั่งคุกเข่าร่ำไห้เสียงดังลั่น

คู่สามีภรรยาหนุ่มสาวคู่หนึ่งกำลังยุ่งมือเป็นระวิงอยู่ในบ้าน พวกเขาสวมเสื้อผ้าธรรมดา ใบหน้ามืดหม่น ดูท่าทางเคยชินกับการทำงานใช้แรงงาน

“พวกเจ้าเป็นใคร”

เมื่อเห็นสวี่ชีอันและหลี่หลิงซู่เข้ามา สองสามีภรรยาหนุ่มสาวก็รู้สึกระแวง โดยเฉพาะหลี่หลิงซู่ที่สวมเสื้อและหมวกคลุม

“คนของทางการ”

สวี่ชีอันกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “ใครให้พวกเจ้าเคลื่อนย้ายศพตามใจชอบ หากทำลายเบาะแสที่ฆาตกรหลงเหลือไว้จะทำอย่างไร”

ทันทีที่เขายิงคำถามใส่ชายหนุ่ม อีกฝ่ายก็ตะลึงงัน คิดว่าตนเองทำครั้งใหญ่หลวงลงไปเสียแล้ว

หลี่หลิงซู่ถือโอกาสนี้เดินเข้าไปในบ้าน ซึ่งเป็นสถานที่เกิดเหตุ และปิดประตู

ไม่ทันเปิดโอกาสให้ชายหนุ่มได้ตอบโต้ สวี่ชีอันสอบถามด้วยใบหน้าเคร่งขรึมอีกครั้ง “พวกเจ้ามีความสัมพันธ์อย่างไรกับครอบครัวนี้”

ชายหนุ่มหันกลับไปมองเหยื่อผู้ชาย ด้วยความโศกเศร้าบนใบหน้าหมองคล้ำ

“เขาเป็นพี่ชายของข้า พ่อข้าเป็นอาของเขา เมื่อช่วงเที่ยงวันเพื่อนบ้านเห็นคนแปลกหน้าเข้าไปในบ้าน จากนั้นก็รีบหนีออกไป จึงมาตรวจดู แต่ตะโกนเรียกอยู่นานก็ไม่มีคนตอบ พอเข้ามาก็เห็นว่าทุกคนถูกสังหารไปแล้ว…”

ขณะที่เขาพูด ดวงตาของเขาก็แดงก่ำขึ้นมา

สวี่ชีอันเอ่ยด้วยสีหน้าเรียบเฉยดังเดิม “ไปเรียกเพื่อนบ้านผู้นั้นมาซิ”

ชายหนุ่มก้าวข้ามธรณีประตู กวาดสายตามองฝูงชนที่คลาคล่ำหน้าบ้าน และเอ่ยขึ้นด้วยภาษาถิ่น

“เพราะอะไร”

“ข้าจะแอบสืบคดี หาฆาตกรตัวจริงแล้วฆ่ามันเสีย” สวี่ชีอันกล่าวด้วยสีหน้าเรียบเฉย

จวนสกุลไฉ

ภิกษุรูปหนึ่งกลับมาถึงจวน เคาะประตูห้องของจิ้งซิน เมื่อได้รับอนุญาตแล้วจึงผลักประตูเข้ามา และเห็นจิ้งซินกำลังเล่นหมากล้อมกับจิ้งหยวน

“ศิษย์พี่ทั้งสอง สีกาไฉซิ่งเอ๋อร์ให้ข้ามาส่งข่าวว่าเกิดคดีฆาตกรรมยกครัวขึ้นในหมู่บ้านเสี่ยวชุนทางทิศตะวันตกของเมืองเซียงโจวห่างออกไปสามสิบกว่าลี้ สงสัยว่าจะเป็นฝีมือของชาวยุทธ์

“หลังจาก ‘หน่วยค้นหา’ สอบถามเรื่องราว ก็ได้รับการยืนยันแล้วว่าเป็นฝีมือของไฉเสียนจริงๆ ทว่าชาวบ้านในหมู่บ้านเล่าว่า วันนี้ตอนเที่ยงวันมีชายหนุ่มในชุดสีดำมายังหมู่บ้าน จากนั้นไม่นาน ก็มีคนนอกแต่งกายประหลาดเข้ามาในหมู่บ้านอีก โดยอ้างว่าเป็นคนของทางการ

“แต่ที่ทำการปกครองยืนยันแล้วว่า ทั้งสองคนนี้ไม่ได้เป็นคนของทางการแต่อย่างใด”

เขาอธิบายลักษณะการตายของครอบครัวสามคนอย่างละเอียด

จิ้งซินคลึงตัวหมากในมือ และวางลงเกิดเสียงดัง ‘แป๊ก’ และกล่าวด้วยเสียงนุ่มนวล “รู้แล้ว”

ภิกษุรูปนั้นประนมมือและถอยกลับ

“บางทีอาจจะเป็นจอมยุทธ์พเนจรก็ได้” จิ้งหยวนกล่าว

เขาหมายถึงชายสองคนที่สมอ้างเป็นเจ้าหน้าที่ทางการหลังเกิดเรื่อง

“ไม่เคยสูบกินแก่นโลหิต ไม่เคยรีดไถเงิน เช่นนั้นจะสังหารคนไปเพื่อการใด” จิ้งซินขมวดคิ้วครุ่นคิด

“บางทีอาจจะเป็นแรงอาฆาต บางทีอาจเป็นกลยุทธ์กวนน้ำจับปลา ไม่จำเป็นต้องใส่ใจให้มาก หากต้องการจะจัดการเรื่องนี้ตั้งแต่เนิ่นๆ ก็ต้องจัดการถอนรากถอนโคนให้สิ้นซาก” จิ้งหยวนกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม

หลังจากงานชุมนุมมือสังหารมาร ทางการและกองกำลังขนาดใหญ่หลายแห่งในยุทธภพก็ค้นหากันในเมืองแบบบ้านต่อบ้าน ตามบัญชีสำมะโนครัว

นอกจากนี้ยังมี ‘หน่วยค้นหา’ ประจำการตามหมู่บ้านและเมืองต่างๆ

เพื่อจะเดินมาถึงก้าวนี้ ทางการเซียงโจวต้องลงทุนลงแรงไปมาก

“คืนนี้เจ้าต้องออกไปลาดตระเวน อย่าลืมสำแดงฤทธาด้วย” จิ้งซินกล่าว

“อืม” จิ้งหยวนส่งเสียงตอบรับ

จิ้งซินวางหมาก แล้วหยิบหนังสือโบราณออกมาจากย่าม พลิกหน้าหนังสือไปหยุดที่หน้าหนึ่ง

“เผ่าซือกู่แห่งซินเจียงตอนใต้มีเคล็ดวิชาลับในการใช้ศพเลี้ยงศพ ซึ่งเกิดจากการเคล็ดวิชาในการเลี้ยงกู่ โดยปล่อยให้มนุษย์ศพกัดกินกันเอง แก่งแย่งแก่นวิญญาณ ตัวที่ชนะเป็นตัวสุดท้ายจะกลายเป็นราชาแห่งศพ

“เหนือกว่าศพเหล็กคือศพบิน ศพบินไม่สามารถแจ้งเตือนภัยล่วงหน้าของจอมยุทธ์ขั้นหลอมวิญญาณ ไม่สามารถควบคุมพลังได้อย่างสมบูรณ์เช่นเดียวกับจอมยุทธ์ขั้นสลายแรง ไม่มี ‘จิต’ ของจอมยุทธ์ขั้นสี่ แต่ศพบินสามารถบินขึ้นไปในอากาศได้ในระยะเวลาสั้นๆ พลังต่อสู้ไม่ด้อยไปกว่าขั้นสี่ นับว่าแข็งแกร่งมากทีเดียว

“เนื่องจากพวกเขาดูดซึมแก่นโลหิตเป็นปริมาณที่เพียงพอ ทำให้กลั่นยาโลหิตในร่างกายของตนได้ และมีความสามารถในการสร้างเลือดเนื้อถือกำเนิดขึ้นมาใหม่ได้”

จิ้งซินกล่าวช้าๆ “หลังจากสังหารจอมยุทธ์ไปมากมาย ก็มีบางส่วนถูกช่วงชิงแก่นโลหิตไป บางส่วนศพหายไป ผู้ที่อยู่เบื้องหลังเกรงว่าจะมีคนคิดอยากจะสร้างศพบินขึ้นมา เขาไม่มีทางปล่อยผู้ที่เคยฝึกพลังเทพวชิระอย่างเจ้าไปแน่นอน”

จิ้งหยวนกล่าวยิ้มๆ “โดยเฉพาะเมื่อข้าสำแดงตบะเกือบถึงขั้นห้าในงานชุมนุมมือสังหารมาร”

ในขณะที่พูด ก็มีภิกษุอีกรูปหนึ่งเดินเข้ามา แล้วส่งจดหมายฉบับหนึ่งให้

“ศิษย์พี่จิ้งซิน ผู้ดูแลจวนสกุลไฉนำจดหมายมาให้ บอกว่าส่งมาจากคนข้างนอกจวน กำชับว่าต้องส่งให้ถึงมือท่านเท่านั้น”

จิ้งซินเปิดซองจดหมายออกด้วยความสงสัย

สวี่ชีอันกลับไปที่โรงเตี๊ยมแล้วเคาะประตู

“ใครน่ะ”

เสียงระแวดระวังของมู่หนานจือดังขึ้นจากด้านหลังบานประตู

“ข้าเอง”

สวี่ชีอันรู้สึกได้ว่าน้ำเสียงของนางฟังดูแปลกไป จึงกล่าว “เปิดประตู เป็นอะไรไป”

‘แอ๊ด’

บานประตูถูกเปิดออก มู่หนานจือยินอยู่หน้าประตู สีหน้าดูเคร่งเครียด

สุนัขจิ้งจอกสีขาวขนาดเท่าฝ่ามือนอนหมอบอยู่แทบเท้าของนาง เสียงเล็กๆ ของมันแสร้งทำเป็นจริงจังขึ้นมา

“มีคนเฝ้าจับตามองพวกเราอยู่ ถ้าเจ้ายังไม่กลับมา ท่านป้าจะกลัวจนมุดไปอยู่ใต้เตียงแล้วนะ”

…………………………………………….

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง