ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง นิยาย บท 58

สรุปบท บทที่ 58 ตั้งเป้าหมาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

ตอน บทที่ 58 ตั้งเป้าหมาย จาก ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง – ความลับ ความรัก และการเปลี่ยนแปลง

บทที่ 58 ตั้งเป้าหมาย คือตอนที่เปี่ยมด้วยอารมณ์และสาระในนิยายกำลังภายใน ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง ที่เขียนโดย Internet เรื่องราวดำเนินสู่จุดสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยใจตัวละคร การตัดสินใจที่ส่งผลต่ออนาคต หรือความลับที่ซ่อนมานาน เรียกได้ว่าเป็นตอนที่นักอ่านรอคอย

เวลากลางคืน จวนเวยอู่โหว

เวยอู่โหวที่มีภาพลักษณ์ของชายวัยกลางคนอ้วนท้วม นั่งบนเก้าอี้ด้วยสีหน้าดูไม่ได้

ในห้องโถงยังมีหญิงงามอีกสองคน หนึ่งในนั้นกำลังคุกเข่า นางร้องไห้จนใบหน้างามเปื้อนน้ำตา ดูเศร้าเสียใจอย่างยิ่ง

หญิงงามอีกคนปลอบโยนเบาๆ

วันนี้ลูกสาวคนรองหายไปอย่างแปลกประหลาด ประกอบกับเรื่องรถม้าที่พุ่งชนก่อนเกิดเหตุ เวยอู่โหวสรุปว่าลูกสาวของเขาถูกคนลักพาตัวไป

ในหัวของเขาคิดถึงศัตรูที่เป็นไปได้ จะพูดว่าศัตรูทางการเมืองก็ไม่น่าจะเป็นไปได้ อันที่จริงหลังจากตำแหน่งสืบทอดมาถึงรุ่นของเขา เขาก็ค่อยๆ ถูกเบียดออกจากเส้นขอบเวทีอำนาจของเมืองหลวงไป

แน่นอนว่า กลุ่มขุนนางยังคงเป็นกลุ่มผลประโยชน์ที่ไม่อาจละเลยได้

แต่โดยรวมกับส่วนตัวก็ยังมีความแตกต่างกันอยู่ เวยอู่โหวจำไม่ได้ว่าตัวเองมีศัตรูทางการเมืองที่ถึงขั้นลงทุนลักพาตัวหญิงสาวในบ้านของเขา

ส่วนศัตรูของครอบครัว ช่วงนี้เขาก็ไม่ได้เป็นศัตรูกับใคร

“ท่านพี่รายงานทางการแล้ว และแจ้งองครักษ์คุ้มกันส่วนพระองค์ที่คุ้มกันประตูเมืองแล้วเช่นกัน เจ้าอย่ากังวลไป อิงเอ้อร์จะกลับมา”

“ท่านพี่ เด็กสาวอ่อนแออย่างอิงเอ้อร์ นาง หากนางเจอกับอะไร…ถึงกลับมาก็มีชีวิตอยู่ไม่ได้”

ใบหน้าของเวยอู่โหวกระตุก สีหน้าอึมครึมขึ้นเรื่อยๆ

เวลานี้คนรับใช้วิ่งเข้ามาอย่างเร่งรีบ และตะโกนว่า “นายท่าน พบคุณหนูแล้ว…”

เวยอู่โหวกับฮูหยินสองคนรีบไปที่โถงด้านหน้า เห็นลูกสาวที่ใบหน้าซีดเผือดเปื้อนน้ำตา และกองดาบที่พากลับมา

หลังจากให้แม่บ้านมอบเงินให้กองดาบเป็นรางวัล เวยอู่โหวก็พินิจลูกสาวอยู่ครู่หนึ่ง และโล่งใจเล็กน้อย “อิงเอ้อร์ เกิดอะไรขึ้น”

จางอวี้อิงถูกแม่ที่ร้องไห้กอดไว้ในอ้อมแขน และคร่ำครวญ “เป็นลูกชายของบ้านรองเจ้ากรมโจวคนนั้นลักพาตัวข้า เขาไม่เพียงอยากทำให้ความบริสุทธิ์ของข้าแปดเปื้อนเท่านั้น ยังวางแผนจะฆ่าข้าเพื่อปิดปากอีกด้วย”

นางเล่าสิ่งที่ตัวเองได้ยินและได้เห็นออกมาทันที และเสริมอย่างสดใสว่าตัวเองใช้ประโยชน์จากความประมาทของคนคุ้มกัน และหนีออกจากถ้ำหมาป่าได้อย่างไร

“นายท่าน ท่านต้องจัดการให้ข้า จัดการให้อิงเอ้อร์” แม่ผู้ให้กำเนิดจางอวี้อิงสั่นไปทั้งตัวด้วยความโกรธ

“นายท่าน โจวลี่คนนั้นสบประมาทอิงเอ้อร์ครั้งแล้วครั้งเล่า สบประมาทจวนสกุลโหวของข้า” ภรรยาเอกเอ่ยอย่างขึงขัง

เวยอู่โหวโกรธจัดทันที ฝ่ามือตบโต๊ะจนแตก และสั่นไปทั้งตัวด้วยความโกรธ “คนแซ่โจวจะข่มเหงกันเกินไปแล้ว!”

วันรุ่งขึ้น

ประตูอู่เหมิน ประตูทางทิศตะวันออก

เหล่าเจ้าหน้าที่พลเรือนและทหารกับขุนนางต่างประหลาดใจเมื่อพบว่า วันนี้เวยอู่โหวสวมชุดเกราะมา เพียงแต่ไม่ได้ห้อยอาวุธไว้ที่เอวเท่านั้น

วันนี้ เกิดเรื่องที่น่าสนใจขึ้นที่ท้องพระโรง

เวยอู่โหวสวมเกราะไปที่ห้องโถง ยกคุณงามความดีของบรรพบุรุษขึ้นมา และประณามรองเจ้ากรมโจวทั้งน้ำตา

เขาตะโกนเสียงดัง “บรรพบุรุษฝ่าฟันอุปสรรคมุ่งสู่ความสำเร็จเพื่อจักรพรรดิ บุกน้ำลุยไฟ บุตรสาวของคนรุ่นหลังเจอคนรังแกและประณาม ฝ่าบาทไม่ปกป้อง มันจะไม่เย็นชากับจิตใจของทหารในใต้หล้าไปหน่อยหรือ…”

เรื่องวุ่นวายอย่างมาก

ผู้กระทำผิดอย่างโจวลี่ตกตะลึง ‘ข้าไปลักพาตัวลูกสาวคนรองสกุลจางตั้งแต่เมื่อไหร่ เหตุใดข้าจึงไม่รู้’

จักรพรรดิหยวนจิ่งทรงพิโรธ สั่งให้ศาลต้าหลี่[1] กรมอาญากับฝ่ายตรวจการจัดการคดีนี้ และให้ผลลัพธ์ภายในสองวัน

ในฐานะผู้ต้องสงสัยของคดี จุดหมายแรกของคุณชายโจวลี่คือฝ่ายตรวจการ

คนที่รับผิดชอบสอบสวนเขาคือผู้ตรวจการฝ่ายลาดตระเวนเมือง

ขุนนางระดับหกชั้นเอกคนนี้นั่งอยู่หน้าโต๊ะ ไม่พูดพร่ำทำเพลง สั่งโบยคุณชายโจวด้วยไม้กระดานก่อน

หลังจากโบยจนโจวลี่ร้องไห้หาพ่อหาแม่แล้ว เขาก็ตบไม้ปลุกสติ “โจวลี่ ลานที่ขังลูกสนมของเวยอู่โหว คือบ้านพักส่วนตัวของเจ้าใช่หรือไม่”

“ใช่ขอรับ!” โจวลี่ทำได้เพียงแค่ยอมรับ

ขุนนางผู้ทรงอำนาจซื้อบ้านพักส่วนตัวที่เมืองชั้นในเป็นเรื่องปกติมาก ตอนโจวลี่ซื้อลานบ้าน เขาก็ไม่ได้ขอให้คนอื่นจัดการให้เลย

บนโฉนดจึงเป็นชื่อของเขา และทางการก็มีขั้นตอนในการซื้อบ้าน

“ในเมื่อเป็นลานของเจ้า เช่นนั้นก็ไม่จำเป็นต้องพูดอีก ลงชื่อ!”

เจ้าหน้าที่สองคนก้าวเข้ามา คนหนึ่งถือหนังสือยอมรับโทษทัณฑ์ คนหนึ่งบังคับให้โจวลี่ลงชื่อ

ตามกระบวนการไต่สวนของสามศาลสูง หลังจากที่ฝ่ายตรวจการไต่สวนเสร็จ หนังสือคำตัดสินจะถูกส่งต่อให้กรมอาญา กรมอาญาจะยังไม่อนุมัติผลลัพธ์ของฝ่ายตรวจการ และจะไต่สวนอีกครั้ง

หลังจากได้ยินข่าวการล่มสลายของรองเจ้ากรมโจว สวี่ผิงจื้อก็จูงสวี่ชีอันกับสวี่เอ้อร์หลางมาดื่มเหล้าตอนกลางคืน ทั้งมีความสุขที่ได้ล้างแค้น ทั้งผ่อนคลายที่ยกภาระอันหนักอึ้งออกไปได้

สองพี่น้องขี่ม้าตามหลังสวี่ผิงจื้อ สวี่เอ้อร์หลางพูดว่า “ข้ามีเรื่องอยากหารือกับพี่ใหญ่”

สวี่ต้าหลางหันไปมองเขา “อยากรู้ว่าทำไมโจวลี่ถึงยอมรับความผิดนี้ หรือว่าเวยอู่โหวกับพวกคนใหญ่คนโตในท้องพระโรงจะมองการใส่ร้ายที่ไม่ได้ซับซ้อนนี้ไม่ออก”

สวี่เอ้อร์หลางพึมพำ “เพียงแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้น ส่วนศัตรูทางการเมืองของรองเจ้ากรมโจว พวกเขาไม่สนว่าโจวลี่จะทำผิดหรือไม่ มันไม่สำคัญเลย พวกเขาจะคว้าเบี้ยต่อรองนี้ไว้ และกัดรองเจ้ากรมโจวจนตาย และสำหรับเวยอู่โหว นี่เป็นโอกาสในการแก้แค้น เมื่อก่อนเขาสู้รองเจ้ากรมโจวไม่ได้ เพราะไม่มีคนช่วย ตอนนี้จึงเป็นโอกาสทองที่พระเจ้าประทานให้ ดังนั้นในวันนั้นเขาจึงสวมเกราะขึ้นไปที่ห้องโถง และวิพากษ์วิจารณ์อย่างเดือดพล่าน ส่วนลูกสาวถูกโจวลี่ลักพาตัวไปหรือไม่ เขาอาจจะสงสัย แต่ไม่มีหลักฐานเพียงพอ เห็นได้ชัดว่าคุณชายโจวที่สบประมาทลูกสาวของเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่าคนนี้เป็นที่เกลียดชังมาก สิ่งที่ข้าไม่เข้าใจคือ เรื่องนี้โจวลี่ไม่ได้เป็นคนทำ รองเจ้ากรมโจวกับผู้สมรู้ร่วมคิดของเขาก็รู้อยู่แก่ใจ ควรจะทำแผนการตอบโต้ออกมา”

“เจ้าคิดว่าวันนั้นข้าไปสำนักโหราจารย์ทำไม” สวี่ชีอันหัวเราะยกใหญ่ “ยังจำได้หรือไม่ว่าสำนักโหราจารย์ระดับแปดเรียกว่าอะไร”

“นักพยากรณ์ระดับแปด…” ดวงตาของสวี่ซินเหนียนเปล่งประกาย และกระจ่างแจ้งในทันที

“ตอนคดีเงินภาษี โหรของสำนักโหราจารย์เข้าร่วมการตามรอยและพิจารณาคดีด้วย นี่แสดงให้เห็นว่าจักรพรรดิองค์ปัจจุบันไว้วางใจสำนักโหราจารย์” สวี่ชีอันมองไปข้างหน้า ยิ้มแย้มเบิกบาน

“คดีนี้มองแวบแรกดูไม่สมเหตุสมผล แต่หากตรวจสอบอย่างละเอียด จะพบว่าไม่มีร่องรอยอะไรเหลืออยู่เลย…อืม ก็พี่…ข้าเป็นมืออาชีพในด้านนี้ บวกกับปัจจัยด้านการชิงดีชิงเด่นอีก คดีนี้จึงถูกกำหนดให้เป็นปัญหาและตรวจสอบยาก ดังนั้นวิธีที่ง่ายและมีประสิทธิภาพมากที่สุด แน่นอนว่าต้องไปหาโหรของสำนักโหราจารย์”

สวี่ซินเหนียนเลื่อมใสอย่างสุดซึ้ง “ดังนั้น พี่ใหญ่จึงติดสินบนโหรของสำนักโหราจารย์”

“หยาบคาย!” สวี่ชีอันจีบปากจีบคอ และพูดอย่างตรงไปตรงมา “เรื่องของนักเล่นแร่แปรธาตุจะเรียกว่าติดสินบนได้อย่างไร เป็นการแลกเปลี่ยนที่เท่าเทียมต่างหาก!”

หลังจากชะงักไปพักหนึ่ง เขาก็พูดว่า “ฉือจิ้ว เจ้าจงจำไว้ว่า ในโลกนี้นอกจากสายเลือดเดียวกันแล้ว ทั้งเพื่อนและศัตรูล้วนเป็นเพราะคำว่า ‘ผลประโยชน์’ โดยเฉพาะข้าราชการ ไม่มีใครทำดีกับเจ้าโดยไม่มีเหตุผลหรอก แล้วก็ไม่มีใครเกลียดชังเจ้าโดยไม่มีเหตุผลเช่นกัน แม้แต่เพื่อนสนิทของเจ้า เขาสานสัมพันธ์กับเจ้า แน่นอนว่าก็เป็นเพราะการมีอยู่ของเจ้ามีประโยชน์สำหรับเขาด้านความก้าวหน้า ในอนาคตเจ้าจะได้เป็นขุนนางในราชสำนัก พี่ใหญ่หวังว่าเจ้าจะทำหน้าที่ให้ดีที่สุด ไม่ใช่ขุนนางที่ซื่อตรง” สวี่ชีอันปลูกฝังพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมของตัวเองให้น้องชาย และพูดช้าๆ “จำไว้ว่า จงวางตัวให้สำรวม”

การจะฝึกน้องชายให้เป็นสมุหราชเลขาธิการของต้าฟ่ง อันดับแรกต้องให้เขาเปลี่ยนรูปลักษณ์ของตัวเองก่อน ไม่อย่างนั้น ฝึกออกมาเป็นสมุหราชเลขาธิการที่เดินคนละเส้นทางไม่อาจวางแผนร่วมกันได้ จะมีประโยชน์อะไร

สายตาของสวี่ซินเหนียนมองไกลออกไป และเอ่ยเสียงดัง “วางตัวให้สำรวม…หากในอนาคตข้าหลงอยู่ในหมอกหนาทึบแห่งอำนาจเล่า”

“นั่นคือวาสนาของเจ้าเอง แน่นอนว่า หากฉือจิ้วกลายเป็นกังฉิน[2]ที่สร้างความวุ่นวายเกินขอบเขต พี่ใหญ่จะจัดการเจ้าเอง” สวี่ชีอันพูดทีเล่นทีจริง

“ได้!” สวี่ซินเหนียนตาต่อตาฟันต่อฟัน “วันหน้าหากพี่ใหญ่กลายเป็นทหารที่ชอบสร้างปัญหา ข้าก็จะทำเช่นเดียวกัน”

ทำไมข้าถึงรู้สึกว่าตัวเองถูกตั้งเป้าหมาย…สวี่ชีอันกระแอมทีหนึ่ง และมองสวี่ผิงจื้อ “อารอง ท่านต้องเป็นพยานให้พวกข้านะ”

“ไปให้พ้น!” สวี่ผิงจื้อหันกลับมาดุ “พูดไม่หยุดว่าคนในตระกูลเดียวกันฆ่าฟันกันเอง คิดว่าข้าไม่มีตัวตนหรืออย่างไร”

………………………………………………

[1] ศาลต้าหลี่ เป็นหนึ่งในเก้าสำนักใหญ่แห่งราชสำนัก ทำหน้าที่ดูแลรับผิดชอบเกี่ยวกับคดีอาญา ถือเป็นศาลสูงสุดของจีนในสมัยโบราณ นอกจากนี้ ในช่วงราชวงศ์หมิงถึงราชวงศ์ชิง ยกให้ศาลต้าหลี่ กรมอาญา และฝ่ายตรวจการ เป็น ‘สามศาลสูง’

[2] กังฉิน หมายถึง ขุนนางทุจริต

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง