ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง นิยาย บท 554

บทที่ 554 ฆ่าตัวตาย (2)

ไฉซิ่งเอ๋อร์เงียบอยู่นาน ดวงตาฉายแววเคียดแค้น “พวกท่านก็รู้ว่าวันนั้นสามีของข้าออกไปทำงานกับพี่ใหญ่ เหตุใดเขาจึงถูกศัตรูซุ่มโจมตีกันล่ะ”

นางร้อง ‘หึ’ ออกมา มองไปรอบๆ และยิ้มหยัน “มันไม่มีศัตรูอะไรทั้งนั้นแหละ พี่ใหญ่เป็นคนสร้างสถานการณ์ทั้งหมด”

“ไร้สาระ”

ไฉหลานปฏิเสธเสียงดังและสะอื้น “เหตุใดท่านพ่อต้องทำเช่นนั้นด้วย ท่านอา ท่านทำร้ายท่านพ่อแล้วยังจะป้ายสีเขาอีกหรือ”

ไฉซิ่งเอ๋อร์ยิ้มเยาะ

“แน่นอนว่าเป็นเพราะทายาทชั่วช้าของเขา ข้ากับสามีต่างก็อยู่ขั้นห้า เขาแต่งงานเข้าตระกูลไฉจึงถือเป็นคนตระกูลไฉ ทว่าลูกชายทั้งสองคนของพี่ใหญ่ไม่ประสบความสำเร็จใดๆ มีเพียงไฉเสียนที่มีคุณสมบัติยอดเยี่ยม แต่กลับต้องทุกข์ทนจากอาการละเมอเดิน ขณะที่ค้นหาวิธีรักษา เขาก็กังวลถ้าไม่สามารถรักษาอาการละเมอเดินของไฉเสียนได้ ด้วยสถานะลูกบุญธรรมของเขาจะสืบทอดตำแหน่งผู้นำตระกูลได้อย่างไร แล้วคนในตระกูลจะสนับสนุนคนนอกหรือพวกเราสามีภรรยาล่ะ ตอนที่ยังมีชีวิต เขามั่นใจว่าจะปราบพวกเราสองสามีภรรยาได้ แต่หากเขาตาย ตระกูลไฉก็คือหมูในอวยของพวกเราสามีภรรยา

“ดังนั้นเขาจึงต้องการใช้ประโยชน์จากการไม่มีลูกของข้า กำจัดสามีของข้าเพื่อรักษาความสมดุล ด้วยวิธีนี้ แม้ว่าอาการป่วยของไฉเสียนจะไม่สามารถรักษาได้ก็ยังให้ไฉเสียนช่วยเหลือพี่รองหรือพี่สามได้ในฐานะบุตรบุญธรรม เพื่อให้ตำแหน่งผู้นำตระกูลของตระกูลไฉไม่ตกอยู่ในมือข้า เขาทำให้สามีของข้าตายอย่างอเนจอนาถ ข้าจึงแก้แค้นกับลูกสาวสุดที่รักของเขา แต่อย่างไรเสียหลานเอ๋อร์ก็เป็นหลานสาวของข้า ข้าจึงไม่อาจทำใจฆ่านางทิ้งได้”

“เป็นเช่นนี้ไปได้อย่างไร…” หลี่หลิงซู่ไม่นึกว่าเบื้องหลังของคดีนี้จะมีความลับเช่นนี้อยู่

“อามิตตาพุทธ ชื่อเสียงและลาภยศเป็นเพียงเมฆที่เลื่อนลอย ประสกไฉเจี้ยนหยวนเห็นแก่ตัวจึงทำผิดพลาดครั้งใหญ่ สีกาไฉซิ่งเอ๋อร์ก็ทำผิดพลาดครั้งใหญ่เช่นกันเพราะไม่ละทิ้งความโกรธเกลียด”

จิ้งซินส่ายหน้าและถอนใจ

“ข้าไม่เชื่อ ข้าไม่เชื่อ…”

ไฉหลานส่ายหน้าสุดชีวิต

ไฉซิ่งเอ๋อร์มองไปทางสวี่ชีอัน “ผู้อาวุโสสวี หากท่านไม่เชื่อ ท่านสามารถใช้คาถาสอบสวนข้าได้”

“ข้าเชื่อ” สวี่ชีอันพยักหน้าและยิ้ม “แต่เจ้าก็ยังโกหก”

คราวนี้ทุกคนต่างเบนสายตาจากไฉซิ่งเอ๋อร์ไปที่สวี่ชีอัน

ไฉซิ่งเอ๋อร์หน้าเปลี่ยนสี

“สิ่งที่เจ้าพูดเป็นความจริง ตอนนั้นไฉเจี้ยนหยวนทำร้ายสามีของเจ้าจริงๆ แต่เรื่องนี้ไม่เกี่ยวอะไรกับการกักขังไฉหลาน เจ้าทำใจไม่ได้ อย่างมากก็แค่ไม่ฆ่านาง ทำใจได้ก็ฆ่านาง เจ้าพูดมาต่างๆ นานา แต่ที่จริงก็แค่กำลังเบี่ยงเบนความสนใจของพวกเรา”

ต่อหน้าข้ากล้าเบี่ยงเบนความสนใจและยังแอบเปลี่ยนแนวคิดอีก หึ คุณผู้หญิง เจ้าไม่รู้สินะว่าคำว่าฆ้องเงินสวี่เขียนว่าอย่างไร…สวี่ชีอันแค่เกลียดตัวเองที่ไม่มีตาที่สามารถสะท้อนแสงอย่างเฉียบคมได้

“นอกจากนี้ ไฉเจี้ยนหยวนก็มีลูกชายสองคน หากเจ้าอยากแก้แค้นเขา เจ้าก็ควรเลือกหลานชายทั้งสองไม่ใช่หรือ เหตุใดจึงเลือกหลานสาว หากข้าเดาไม่ผิด จุดประสงค์ที่เจ้ากักขังไฉหลานเพราะอยากให้ไฉเสียนอยู่ที่เซียงโจว”

‘ตึกๆๆ’ ไฉซิ่งเอ๋อร์ถอยหลังไปครั้งแล้วครั้งเล่า สีหน้าของนางประหลาดมากราวกับเห็นปีศาจ

ความลับของนางถูกมองออกทั้งหมด

“ท่าน ท่านเป็นใครกันแน่!?” ไฉซิ่งเอ๋อร์กรีดร้อง

หลี่หลิงซู่กับจิ้งซินฟังเข้าใจบ้าง ส่วนคนอื่นๆ คิดตามไม่ทันแล้ว

รวมถึงไฉเสียนกับไฉหลานด้วย

“ข้าเป็นใครไม่สำคัญ ตอนนี้เจ้าโปรดตอบข้อสงสัยข้อสุดท้ายของข้าก่อน เหตุใดเจ้าถึงต้องการให้ไฉเสียนอยู่ที่เซียงโจว”

ไฉซิ่งเอ๋อร์กัดฟันและไม่ยอมพูดอะไรสักคำ

สวี่ชีอันดีดนิ้ว

เหิงอินยืดตัวตรง ก้าวเท้าเข้ามาและยกมือขึ้นทำวันทยหัตถ์ “Yes sir”

จากนั้นผู้นำวัดซานฮัวก็ประนมมือและเอ่ยช้าๆ “ห้ามมุสา!”

พลังที่ไร้รูปแต่น่าเกรงขามปกคลุมไฉซิ่งเอ๋อร์ ทำให้นางอยู่ในสภาวะที่ไม่สามารถโกหกได้

“เหตุใดจึงต้องกักขังไฉหลาน” สวี่ชีอันถาม

ใบหน้าของไฉซิ่งเอ๋อร์บิดเบี้ยวไปชั่วขณะ แต่ก็ไม่สามารถฝืนใจตัวเองได้ จึงพูดไปตามจริง “เพื่อให้ไฉเสียนอยู่ที่เซียงโจว”

เป็นแบบนั้นจริงๆ ด้วย!

ทุกคนในที่นี้เข้าใจทันที ทุกอย่างเป็นไปตามที่สวีเชียนคาดเดาไอรีนโนเวล

“เหตุผลคืออะไร” สวี่ชีอันถามคำถามที่สำคัญที่สุดออกมา

…ใบหน้าอันงดงามของไฉซิ่งเอ๋อร์บิดเบี้ยวไปหมด นางพูดออกมาทีละคำ

“เขา เขาคือผู้ถูกปราณมังกรอาศัย…ก่อนที่ผู้นำจะมาถึง ข้าไม่สามารถปล่อยให้เขาออกจากเซียงโจวได้”

‘นางรู้เรื่องผู้ถูกปราณมังกรอาศัย?!’ สวี่ชีอันกับจิ้งซินหน้าเปลี่ยนสี

‘ผู้ถูกปราณมังกรอาศัยคือปราณมังกรเหรอ แล้วอะไรคือปราณมังกร ระหว่างที่ข้าถูกพี่น้องตำหนักมังกรตงไห่กักขังอยู่ครึ่งปี เกิดอะไรขึ้นกับโลกภายนอกกัน’ หลี่หลิงซู่คิดอย่างงุนงง

ภายในเจดีย์พุทธะ เขารู้ว่ามังกรจินหลงที่สวีเชียนกับสำนักพุทธปล้นไปนั้นเรียกว่าปราณมังกร

แต่ไม่รู้ข้อมูลมากกว่านั้น สวีเชียนไม่ได้บอกเขา

สวี่ชีอันมีสีหน้าเคร่งขรึม เขาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งและถามว่า “ตัวตนของเจ้าคืออะไร”

ไฉซิ่งเอ๋อร์ดิ้นรนอยู่หลายวินาที “ข้าคือสายสืบของ ‘ตำหนักความลับสวรรค์’ มาเพื่อรวบรวมข้อมูลของจางโจวกับยุทธภพให้องค์กร”

“ตำหนักความลับสวรรค์คือองค์กรอะไรและอยู่ในกลุ่มอิทธิพลใด”

“ข้า ข้าไม่รู้…”

“บอกสิ่งที่เจ้ารู้มาให้หมด” สวี่ชีอันเอ่ยอย่างเคร่งขรึม

“ไม่นานมานี้ องค์กรส่งข่าวมา บอกให้ข้าสังเกตว่าเกิดเรื่องผิดปกติขึ้นที่เขตแดนจางโจวหรือไม่ นี่รวมถึงเหตุการณ์ใหญ่ๆ ที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน ชาวยุทธภพที่จู่ๆ ก็มีชื่อเสียงและยอดฝีมือที่ตบะพัฒนาขึ้นอย่างก้าวกระโดด ข่าวบอกว่า ชีพจรมังกรของต้าฟ่งแตกสลาย ปราณมังกรกระจัดกระจายไปตามแคว้นต่างๆ ในที่ราบตอนกลางและเลือกเจ้านายที่จะอาศัยอยู่ หลังจากนั้นไม่นาน ข้าก็พบว่าตบะของไฉเสียนพัฒนาขึ้นอย่างก้าวกระโดดและเข้าใจสลายแรงได้ภายในระยะเวลาอันสั้น

“ต้องรู้ก่อนว่า เขาเพิ่งก้าวเข้าสู่ขั้นหกเมื่อปีก่อน ด้วยคุณสมบัติของเขา อย่างน้อยต้องใช้เวลาห้าปีถึงจะเข้าใจขั้นสลายแรง ข้าจึงรายงานข่าวนี้ให้ผู้นำทราบ ขณะรอข่าวข้าก็จับตาดูไฉเสียนไปด้วย ทันใดนั้นข้าก็รู้ว่านี่เป็นโอกาสอันดีที่จะได้แก้แค้นพี่ใหญ่ และยังฉวยโอกาสควบคุมตระกูลไฉได้อีก ดังนั้นข้าจึงวางแผนทั้งหมดนี้…”

หลี่หลิงซู่หลับตาและถอนหายใจ “ซิ่งเอ๋อร์ เจ้าเป็นคนเปิดเผยข้อมูลของข้ากับผู้อาวุโสสวีให้พวกจิ้งซินรู้ใช่หรือไม่”

ไฉซิ่งเอ๋อร์พยักหน้าอย่างขมขื่น

“ข้ากักขังไฉหลานเพื่อรั้งไฉเสียนไว้ รอให้ผู้นำมาถึง ไม่คิดว่าพวกท่านจะมาและยังมีสำนักพุทธอีก ทว่าพวกท่านอยากรู้อยากเห็นเรื่องไฉเสียนมากเกินไป ทำให้ข้าไม่มีทางเลือก เพื่อไม่ให้พวกท่านพบไฉเสียนและทำลายเรื่องราวของข้า ข้าจึงเปิดเผยข้อมูลของท่านกับเขาให้สำนักพุทธรู้ เพื่อให้พวกท่านพุ่งความสนใจไปที่การรับมือกันและเมินเฉยไฉเสียนไป น่าเสียดายที่จิ้งซินไม่ได้เจอผู้อาวุโสสวี”

ข้ามีวิชา ‘ดวงดาราผันเปลี่ยน’ ของเทียนกู่ เขาไม่มีทางเจอข้าแน่นอนอยู่แล้ว…ตำหนักความลับสวรรค์ ชื่อนี้ฟังดูคุ้นๆ ถ้าเดาไม่ผิด มันคือองค์กรสายลับที่คนไม่เอาไหนก่อตั้งขึ้นนี่ กลุ่มอิทธิพลของยุทธภพธรรมดาๆ ไม่มีทางรู้ว่าปราณมังกรกระจัดกระจายไป ในฐานะหนึ่งในผู้ร้ายที่ทำให้ปราณมังกรกระจัดกระจายไป เขาจะไม่รวบรวมปราณมังกรได้อย่างไร

ในฐานะ ‘โหรหลอมปราณ’ ระดับสองผู้วางแผนก่อกบฏ หน่วยสอดแนมกับสายลับของเขาไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในอวิ๋นโจว ข้าไม่ได้คิดว่าจะมาเจอเรื่องนี้ บางทีข้าควรจะตามเบาะแสของไฉซิ่งเอ๋อร์ไปและถอนรากถอนโคนสายลับของคนไม่เอาไหนเสีย…อืม คิดแบบนี้ก็ง่ายเกินไป ด้วยไอคิวของคนไม่เอาไหน เขาคงไม่ได้โง่ขนาดนั้น…สวี่ชีอันนวดหว่างคิ้ว

‘ปราณมังกรของต้าฟ่งกระจัดกระจายไปหรือ พวกเขากำลังพูดเรื่องอะไรกัน’ หลี่หลิงซู่รู้สึกตัวเองหลุดออกจากช่วงเวลานั้นอย่างอธิบายไม่ได้

เขามองไปทางคนอื่นๆ ทันทีและต้องตกใจเมื่อพบว่า นอกจากไฉเสียนกับไฉหลานที่เป็นเหมือนเขา คนอื่นๆ ก็ไม่ตกใจแม้แต่น้อยเหมือนกับว่ารู้มานานแล้ว

‘เดี๋ยวนะ ปราณมังกรหรือ ชีพจรมังกร?!’

หลี่หลิงซู่นึกขึ้นได้ทันทีว่า เขาเคยอ่านเกี่ยวกับชีพจรมังกรในคัมภีร์โบราณของนิกายสวรรค์

ดังนั้นเขาจึงนึกถึงเหตุการณ์ที่จักรพรรดิแห่งต้าฟ่งถูกฆ้องเงินสวี่คนนั้นตัดหัว

สองเรื่องนี้เกี่ยวข้องกันหรือไม่

เวลานี้ จิ้งซินก็พลันเอ่ยขึ้น “ประสกสวีตั้งใจจะจัดการพวกเขาและพวกอาตมาอย่างไรหรือ”

สิทธิ์ตัดสินเป็นตายของทุกคนในที่นี้อยู่ในกำมือของสวี่ชีอัน

เขามองไปทางไฉเสียนก่อน

การสกัดปราณมังกรเป็นสิ่งจำเป็น ส่วนไฉเสียน เขาก่อคดีฆาตกรรมมากมาย แต่เขาเป็นผู้ป่วยทางจิต จึงไม่ใช่อาชญากรรมส่วนตัว ตามกฎหมายที่ข้าได้รับการปลูกฝังมาเมื่อชาติก่อน คนประเภทนี้ควรถูกขังในโรงพยาบาลจิตเวชและออกมาไม่ได้ชั่วชีวิต…แต่ตามกฎหมายของต้าฟ่ง คนประเภทนี้จะถูกแล่เนื้อเถือหนังจนตาย…ข้าเหมาะกับการคลี่คลายคดีเท่านั้น ไม่ควรเป็นผู้พิพากษา

สวี่ชีอันกำลังไตร่ตรอง

ตอนนี้เอง ไฉเสียนก็เงยหน้าขึ้นและพูดว่า “ช่วยแก้เชือกให้ข้าได้หรือไม่”

สีหน้าของเขาสงบนิ่ง น้ำเสียงก็ดูสุขุมลุ่มลึกราวกับตัดสินใจได้นานแล้ว

สวี่ชีอันชักดาบไท่ผิงออกมา ดาบส่องประกายและตัดเชือกเวทมนตร์ขาดอย่างง่ายดาย

ไฉเสียนพยักหน้ามาทางเขาและเอ่ยเสียงเบา “ความผิดที่ข้าก่อไว้ ข้าขอชดใช้ด้วยชีวิต เขาพูดถูก ข้าขี้ขลาด ข้าไม่กล้าเผชิญหน้ากับตัวเอง”

เขานี่หมายถึงอีกบุคลิกหนึ่งสินะ

“ตอนข้าอายุแปดขวบ แม่ของข้าเสียชีวิตเพราะโรคภัยไข้เจ็บ ข้าจึงเริ่มขอทานเพื่อหาเลี้ยงชีพ ถูกรังแก ตอนที่หิวโหยก็ยังต้องแย่งอาหารกับสุนัข ช่วงเวลาที่ยากเข็ญที่สุด ข้าแทบอยากจะตายในทันที ความตายก็คือการหลุดพ้นอย่างหนึ่ง ข้าชิงชังพ่อผู้ให้กำเนิดอยู่ตลอด ต่อมาพ่อบุญธรรมก็พบข้าและพาข้ากลับมาที่ตระกูลไฉ…”

เขาหันไปมองไฉหลานที่อยู่ข้างกายและยิ้มอย่างอ่อนโยน “ข้าพบความหมายของการมีชีวิตอยู่ แต่น่าเสียดายที่มันเป็นเพียงภาพลวงตา”

ไฉเสียนยื่นมือออกไป อยากจะลูบแก้มของไฉหลานแต่ก็ชะงักค้างกลางอากาศ

“หากสามารถย้อนเวลากลับไปได้ ข้าจะไม่เข้าตระกูลไฉ และขอให้ชั่วชีวิตนี้ไม่ได้พบกับเจ้า”

มือที่ชะงักค้างกลางอากาศหดกลับและตบที่ระหว่างคิ้วของตัวเอง

‘เผียะ!’

ท่ามกลางเสียงกระดูกแตก ตามด้วยเสียงกรีดร้องของไฉหลาน ร่างของไฉเสียนแข็งค้างทันที เลือดไหลออกมาจากเบ้าตา จากนั้นร่างของเขาก็ล้มลงกับพื้นอย่างไร้เรี่ยวแรง

ปราณมังกรหนาแน่นบินออกมาจากร่างของไฉเสียนและพุ่งไปทางหลังคาด้วยท่าทางดุร้าย ต้องการจะหนีไปจากที่นี่

……………………………………………

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง