บทที่ 548 เหยื่อล่อ
“ผู้อาวุโสสวี?”
เมื่อเทพบุตรเห็นแมวสีส้มเข้ามาในห้องก็ตะลึงไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็ยิ้มแย้มแจ่มใสแล้วเอ่ยเสียงเบา “ผู้อาวุโสมาได้อย่างไร มิใช่บอกว่าช่วงหลายวันนี้บอกว่าจะไม่เห็นหน้าหรอกหรือ”
แมวสีส้มเอ่ยภาษามนุษย์ออกมาว่า “บอกว่าเจ้าอย่ามาเจอข้า ไม่ได้บอกว่าข้าจะไม่มาเจอเจ้า”
ผ่านไปพักหนึ่งเขาก็บ่นออกมา “เจ้าจำข้าได้ยังไงกัน”
“ก่อนหน้านี้ผู้อาวุโสมิใช่บอกหรือว่าจะใช้ซินกู่ควบคุมแมวให้เข้ามาในจวนสกุลไฉเพื่อพบกับไฉเสียน?” หลี่หลิงซู่ยิ้ม
จากนั้นเทพบุตรก็เห็นแมวส้มตัวแข็งทื่ออยู่ตรงนั้นแล้วตกอยู่ในภวังค์ความคิด
‘ข้าพูดอะไรผิดไปอย่างนั้นหรือ’ สีหน้าของหลี่หลิงซู่งุนงง
สมควรตาย ข้าเสพติดความเป็นนักบวชเต๋าจินเหลียนมาโดยไม่รู้ตัวอย่างนั้นหรือ?! ไม่ ไม่ใช่ เหตุผลหลักๆ เป็นเพราะแมวสามารถปีนหลังคาข้ามกำแพงไปมาได้ราวกับสายลม ส่วนสุนัขแอบเข้ามาในจวนสกุลไฉไม่ได้อยู่แล้ว…
แม้ว่าจะเข้ามาได้ก็อาจจะถูกภิกษุฆ่าไปทำหม้อไฟสุนัขไปแล้ว…สวี่ชีอันพึมพำอยู่ในใจอย่างสับสน
หลี่หลิงซู่มีคำถามมากมายที่อยากจะถามออกมา แต่เมื่อเห็นจู่ๆ ก็เห็นผู้อาวุโสที่สูงส่งคาดเดาไม่ได้เริ่มคิดใคร่ครวญถึงชีวิตขึ้นมา เขาก็ไม่อยากจะรบกวน จึงได้แต่นั่งรอตาใส
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง สวี่ชีอันก็กลับมามีสติแล้วเอ่ยต่อ “รินชาสักถ้วยซิ ข้ารู้สึกคอแห้ง”
คนที่คอแห้งน่ะไม่ใช่เขา แต่เป็นแมว ทว่าความรู้สึกกระหายก็ยังถูกส่งกลับมาให้สวี่ชีอันที่อยู่ในร่างของมันเหมือนกัน
หลี่หลิงซู่รีบรินชาจนเต็มหนึ่งถ้วยทันที
สัญชาตญาณแมวพุ่งเข้ามาแล้วกระโดดขึ้นโต๊ะ มันไม่ได้รีบร้อนชิมรสน้ำชาทันที แต่เหลือบมองไปยังที่นอนที่ยับยุ่ง
ประสาทรับกลิ่นของแมวมีมากกว่ามนุษย์หลายสิบเท่า ดังนั้นมันจึงได้กลิ่นหอมหวานอย่างง่ายดาย
สวี่ชีอันพยายามฝืนกลั้นผลข้างเคียงของฉิงกู่อย่างยากเย็นแล้วร้อง ‘อา’ ออกมา “ชีวิตดูมีความสุขดีนี่”
เมื่อได้ยินดังนั้น สีหน้าของหลี่หลิงซู่ขมขื่นและบึ้งตึง
“ผู้อาวุโส ท่านจะนำฉิงกู่มาออกไปได้เมื่อไหร่หรือ ตอนนี้ทุกครั้งที่ข้าเห็นซิ่งเอ๋อร์ก็จะควบคุมความหุนหันของตัวเองไม่อยู่เลย ในหัวคิดแต่เรื่องของนาง แค่นางตวัดนิ้วร้องเรียก ข้าก็อยากจะพุ่งเข้าใส่อย่างควบคุมไม่ไหว”
เขาพูดพลางใช้มือกดช่วงเอวของตนเอาไว้ด้วย
อวดเบ่งอีกแล้ว…สวี่ชีอันทำหน้าไร้อารมณ์แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“รอให้เรื่องจบลงแล้วข้าจะถอนกู่ออกให้เจ้า หากถอนเอาตอนนี้จะเป็นการตีหญ้าให้งูตื่น แล้วทำให้ไฉซิ่งเอ๋อร์รู้ตัวได้”
‘มีแต่ต้องทำเช่นนี้เท่านั้นสินะ!’ หลี่หลิงซู่ถอนหายใจแล้วคิดจะหาเวลาว่างไปหลอมยาสักหม้อเพื่อเสริมกำลัง ต่อมาเขาก็นึกถึงห้องใต้ดินแล้วเอ่ยว่า
“เมื่อครู่มีคนมาบอกซิ่งเอ๋อร์ว่าห้องใต้ดินมีคนบุกรุกเข้าไป ศพของไฉเจี้ยนหยวนถูกชำแหละแล้ว”
พูดพลางเขาก็กดเสียงต่ำ “ผู้อาวุโส ฝีมือท่านหรือ”
สวี่ชีอันพยักหน้า
‘ที่แท้ก็เป็นเขาจริงๆ ด้วย’…หลี่หลิงซู่ที่ได้รับคำตอบที่แน่ชัดก็รีบเอ่ยถามต่อทันที “แล้วได้อะไรหรือไม่?”
“มีความเป็นไปได้อย่างมากว่าไฉเสียนจะเป็นบุตรนอกสมรสของไฉเจี้ยนหยวน” สวี่ชีอันบอก
จากนั้นเขาก็เห็นสีหน้าของหลี่หลิงซู่เปลี่ยนไปอย่างรุนแรง ดวงตาเบิกกว้าง ทั้งตกตะลึงและไม่อยากเชื่อ
หลังจากนั้นหลี่หลิงซู่ก็เอ่ยเสียงเบา “แน่ใจหรือ?”
“ไฉเสียนมีหกนิ้ว ไฉเจี้ยนหยวนก็มีหกนิ้วเช่นกัน อาจจะเป็นที่กรรมพันธุ์ ไม่อย่างนั้นไม่มีทางเกิดเรื่องบังเอิญเช่นนี้หรอก”
หลี่หลิงซู่เงียบงันไปพักใหญ่ “มิน่าไฉเจี้ยนหยวนถึงอยากจะให้ไฉหลานแต่งให้กับตระกูลหวงฝู่ เขาไม่อาจยอมรับให้ไฉหลานแต่งงานกับไฉเสียนได้”
จากนั้นก็พลันมีปฏิกิริยาขึ้นมาทันที “ไฉเสียนไม่รู้ถึงตัวตนที่แท้จริงของตัวเอง!”
เรื่องนี้เดาได้ง่ายมาก ถ้าหากรู้ว่าตนคือบุตรนอกสมรส ก็จะไม่มีทางรักไฉหลานแน่นอน
“ไม่ เรื่องนี้เขาอาจจะรู้ก็ได้ ดังนั้นจึงโกรธจนสังหารไฉเจี้ยนหยวนเพื่อฝังความลับที่ตนเป็นบุตรนอกสมรสไป จากนั้นก็ครอบครองไฉหลานไว้แต่เพียงผู้เดียว” หลี่หลิงซู่ราวคิดขึ้นมาได้
จะออกหมัดก็ต้องรู้กฎ จะวิเคราะห์คดีก็ต้องมีตรรกะเป็นเหตุเป็นผลด้วยสิ…สวี่ชีอันบ่นอยู่ในใจแล้วยิ้มเยาะ
“เจ้าแน่ใจได้อย่างไรว่าไฉเสียนรู้ตัวตนของตัวเอง และแน่ใจได้อย่างไรว่าไฉเสียนรู้ว่าในจวนสกุลไฉ มีแค่ไฉเจี้ยนหยวนคนเดียวที่รู้ว่าเขาเป็นบุตรนอกสมรสล่ะ? แม้ว่าเรื่องนิ้วเท้าหกนิ้วจะเป็นความลับ แต่คนที่ใกล้ชิดและพวกผู้อาวุโสส่วนใหญ่ก็รู้ทั้งนั้น”
สีหน้าของหลี่หลิงซู่แข็งทื่อ “ก็ใช่”
แมวส้มจิบน้ำชาไปสองสามคำแล้วเอ่ยต่อ “อีกอย่าง ก่อนที่ไฉเจี้ยนหยวนจะตายก็มีร่องรอยถูกพิษ ดังนั้นเขาจึงถูกสังหารอยู่ในห้องหนังสือ และคนที่วางยาพิษส่วนใหญ่มักจะเป็นคนใกล้ตัว”
“ผู้อาวุโสสงสัยว่าจะเป็น…”
สวี่ชีอันตอบรับสายตาเอ่ยถามจากหลี่หลิงซู่แล้วพยักหน้า
“ใช่ ข้าสงสัยว่าจะเป็นไฉซิ่งเอ๋อร์ พิษชนิดนั้นไม่ใช่สิ่งที่คนทั่วไปจะปรุงขึ้นมาได้ นอกเสียจากเป็นปรมาจารย์ตู๋กู่ที่ลงมือเสียเอง ไฉซิ่งเอ๋อร์เคยไปซินเจียงตอนใต้มาแล้วมิใช่หรือ ทั้งยังได้รับฉิงกู่มาอีกด้วย”
สีหน้าของหลี่หลิงซู่ย่ำแย่มาก
เขาคิดว่าตัวเองยังรู้จักเลือกผู้หญิงอยู่นะ บรรดาคนสนิทที่เคยมีวาสนาต่อกันล้วนมีบุคลิกและอุปนิสัยเฉพาะตนทั้งนั้น อีกทั้งใบหน้ารูปร่างก็ต้องโดดเด่นอย่างยิ่งยวด
อย่างที่สองในด้านอุปนิสัย ก็ต้องห้ามมีความคิดชั่วร้ายจิตใจดำมืด ไม่อย่างนั้นปรัชญาสามทัศน์คงขัดกัน ไม่อาจเอ่ยถึงเรื่องรักๆ ใคร่ๆ ได้อยู่แล้ว
แม้แต่สองพี่น้องตงฟางก็ไม่ใช่พวกกระหายโลหิต ถึงจะบอกว่ามีความขัดแย้งกับสวีเชียนที่เหลยโจวหลายต่อหลายครั้ง แต่นั่นก็เป็นเพียงจุดยืนที่แตกต่างกัน จึงยากจะหลีกเลี่ยงการต่อสู้
ในความคิดของเขา ไฉซิ่งเอ๋อร์มีเล่ห์เหลี่ยม มีความทะเยอทะยาน และมีฝีไม้ลายมือ บุคลิกของนางเหมือนดอกติงเซียงที่ผูกอยู่กับความโศกเศร้า ทั้งน่ารักน่าสงสาร ไม่ใช่ผู้หญิงธรรมดาๆ เลยจริงๆ
แต่ไฉซิ่งเอ๋อร์ไม่มีทางเป็นคนที่ศีลธรรมตกต่ำแน่นอน
ทว่าช่วงนี้เมื่อสืบคดีลึกลงไป เขาก็เริ่มเกิดความสงสัยขึ้นทีละน้อยๆ
“ที่ข้ามามิใช่เพื่อจะมาคุยเล่นกับเจ้าหรอกนะ”
แมวส้มยกอุ้งเท้าตบโต๊ะ ขัดจังหวะความคิดที่ฟุ้งซ่านของหลี่หลิงซู่
“ผู้อาวุโสเชิญกล่าว”
หลี่หลิงซู่เอ่ยเสียงเบา
“เหตุใดไฉเจี้ยนหยวนจึงต้องปกปิดตัวตนของไฉเสียน เจ้าเคยคิดถึงเรื่องนี้หรือไม่”
หลี่หลิงซู่นิ่งไป ผ่านไปพักหนึ่งก็เข้าใจในความหมายของสวีเชียน ในตระกูลที่เป็นผู้ทรงอิทธิพล บุตรนอกสมรสมิใช่เรื่องที่น่าอับอายจนต้องเก็บซ่อน
เช่นนั้นเหตุใดไฉเสียนถึงถูกเลี้ยงดูอยู่นอกจวนสกุลไฉในฐานะของลูกบุญธรรมเล่าไอรีนโนเวล
หลี่หลิงซู่เอ่ยอย่างครุ่นคิด “ถ้าหากเหตุผลไม่ได้อยู่ที่ไฉเจี้ยนหยวน เช่นนั้นปัญหาก็อยู่ที่ตัวของไฉเสียน ภูมิหลังของเขามีความลับอะไรกัน”
แมวส้มหัวเราะแผ่วเบา “ก่อนที่คำตอบจะถูกเปิดเผย ไม่ว่าข้อสงสัยใดๆ ก็ล้วนแต่เป็นไปได้ทั้งนั้น แต่จำไว้ว่าจะต้องมีหลักฐานด้วย ข้าจำได้ว่าเทพเจ้าหยินของลัทธิเต๋าทำหน้าที่เป็นเทพประจำเมืองในสมัยโบราณ โดยจะเก็บเกี่ยวดวงวิญญาณของผู้คนโดยเฉพาะ”
หลี่หลิงซู่ตอบรับ ‘อืม’
“ในสมัยโบราณ มีกฎอยู่สองชุด ชุดหนึ่งคือกฎของฝั่งหยาง อีกชุดคือกฎเหตุต้นผลกรรมของฝั่งหยิน ลัทธิเต๋านั้นใช้กฎหยิน แต่ต่อมากฎหยินชุดนี้ก็เริ่มเสื่อมถอยจนกระทั่งเลิกใช้ไปในที่สุด ใช่แล้ว ข้าเคยอ่านประวัติศาสตร์ช่วงนี้ในตำราโบราณของนิกายสวรรค์ แต่ไม่เคยคิดเกี่ยวกับมันอย่างละเอียด ผู้อาวุโสเห็นว่าอย่างไรหรือ?”
บุคคลเก่าแก่อย่างสวีเชียนย่อมต้องรู้ความลับที่หลายคนไม่รู้แน่นอน
แมวส้มนิ่งคิดไปพักหนึ่งก็รวบรวมความลับที่เขาได้จากศพโบราณแล้วเอ่ยออกมาว่า
“ในยุคโบราณ มีเพียงกฎการฝึกตนสองสาย หนึ่งคือวิทยายุทธ์ ส่วนอีกสายคือ ‘เต๋า’ ของลัทธิเต๋า ระบบวิชาเต๋านั้นสมบูรณ์แบบกว่าระบบของจอมยุทธ์ และมีมานานกว่าด้วย หรือพูดอีกอย่างก็คือ ใต้หล้าในยุคโบราณนั้นเป็นของวิชาเต๋า นั่นคือสภาพแวดล้อมที่มีกฎหยินดำรงอยู่ ทั้งยังเหนือกว่าอีกด้วย แต่วิทยายุทธก็เริ่มรุ่งเรืองขึ้นมา คนจากซินเจียงตอนใต้เริ่มคิดค้นวิชากู่ พระพุทธเจ้าประกาศศาสนา เทพแห่งพ่อมดถือกำเนิด…วิชาเต๋ายากจะครองใต้หล้าไว้ได้อีกครั้ง กฎแห่งหยินก็ย่อมเลือนหายไปตามธรรมชาติ”
ส่วนลัทธิขงจื๊อและโหรนั้นเพิ่งจะปรากฏขึ้นมาในยุคใหม่ ปราชญ์ขงจื๊อคือบุคคลเมื่อสองพันกว่าปีก่อน ส่วนโหรมีอายุหกร้อยปีเหมือนกับอาณาจักร
‘ในยุคโบราณมีเพียงวิทยายุทธและวิชาเต๋าเท่านั้น…เช่นนี้ก็เข้าใจถึงการปรากฏขึ้นของวิชาหยินแล้ว ต่อมาเมื่อสายการฝึกตนต่างๆ พากันโผล่ขึ้นมา ลัทธิเต๋าจึงมิใช่ผู้ที่มีสิทธิ์ขาดอีกต่อไป’…สวีเชียนช่างเป็นบุคคลเก่าแก่เสียจริง เขารู้เรื่องความลับมากมายนัก
หลี่หลิงซู่ทอดถอนใจ “สมัยนั้นลัทธิเต๋าของพวกเรารุ่งโรจน์ไร้ใดเทียม แต่วันนี้กลับอ่อนแอจนแตกแขนงมาเป็นลัทธิเต๋าสามนิกาย”
เขาพูดไปพลางชำเลืองมองสวีเชียนไปด้วย เพราะคิดอยากจะล้วงความลับอื่นๆ ออกมาอีก
สวี่ชีอันหันไปเอ่ยเสียงเรียบโดยไม่สนใจเขา “กลับเข้าเรื่องเดิม วิชาสู่ฝันของลัทธิเต๋าสามารถเข้าไปไต่ถามในความฝันได้เหมือนกับเมิ่งอู พ่อมดแห่งฝันหรือไม่”
หลี่หลิงซู่ขมวดคิ้วครุ่นคิด
“ไม่อาจควบคุมแดนฝันได้สมบูรณ์เหมือนอย่างเมิ่งอู เมื่อเทพเจ้าหยินเข้าสู่ฝันเกี่ยววิญญาณ จะสามารถใช้กับคนธรรมดาหรือคนอ่อนแอที่มีระดับขั้นต่ำกว่าตนเป็นอย่างมากได้เท่านั้น หากจะให้สอบถามในฝัน ถ้าอีกฝ่ายเป็นปุถุชนก็พอจะทำได้ แต่ถ้าหากผู้อาวุโสอยากให้ข้าเข้าไปสอบถามซิ่งเอ๋อร์ อย่าว่าแต่พลังฝึกตนของข้ายังไม่ถูกปลดผนึก เพราะต่อให้ข้ามีพลังสมบูรณ์พูนพร้อมก็คงจะทำไม่ได้ ซิ่งเอ๋อร์เป็นขั้นห้าสลายแรง ผู้ที่ลงมือได้มีแต่เมิ่งอูขั้นสี่”
แมวส้มส่ายหน้าเงียบๆ
“ไม่ใช่นาง แต่เป็นบรรดาบุตรของไฉเจี้ยนหยวน เจ้าเลือกสอบถามผู้ที่อ่อนแอที่สุดก็พอ ถามเขาเกี่ยวกับเรื่องของไฉเสียน สมัยเด็กๆ ไฉเสียนถูกพากลับจวนสกุลไฉแล้วเติบโตมาด้วยกันกับบุตรธิดาของไฉเจี้ยนหยวน ไม่มีใครรู้จักไฉเสียนได้ดีไปกว่าพวกเขาอีกแล้ว”
หลี่หลิงซู่พยักหน้าแสดงท่าทางว่าไม่มีปัญหา จากนั้นก็เอ่ยขึ้นราวกับนึกอะไรได้
“จริงสิผู้อาวุโส เมื่อคืนก่อนข้าพบว่าซิ่งเอ๋อร์ออกไปข้างนอกยามดึกดื่นอยู่ตั้งนานสองนาน สักประมาณสองเค่อถึงจะกลับมา ข้าถอดจิตติดตามนางไปและพบว่านางไปยังส่วนลึกของเรือนทางใต้ สัญชาตญาณจอมยุทธ์อ่อนไหวมาก ข้าจึงไม่กล้าเข้าไปใกล้นัก ดังนั้นจึงไม่รู้ว่านางไปยังส่วนใดของเรือนทางใต้”
แมวส้มแตะใบหน้าแมวๆ ของตัวเองแล้วเผยสีหน้าเคร่งขรึมออกมา “ชั่วยามใด?”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง