ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง นิยาย บท 587

สรุปบท บทที่ 587 เรื่องราวในเมืองหลวง: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

บทที่ 587 เรื่องราวในเมืองหลวง – ตอนที่ต้องอ่านของ ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

ตอนนี้ของ ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง โดย Internet ถือเป็นช่วงเวลาสำคัญของนิยายกำลังภายในทั้งเรื่อง ด้วยบทสนทนาทรงพลัง ความสัมพันธ์ของตัวละครที่พัฒนา และเหตุการณ์ที่เปลี่ยนโทนเรื่องอย่างสิ้นเชิง บทที่ 587 เรื่องราวในเมืองหลวง จะทำให้คุณอยากอ่านต่อทันที

บทที่ 587 เรื่องราวในเมืองหลวง

ท่ามกลางเสียงถกเถียง ลั่วอวี้เหิงพาสวี่ชีอันทะยานขึ้นมาจากถ้ำเบื้องล่าง

ศิษย์นิกายสวรรค์ตัวน้อย เปรียบดั่งหงส์อ่อนมังกรหลับ…สวี่ชีอันที่บังเอิญได้ยินถ้อยคำไม่กี่คำเข้าก็อดบ่นไม่ได้ อารมณ์ขุ่นมัวภายในใจค่อยๆ ดีขึ้น

เทพบุตรเทพธิดาไม่เพียงแปลกประหลาด แต่พวกเขายังน่าขบขันอีกด้วย

“เป็นอย่างไรบ้าง ได้ข้อมูลอันมีค่ามาหรือไม่”

หลี่เมี่ยวเจินยิงคำถามรัว

หลี่หลิงซู่เองก็อยากรู้อยากเห็น แต่ไม่กล้าเสียมารยาทเช่นนั้น เวลาเดียวกันนั้นก็จับสังเกตได้ว่าศิษย์น้องดูเหมือนจะมีความสัมพันธ์อันดีกับสวีเชียน

เพราะขณะที่ศิษย์น้องอยู่ต่อหน้า กลับไม่มีความยำเกรงหรือนอบน้อมเลยแม้แต่น้อย

“มันสูญเสียจิตวิญญาณไปแล้ว”

สวี่ชีอันพยายามควบคุมสีหน้าให้ไม่จริงจังนัก

เสียจิตวิญญาณ…หลี่เมี่ยวเจินตกตะลึง คิดไม่ถึงผลลัพธ์นี้จึงทั้งนึกฉงนและประหลาดใจ

หลี่หลิงซู่ก็มีท่าทีไม่ต่างจากนาง

ผิดกลับฉู่หยวนเจิ่นและเหิงหย่วน ผู้ถือครองหนังสือปฐพีทั้งสองคนผู้เคยมีประสบการณ์ในวังใต้ดิน มีสีหน้าเปลี่ยนไป แสดงอารมณ์หวาดกลัวออกมา

พวกเขาเคยมีประสบการณ์ส่วนตัวในการสำรวจสุสานโบราณ รู้ซึ้งถึงความน่ากลัวของศพโบราณ หากไม่ใช่ท่านโหราจารย์ที่สถิตอยู่ในร่างสวี่ชีอันช่วยพวกเขาออกมาจากคราวซวยครั้งนั้น

พรรคฟ้าดินมีหวังโดนยุบเพราะผู้ก่อตั้งและสมาชิกพรรคคนสำคัญตายก่อนวัยอันควร

ทว่าศพโบราณที่ทรงพลังขนาดนั้น สูญเสียจิตวิญญาณไปแล้วจริงหรือ?

“เกิดอะไรขึ้น”

ฉู่หยวนเจิ่นกดเสียงต่ำถาม หากเป็นสถานการณ์อื่น เขาอาจรู้สึกว่าคำถามนี้ไม่สมควรนัก หากแต่ผู้คนตรงนี้ล้วนเป็นคนกันเอง

ถึงแม้จะไม่สนิทใจกับหลี่หลิงซู่ แต่เขาไม่ใช่แค่เทพบุตรนิกายสวรรค์เท่านั้น ทั้งยังเป็นสมาชิกพรรคด้วยจึงวางใจได้

สำหรับเหมียวโหย่วฟางและฉู่จ้วงหยวนคงไม่เข้าใจความหมายของเขา

ความลับขั้นสูงนี้ หากขั้นลำดับไม่เท่ากัน ฟังอย่างไรก็ไม่เข้าใจ

สวี่ชีอันพึมพำ “ข้าสงสัยว่าเจ้าของสุสานจะกลับมาแล้ว”

ทุกคนที่ได้ยินประโยคนี้ต่างรู้สึกหนาวสะท้านตามแนวสันหลัง หนังศีรษะบางส่วนชาวาบ

“จะเป็นภัยต่อเจ้าหรือไม่” ความห่วงใยของหลี่เมี่ยวเจินยิ่งกระจ่างชัดขึ้น

หลี่หลิงซู่เงี่ยหูฟังในทันที

สวี่ชีอันไม่รู้ว่าควรพยักหน้าหรือส่ายหัวดี จึงเอ่ยว่า “ดูกันไปทีละก้าวแล้วกัน”

หลี่เมี่ยวเจินพยักหน้าเบาๆ ใบหน้ารูปไข่ที่สวยสง่าเข้มขึ้นหลายระดับ

ส่วนหลี่หลิงซู่ที่ไม่ได้ยินความลับนี้กลับรู้สึกผิดหวังนิดหน่อย

สวี่ชีอันกวาดสายตามองทุกคนแล้วเอ่ยว่า “ข้ากับท่านราชครูต้องกลับไปเมืองหลวง พวกเจ้าจะติดตามไปด้วยหรือรออยู่ที่นี่”

ฉู่จ้วงหยวนพูดด้วยรอยยิ้มว่า “พอดีเลย ข้าต้องการให้ท่านโหราจารย์ช่วยขัดเกลาชิ้นส่วนหนังสือปฐพี”

สวี่ชีอันอาศัยการเหนี่ยวนำของหนังสือปฐพีจนรวบรวมปราณมังกรได้ เป็นเพราะท่านโหราจารย์ลงคาถาสลักไว้บนชิ้นส่วนหนังสือปฐพี

หนังสือปฐพีเป็นอาวุธล้ำค่าเพียงชิ้นเดียวในโลกที่สามารถบรรจุปราณมังกรได้

ตำหนักจิ่งซิ่ว ณ วังหลวง

หลินอันนั่งอยู่บนตั่งไม้เล็ก กำลังพูดคุยกับเฉินกุ้ยเฟยพระมารดาของนาง

นางสวมเสื้อคลุมสีดอกเหมย กระโปรงแพรฟูฟ่อง มวยผมที่ถูกมัดขึ้นอย่างพิถีพิถันปักมงกุฎหงส์ขนาดเล็ก กลัดกิ๊บเงินเคลือบทองคำ ทั้งยังปักปิ่นทองฝังอัญมณีลวดลายสวยงาม…ลำคอสวมใส่สร้อยเกยูรเงินแท้

แต่งตัวสวยสดงดงาม หรูหราสมฐานะ

แม้ว่าหญิงสามัญชนทั่วไปจะเกิดมาพร้อมหน้าตาสะสวย ก็ยากจะแต่งองค์ทรงเครื่องหรูหราตระการตาเช่นนี้

เพื่อที่จะแต่งเติมเสริมความงามของนาง หลินอันเหมาะกับการแต่งกายเช่นนี้เป็นพิเศษ ทั้งยังควบคุมได้อย่างพอดี

ทว่าหลินอันที่แต่งกายธรรมดาๆ แม้จะงามหยดดังหยาดฟ้า แต่กลับไร้จุดเด่น

แต่มีเพียงไม่กี่คนในราชสำนักที่รู้เรื่อง เช่นติ้งกั๋วกงขุนนางผู้มีคุณธรรม มิเช่นนั้นเขาคงไม่กล้าส่งฮูหยินตนเข้ามาสืบความในวัง

รอยยิ้มบนใบหน้าของเฉินกุ้ยเฟยค่อยๆ หายไป พลางมองนางแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา

“เจ้ายังคิดถึงเขาอยู่อีกหรือ”

หลินอันหลบสายตาในทันใด “ใคร ใครกัน…”

เฉินกุ้ยเฟยทอดถอนใจ พูดน้ำเสียงจริงจังว่า “เขาไม่คู่ควรกับเจ้า อาจทำให้ชีวิตคู่ไม่ราบรื่น”

“ท่านแม่หมายความว่าอย่างไร”

เรียวคิ้วงดงามประณีตของหลินอันขมวดมุ่น

ในเวลานี้ เหล่านางกำนัลยกสำรับอาหารเลิศรส เดินเรียงแถวเข้ามา วางบนโต๊ะทีละนาง

เฉินกุ้ยเฟยพลันเปลี่ยนหัวข้อ เอ่ยขึ้นว่า “อาหารพร้อมแล้ว ไยฝ่าบาทจึงยังไม่เสด็จมา”

หลินอันเริ่มหิวเล็กน้อย ดวงตากลมโตเหมือนดอกท้อจับจ้องอาหาร เอ่ยเสียงหวานว่า “พระเชษฐาคงติดพระราชภารกิจมากมาย เป็นเหตุให้ล่าช้าบ้าง ข้าจะส่งคนไปถาม”

เฉินกุ้ยเฟยพยักหน้าพร้อมกล่าวว่า “รีบไปรีบมา”

ตำหนักอันเสิน

จักรพรรดิหย่งซิงประทับบนเก้าอี้ตัวใหญ่ในห้องทรงพระอักษร สวมเสื้อคลุมสีทอง ทอดพระเนตรมองขุนนางชั้นสูงอย่างเคร่งขรึม

หลังจักรพรรดิหย่งซิงขึ้นครองราชสมบัติ พระองค์ไม่ได้ประทับในตำหนักเฉียนชิงของจักรพรรดิหยวนจิ่ง แต่ย้ายมาที่ตำหนักอันเซินทิศบูรพา

พระองค์ไม่โปรดตำหนักเฉียนชิง เช่นเดียวกับที่พระองค์เกลียดชังจักรพรรดิผู้ล่วงลับที่หมกมุ่นอยู่กับการบำเพ็ญธรรม เรื่องนี้ทำให้หวนนึกถึงใบหน้าและตัวตนที่แท้จริงของจักรพรรดิองค์ก่อนเสมอ

“ชายแดนทางเหนือเกิดพายุหิมะถล่มอย่างรุนแรง ทำให้ผู้ลี้ภัยจำนวนมากต้องเดินทางลงไปทางใต้ พาลให้เมืองต่างๆ ได้รับความเดือดร้อนกันถ้วนหน้า นอกจากนี้แล้ว ชิงโจว อวี่โจว เซียงโจว รวมถึงที่อื่นๆ ล้วนเผชิญกับภัยพิบัติหนักจากพายุหิมะ ราษฎรก่อกบฏไม่หยุดหย่อน” จักรพรรดิหย่งซิงตรัสด้วยสุรเสียงทุ้ม

“ท่านทั้งหลายจะจัดการอย่างไร”

…….………………………………….

————————————

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง