ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง นิยาย บท 583

สรุปบท บทที่ 583 บุคลิก ‘รัก’: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

สรุปตอน บทที่ 583 บุคลิก ‘รัก’ – จากเรื่อง ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง โดย Internet

ตอน บทที่ 583 บุคลิก ‘รัก’ ของนิยายกำลังภายในเรื่องดัง ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง โดยนักเขียน Internet เต็มไปด้วยจุดเปลี่ยนสำคัญในเรื่องราว ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยปม ตัวละครตัดสินใจครั้งสำคัญ หรือฉากที่ชวนให้ลุ้นระทึก เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้อ่านที่ติดตามเนื้อหาอย่างต่อเนื่อง

บทที่ 583 บุคลิก ‘รัก’

เขาขึ้นบันไดไปยังห้องพักชั้นสองภายใต้การนำทางของพนักงานโรงเตี๊ยม

ลั่วอวี้เหิงโบกมือ ควบคุมพระอรหันต์ตู้ฉิงให้สงบลงที่มุมหนึ่ง จากนั้นก็ถอดรองเท้าปักลวดลายเมฆ แล้วนั่งขัดสมาธิลงบนเตียง

นางสะบัดขวดและกล่องไม้ขนาดเล็กออกมาจากแขนเสื้อ

แขนเสื้อโดราเอมอนรึ?

สวี่ชีอันมองด้วยความประหลาดใจ เขาเคยเห็นพื้นที่จัดเก็บของวิเศษมาไม่น้อย มีทั้งกระเป๋าผ้า กระจกเงา เครื่องลายคราม แต่ไม่เคยเห็นใครใช้แขนเสื้อมาก่อน

ทันใดนั้นเขาก็เข้าใจทันทีว่าทำไมลั่วอวี้เหิงถึงไม่เคยเปลี่ยนเสื้อคลุม แต่เปลี่ยนเสื้อชั้นใน กางเกงชั้นในอยู่บ่อยครั้ง สิ่งนี้สวี่ชีอันสามารถยืนยันได้ แต่แทบไม่เคยเห็นนางเปลี่ยนเสื้อคลุมด้านนอกมาก่อน

ที่แท้เสื้อคลุมก็เป็นของวิเศษชิ้นหนึ่ง

ลั่วอวี้เหิงเปิดจุกไม้ก๊อกออก จากนั้นกลิ่นสมุนไพรอบอวลไปทั่วห้อง

เกือบลืมไปแล้ว นางเป็นผู้หญิงที่ร่ำรวย ไม่ว่ายาขนานวิเศษชนิดใดก็มีหมด เมื่อเทียบกับนักบวชเต๋าจวี๋เมาที่ยากจนแล้ว…สวี่ชีอันถอนหายใจเล็กน้อย ก่อนจะปล่อยวางในที่สุด

เขากังวลเกี่ยวกับอาการบาดเจ็บของลั่วอวี้เหิงมาโดยตลอด ว่ามันอาจจะกระทบกับความสมดุลของไฟแห่งกรรมของนาง

แต่เมื่อเห็นความร่ำรวยของนางในตอนนี้ เขาก็สบายใจขึ้นชั่วขณะ

สวี่ชีอันนั่งขัดสมาธิลงที่ข้างเตียงเพื่อนั่งเข้าฌานกับลั่วอวี้เหิงทันที

ตัวเขาเองก็ต้องรักษาเส้นลมปราณที่ยุ่งเหยิงเช่นกัน

การเคลื่อนไหลของชี่เป็นเวลานานจะกระทบต่อตะปูตอกวิญญาณจำนวนหลายตัว ทำให้เจ็บปวดบริเวณปากตะปูจนทนไม่ได้ เท่ากับแผลเก่าก็จะกำเริบขึ้น ซึ่งตรงกันข้ามกับบาดแผลสะท้อนกลับของ ‘หยกสลาย’ ที่เริ่มหายสนิทอย่างช้าๆ

“ดูเหมือนเจ็ดยอดกู่จะก้าวหน้าขึ้นแล้ว ไม่สิ มันเข้าสู่ขั้นถัดไปแล้ว…”

หลังจากหล่อเลี้ยงอย่างยากเข็ญเป็นเวลานาน ในที่สุดเจ็ดยอดกู่ก็เข้าสู่ช่วงเวลาที่สำคัญแห่งการเปลี่ยนแปลง อันที่จริง หลังจากบำเพ็ญคู่กับลั่วอวี้เหิง ก็นับว่าเขาตอบสนองต่อความต้องการของเจ็ดยอดกู่อย่างสมบูรณ์

ฉิงกู่ที่ปราบปรามอย่างยากลำบากสามารถระบายออกมาได้แล้ว และเนื่องจากการมอบอำนาจให้กับผู้บำเพ็ญตนหญิงขั้นสอง ฉิงกู่จึงได้รับประโยชน์มหาศาล

ในเวลานั้น เขาก็รู้สึกว่าฉิงกู่เกือบจะเจริญเต็มที่ในขั้นต้น จนกระทั่งการต่อสู้เมื่อครู่ เขาได้กลืนกินแมลงมีพิษที่ฉีฮวนตานเซียงเรียกออกมา

แม้ตู๋กู่จะประสบความสำเร็จ แต่ก็ยังต้องมุมานะบากบั่นต่อไป

“อีกนิดเดียวก็จะแทงทะลุชั้นเนื้อเยื่อ…” สวี่ชีอันสัมผัสเจ็ดยอดกู่ผ่านทางจิต

การฝึกลมหายใจผ่านไปอย่างรวดเร็ว ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าใด เขาถูกลั่วอวี้เหิงปลุกให้ตื่นขึ้นอย่างอ่อนโยน

เมื่อลืมตามองออกไปนอกหน้าต่างก็พบว่าท้องฟ้ามืดลงเสียแล้ว พระอรหันต์ตู้ฉิงนั่งขัดสมาธิอย่างเงียบๆ อยู่ที่มุมห้อง

“ราชครู บาดแผลท่านดีขึ้นแล้วรึ? ตอนนี้เขามีสภาพเป็นอย่างไร ปลุกให้ตื่นได้หรือไม่?” สวี่ชีอันกล่าว

“เขาถูกข้าปิดผนึกไว้ชั่วคราว ตกอยู่ในสภาพไร้ชีวิตไร้การตาย ไม่มีทางรับรู้เรื่องราวภายนอก”

ลั่วอวี้เหิงในตอนนี้ยังไม่เย็นชาและดุร้ายมากพอ นางเป็นเหมือนฟูเหรินที่ถูกเลี้ยงดูอย่างจืดชืดมาในห้องส่วนตัวของตระกูลร่ำรวย

“หากเจ้าอยากให้เขาช่วยเจ้าคลายตะปูตอกวิญญาณให้ ก็ต้องกลับไปที่เมืองหลวง”

เมื่อเห็นเขาขมวดคิ้ว ลั่วอวี้เหิงก็กล่าวอธิบายว่า “ถึงแม้ข้าจะปิดผนึกเขา แต่ก็ฆ่าเขาไม่ได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการให้เขาคลายตะปูตอกวิญญาณ อย่าปล่อยให้ถึงเวลาที่เขามีโอกาสทำให้ทุกอย่างพังพินาศลงพร้อมกันและฆ่าเจ้าแทน”

สวี่ชีอันเข้าใจแล้ว และกล่าวอย่างไตร่ตรองว่า “ดังนั้น ข้าจึงจำเป็นต้องให้ท่านโหราจารย์มาเป็นตัวกลาง”

การที่สามารถเอาชนะพระอรหันต์ ไม่ได้หมายความว่าจะสามารถสั่งให้พระอรหันต์ทำสิ่งต่างๆ ได้ โดยเฉพาะภายใต้สถานการณ์ที่ยังไม่สามารถฆ่าฝ่ายตรงข้าม ไม่แน่ว่าอาจมีใครบางคนแอบล้างสมองเพื่อให้เขาเข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์

ได้กลับไปเมืองหลวงสักครั้งก็ดี จะได้ไปสืบสถานการณ์ของอวิ๋นโจวกับท่านโหราจารย์ เพื่อเข้าใจสถานการณ์ล่าสุดของกองกำลังหลักในจิ่วโจว มากขึ้น…และจะได้ฉวยโอกาสไปพบปลาในบ่อของข้าสักหน่อย

ทันทีที่เขาคิดเช่นนี้ ก็ได้ยินลั่วอวี้เหิงจ้องตาเขม็งและกล่าวว่า “ข้าไม่อนุญาตให้ไปพบหญิงสาวเหล่านั้น”

สวี่ชีอันตอบรับ “อืม อืม” และกล่าวต่อไปว่า “ในใจข้ามีเพียงราชครูคนเดียวเท่านั้น” อย่างไรพรุ่งนี้เจ้าก็ไม่ใช่เจ้าแล้ว

ลั่วอวี้เหิงรู้สึกเขินอายเล็กน้อย

“ราชครู ดาบเล่มนั้นเป็นอาวุธวิเศษใช่หรือไม่?”

สวี่ชีอันชี้ไปที่ดาบเหล็กเล่มนั้นที่เสียบอยู่ในศีรษะของพระอรหันต์ ครึ่งหนึ่งของดาบโผล่ออกมาด้านนอก

ลั่วอวี้เหิงพยักหน้า ก่อนจะส่ายศีรษะอีกครั้ง “เมื่อก่อนเคยเป็น แต่ต่อมาอาวุธศักดิ์สิทธิ์ถูกกำจัดโดยเจ้าของของมัน”

“หืม?” สวี่ชีอันแสดงความสงสัยด้วยเสียงอุทานในลำคอ

“เมื่อเจ็ดร้อยปีก่อน ผู้นำเต๋านิกายมนุษย์ท่านหนึ่งที่ไร้เทียมทาน ปรมาจารย์ดาบที่ไม่เป็นสองรองใครท่านนั้นได้ใช้ศิลปะการฆ่าในการปกครองจิ่วโจว อาวุธศักดิ์สิทธิ์ค่อยๆ ดุร้ายขึ้นเรื่อยๆ และกระหายเลือดอย่างมาก ตอนที่ปรมาจารย์ท่านนั้นยังมีชีวิตอยู่ก็สามารถปราบปรามมันได้ จนกระทั่งเขาสิ้นชีพจากภัยพิบัติ อาวุธศักดิ์สิทธิ์ก็เสียการควบคุมมากขึ้น ทำให้เกิดการฆ่าจำนวนไม่น้อย ต่อมามันถูกปราบโดยผู้นำเต๋านิกายมนุษย์ท่านต่อมา และถูกลบล้างจิตสำนึกจนหมดสิ้น ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ดาบเล่มนี้ก็กลายเป็นตัวพาหะที่สะสมปราณดาบและเจตนาดาบของผู้นำเต๋านิกายมนุษย์ในแต่ละยุคในอดีต” ลั่วอวี้เหิงอธิบายด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล

สวี่ผิงเฟิงก็เป็นยอดฝีมือระดับสูงสุดในขั้นสอง ไม่รู้ว่าราชครูจะสามารถเอาชนะเขาได้หรือไม่…ไม่สิ โหรและนักพรตเป็นระบบที่แตกต่างกัน แต่ละระบบมีจุดแข็งของตัวเอง ไม่สามารถแบ่งแยกด้วยพลังรบเพียงอย่างเดียว…สวี่ชีอันกล่าวอีกว่า “ทำอย่างไรให้อาวุธวิเศษก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว? ตอนที่ข้าต่อสู้วันนี้ ก็พบว่าอาวุธวิเศษมีข้อบกพร่อง”

เขาบอกลั่วอวี้เหิงเรื่องดาบไท่ผิง เด็กโง่ที่ได้รับผลกระทบจากซินกู่

“มันน่าจะเกี่ยวข้องกับนิสัยของอาวุธวิเศษ ลึกๆ แล้วดาบของเจ้าเล่มนี้ไม่ใช่อาวุธที่โหดเหี้ยม พูดง่ายๆ คือ มันไม่ดุร้ายมากพอ” ลั่วอวี้เหิงลังเลเล็กน้อย ก่อนจะกล่าวเพิ่มเติมว่า “นอกจากนี้ อย่างไรมันก็เพิ่งกำเนิดด้วยจิตสำนึกได้ไม่นาน นับดูแล้ว ยังไม่ถึงครึ่งปีด้วยซ้ำไป”

ไท่ผิงยังอายุน้อยเกินไป…สวี่ชีอันครุ่นคิดอย่างหมดหนทาง

“แต่ข้ากลับมีความคิดหนึ่ง”

สวี่ชีอันดวงตาเป็นประกายขึ้น “เชิญราชครูกล่าวเถอะ”

“ตอนนี้ในร่างของเจ้ามีปราณมังกรสองสาย หากวางไว้มันก็วางอยู่อย่างนั้น สู้ลองใช้มันมาเลี้ยงดูดาบไท่ผิงไม่ดีกว่ารึ” ลั่วอวี้เหิงเห็นสวี่ชีอันไม่เข้าใจ จึงกล่าวชี้แนะว่า “ดาบสยบดินแดนยังไงเล่า!”

สวี่ชีอันเบิกตากว้างทันที “ราชครูจะบอกว่า ดาบไท่ผิงสามารถกลั่นเป็นของวิเศษเหมือนกับดาบสยบดินแดน? เป็นไปได้จริงๆ รึ?”

ลั่วอวี้เหิงพยักหน้ากล่าวว่า “ตัวดาบสยบดินแดนเองก็เป็นอาวุธวิเศษ มันได้รับการหล่อเลี้ยงด้วยโชคชะตามากว่าหกร้อยปี และเมื่อครู่มันได้กลายเป็นของวิเศษแล้ว แต่นี่เป็นการเลี้ยงดูโดยไม่รู้ตัวอย่างหนึ่ง มันจึงคืบหน้าอย่างช้าๆ แต่เจ้าสามารถโยกย้ายปราณมังกรมาหล่อเลี้ยงดาบของเจ้าได้โดยตรง ถึงแม้จะเป็นไปไม่ได้ที่ดาบของเจ้าจะไปถึงระดับเดียวกับดาบสยบดินแดนในระยะเวลาอันสั้น แต่มันก็อาจจะกลายเป็นของวิเศษได้ เป็นอาวุธที่อยู่เหนืออาวุธวิเศษ ถึงเวลานั้น มันก็น่าจะสามารถต้านทานผลกระทบของซินกู่ได้แล้ว”

สวี่ชีอันรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาทันที ปราณมังกรก็เป็นโชคชะตาอย่างหนึ่งเช่นกัน เขาจึงสามารถจำลองเส้นทางของดาบสยบดินแดนได้อย่างสมบูรณ์

เขารู้ดีที่สุดว่าพลังของดาบสยบดินแดนแข็งแกร่งเพียงใด มันคือฝันร้ายของยอดฝีมือขั้นสูงอย่างแท้จริง

หากดาบไท่ผิงสามารถกลายเป็นดาบสยบดินแดนเล่มที่สองได้ ไม่สิ แค่ต้องมีลักษณะบางอย่างที่คล้ายกันเท่านั้น ในการต่อสู้ก่อนหน้านี้ เขาก็จะสามารถทำลายพลังเทพวชิระของจิ้งหยวนได้เพียงแค่การตวัดดาบครั้งเดียว

ในอนาคต ต่อให้เป็นระดับเพชรที่สูงกว่าขั้นสามขึ้นไป ก็สามารถสร้างภัยคุกคามได้

“ราชครูฉลาดเป็นกรดอย่างที่คิดจริงๆ ข้าไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าจะใช้ประโยชน์จากปราณมังกรเช่นนี้” สวี่ชีอันกล่าวยกยอปอปั้นยกใหญ่

สีหน้าของลั่วอวี้เหิงสงบนิ่ง ถึงแม้จะถือมาดนิ่ง แต่ในแววตากลับมีความสุขปรากฏขึ้นเล็กน้อย

เอาใจง่ายจริงๆ หากนางมีนิสัยเช่นนี้ตลอดไปก็คงดี…สวี่ชีอันกล่าวในใจ

เขาไม่รอช้าอีกต่อไป จิตสำนึกจมอยู่ในกระจกหยก ดาบไท่ผิงและมังกรสีทองกำลังหลับใหลอยู่ในนั้น นอกจากนี้ยังมีตั๋วเงิน เหรียญทอง เครื่องลายครามหยก และโบราณวัตถุ

เมื่อสัมผัสได้ถึงจิตใต้สำนึกของเจ้าของ ดาบไท่ผิงก็ตื่นขึ้นและถ่ายทอดความคิดที่เปี่ยมไปด้วยความสุขและความรื่นรมย์

สวี่ชีอันไม่เพิกเฉยต่อการเยินยอของมันและส่งมันเข้าไปในปราณมังกร

ดาบไท่ผิงถูก ‘แช่’ ไว้ในเงามังกรทอง มันผุดความคิดขึ้นมาเป็นระยะๆ “อา สบายจัง ตายแล้ว ตายแล้ว…”

ได้นิสัยโง่เง่าเช่นนี้มาจากใครกัน? สวี่ชีอันขมวดคิ้ว พลางดึงสติกลับมาด้วยความไม่พอใจนัก

“ได้ผลจริงๆ ด้วย” สวี่ชีอันกล่าว

ลั่วอวี้เหิงพยักหน้าและกล่าวว่า “ข้ายังมีอาการบาดเจ็บภายในอยู่ แม้ร่างธรรมลัทธิเต๋าจะได้รับการกล่าวขานว่าเป็นอมตะ แต่ความสามารถในการฟื้นตัวนั้นด้อยกว่าจอมยุทธ์”

“แล้วจะทำอย่างไรดี” สวี่ชีอันขมวดคิ้ว

ถนนสายหลัก เขตแดนยงโจว

ม้าสามเชือกถูกควบไปตามทางดัง ‘ตึกตึก’ ตรงกลางเป็นหญิงงามที่เต็มเปี่ยมไปด้วยพลังและความกล้าหาญ ด้านซ้ายคือนักดาบชุดดำที่มีผมขาวบนหน้าผาก ส่วนทางด้านขวาคือหัวล้านวัยกลางคนที่มีรูปร่างสูงและกำยำ

“รีบวิ่ง รีบวิ่ง ฉวยโอกาสตอนที่ท่านอาจารย์ของข้าตามมาไม่ทัน” หลี่เมี่ยวเจินตะโกนเสียงดัง

“อมิตตาพุทธ ผู้นำหลี่ โยมและใต้เท้าสวี่ทำเช่นนี้จะดีจริงๆ หรือ?” เหิงหย่วนกล่าวเสียงทุ้ม

หลังจากเขาและฉู่หยวนเจิ่นเข้าไปในเมืองยงโจว ก็ซ่อนตัวและฉวยโอกาสตอนที่เทพธิดาปิงอี๋ต่อสู้กับนักบวชเต๋าเสวียนเฉิงอยู่ที่ด้านนอก แอบพาหลี่เมี่ยวเจินออกมาอย่างลับๆ

เทพเจ้าหยางแห่งนิกายสวรรค์ทั้งสองท่านเป็นเครื่องมือที่เปล่าประโยชน์ ซ้ำเทพธิดายังถูก ‘ลักพาตัว’ ไปอีก

เหิงหย่วนรู้สึกว่าสิ่งที่ใต้เท้าสวี่และหลี่เมี่ยวเจินทำนั้นไม่บริสุทธิ์

“ไม่เป็นไร!” ฉู่หยวนเจิ่นกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ก็แค่ปล่อยให้ผู้อาวุโสทั้งสองเดินไปในทางโลกมากขึ้น”

ฉู่หยวนเจิ่นเชื่อว่าการต่อสู้ด้วยไหวพริบระหว่างลูกศิษย์และอาจารย์จะไม่ก่อให้เกิดอันตรายต่อทั้งสองฝ่าย แต่เรื่องนี้ก็น่าสนใจมากเช่นกัน

“ตอนนี้ท่านอาจารย์ข้าจะต้องโกรธจัดอย่างแน่นอน อ้อ ไม่สิ นางคงไม่โกรธ แต่ครั้งต่อไปที่นางพบสวี่ชีอัน คงมีความเป็นไปได้สูงที่นางจะชักดาบออกมาฟันใครสักคน”

หลี่เมี่ยวเจินหัวเราะเหอะๆ และกล่าวว่า “พวกเขาคงคิดไม่ถึงว่ายอดฝีมือที่ดูน่านับถือท่านหนึ่งจะไร้ยางอายได้อย่างคาดไม่ถึง”

เหิงหย่วนกล่าวอย่างหมดหนทางว่า “หยอกล้อท่านอาวุโสเช่นนี้ ไม่ดีเลยจริงๆ”

“หมายเลขหก เจ้ารู้อะไรหรือไม่ สวี่ชีอันเคลื่อนไหวอย่างชาญฉลาดมาก”

หลี่เมี่ยวเจินกล่าวว่า “ท่านอาจารย์และท่านอาจารย์ลุงเป็นคนที่ไม่ฟังคำโน้มน้าวของใคร อย่างไรก็ไม่มีทางโน้มน้าวเขาได้ ใช้กำลังก็ย่อมบังคับไม่ได้อย่างแน่นอน ลั่วอวี้เหิงอาจจะทำได้ แต่หากนางเข้าไปแทรกแซงเรื่องของนิกายสวรรค์ ก็จะทำให้เกิดข้อพิพาทระหว่างสวรรค์และมนุษย์ขึ้นก่อนกำหนด ในเมื่อทั้งความนุ่มนวลและรุนแรงล้วนใช้ไม่ได้ผล เช่นนั้นก็ทำได้เพียงชิงไหวชิงพริบ เร็วเข้า รีบไปให้ถึงสวี่ชีอันก่อนรุ่งสาง”

ในขณะที่สหายทั้งสามกำลังไล่ตามดวงจันทร์ สวี่ชีอันกำลังกอดร่างอันเนียนนุ่มของลั่วอวี้เหิงและหลับไปในผ้าห่มอันอบอุ่น

แต่จู่ๆ เขาก็รู้สึกกระอักกระอ่วนหัวใจจนตื่นขึ้น เพราะรับรู้ถึงข้อความที่ถูกส่งมาจากหนังสือปฐพี

เขายกมือขึ้นและโบกสะบัดเบาๆ หนังสือปฐพีลอยออกมาจากกองเสื้อผ้าที่อยู่บนพื้น พาตัวเองมาอยู่ในมือของสวี่ชีอัน

หมายเลขสอง ‘สวี่ชีอัน พวกเราถึงแล้ว เจ้าอยู่โรงเตี๊ยมไหน?’

เมื่อเห็นข้อความนี้ สวี่ชีอันก็ตื่นตกใจจนความง่วงหายไปในฉับพลัน

เร็วเช่นนี้เลยรึ?

พวกเขาเดินทางกันตลอดคืนเลยหรือไร?

เขาสลัดผ้าห่มออกและลุกขึ้นจากเตียงด้วยความตระหนก ในสมองมีความคิดหนึ่งผุดขึ้นมาว่า เปิดห้องอีกห้องหนึ่ง

จะให้หลี่เมี่ยวเหินเห็นว่าเขาร่วมเตียงเดียวกับลั่วอวี้เหิงไม่ได้

ลั่วอวี้เหิงเปิดเปลือกตาขึ้นพลางกอดเอวเขาและกล่าวด้วยรอยยิ้มทรงเสน่ห์ “สวี่หลางจะทำอะไรรึ?”

สวี่ชีอันสังเกตได้อย่างชัดเจนว่าน้ำเสียงและท่าทางของนางเปลี่ยนไป ไม่เหมือนกับเมื่อวานอีกต่อไป

เขาสังเกตมองลั่วอวี้เหิงอย่างระมัดระวัง พอเห็นเรียวคิ้วอันทรงเสน่ห์และรอยยิ้มอันอ่อนหวานก็สามารถคาดเดาได้ทันที

บุคลิก ‘รัก’ รึ?

จบเห่แล้ว!

………………………………….……………

————————————

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง