บทที่ 588 บริจาค
หัวข้อหารือในการประชุมศาลเล็กครั้งนี้ก็คือ ‘ภัยพิบัติหิมะ’ ตั้งแต่ย่างเข้าสู่ฤดูหนาว อุณหภูมิก็ลดฮวบอย่างรวดเร็ว
ครอบครัวที่พอจะฝืนรัดเข็มขัดและมีชีวิตอยู่ได้ก็ได้รับผลกระทบจากคลื่นความหนาวเย็น จนต้องใช้เงินซื้อฟืน ชุดกันหนาว และสิ่งของต่างๆ มาเพิ่มมากขึ้น
แต่สำหรับชาวนายากจนแล้ว เงินที่ได้ในแต่ละปีมีน้อยนัก ล้วนแต่ต้องคำนวณเรื่องอาหารและเครื่องนุ่งห่มอย่างรัดกุมอย่างยิ่ง
หากนำเงินไปซื้อฟืนและชุดกันหนาว นั้นก็หมายความว่าจะไม่มีเงินซื้อข้าวสาร
ประชาชนคนยากจนมากมายไม่อาจอยู่รอดผ่านฤดูหนาวไปได้ และผู้ที่ต้องทนทรมานกับความอดอยากและความหนาวเย็นก็มีจำนวนนับไม่ถ้วน
ราชสำนักได้รับรายงานจากที่ว่าการท้องถิ่นแต่ละแห่งติดต่อกัน ซึ่งต่างก็ใช้คำว่า ‘สิบหมู่บ้านไม่เหลือแม้แต่ครัวเรือนเดียว’ มาอธิบายความน่ากลัวของภัยพิบัติครั้งนี้
เลขาธิการศาลต้าหลี่ออกมาโค้งคำนับและเอ่ยว่า
“ฝ่าบาท โปรดให้กรมการคลังระดมเงินและเสบียงอาหารเพื่อช่วยเหลือภัยพิบัติด้วยพ่ะย่ะค่ะ หากประชาชนขาดเสื้อผ้าอาหาร ก็มิอาจมีชีวิตรอดผ่านฤดูหนาวไปได้ เช่นนั้นก็จะกลายเป็นคนพเนจรจนเกิดเป็นภัยพิบัติต่อเมืองแต่ละเมือง ประชาชนที่ถูกคนพเนจรปล้นก็จะกลายเป็นคนพเนจรไปด้วย หากไม่อาจระงับภัยพิบัติโดยเร็ว เกรงว่าจะเสียหายหนักมาก”
จักรพรรดิหย่งซิ่งยังไม่ทันเอ่ยอะไร เจ้ากรมการคลังก็รีบออกมาคำนับเอ่ยเสียงดัง
“ฝ่าบาท คลังหลวงว่างเปล่าแล้ว ไม่มีเงินและเสบียงเหลือพอจะนำมาช่วยภัยพิบัติแล้วพ่ะย่ะค่ะ ขอให้ฝ่าบาทโปรดพิจารณา”
ในช่วงภัยพิบัติแต่ละปี สำหรับเจ้ากรมการคลังอย่างเขาแล้ว ล้วนแต่เป็นพายุใหญ่ที่ชวนเขย่าหมวกขุนนางของเขายิ่งนัก
อย่างที่คิดไว้ ขุนนางใกล้ชิดในกรมการคลังรีบเดินออกมาเอ่ยเสริมทันที
“ฝ่าบาท กระหม่อมขอเอาผิดเจ้ากรมการคลังที่ใช้อำนาจเพื่อผลประโยชน์ส่วนตน ทุจริตตัวบทกฎหมาย และสมคบคิดกันกัดกินไขกระดูกของราชสำนัก จนทำให้คลังหลวงว่างเปล่าพ่ะย่ะค่ะ”
เจ้ากรมการคลังคุกเข่าลงแล้วกล่าวเสียงดัง “กระหม่อมถูกใส่ร้าย”
มุมปากของจักรพรรดิหย่งซิ่งกระตุกขึ้น มองพินิจขุนนางทั้งหลายด้วยใบหน้าไร้อารมณ์
การต่อสู้ในราชสำนัก!
มาจนถึงทุกวันนี้ก็ยังมีแต่การต่อสู้ในราชสำนัก!
‘เป็นเพราะกลุ่มปัญญาชนที่รู้จักแต่ต่อสู้กันในรั้วในวังนั่นแหละที่ร่วมมือกับจักรพรรดิองค์ก่อน แล้วไม่สนใจไยดีประชาชนผู้ได้รับภัยของต้าฟ่ง…’ จักรพรรดิหย่งซิ่งกำหมัดแน่น จากนั้นก็หัวเราะเอ่ยด้วยเสียงอ่อนโยน
“เมื่อวานข้าได้กล่าวไว้แล้ว ภัยพิบัตินั้นร้ายแรง ขุนนางทั้งท้องพระโรงจะต้องร่วมใจกันหารือกลยุทธ์ให้ดี ขุนนางรักทั้งหลายโปรดใจเย็นๆ เถิด”
พวกเจ้ากรมการคลังพากันวางธงรบทันที
จักรพรรดิหย่งซิ่งพยักหน้าอย่างพึงพอใจแล้วเอ่ยเสียงอ่อน “คลังในแต่ละท้องถิ่นเป็นอย่างไร”
เจ้ากรมการคลังเอ่ย “ได้เปิดคลังทั้งหมดเพื่อบรรเทาภัยพิบัติแล้วพ่ะย่ะค่ะ เพียงแต่ เพียงแต่ในช่วงเก็บเกี่ยวฤดูใบไม้ร่วง ราชสำนักและสำนักพ่อมดมีการต่อสู้กัน จึงได้รับความเสียหายอย่างหนัก เสบียงอาหารในวันนั้นล้วนรวบรวมมาจากท้องถิ่นทุกที่ ดังนั้นคลังเสบียงของแต่ละท้องถิ่นจึงมีไม่พอแล้ว”
จักรพรรดิหย่งซิ่งครุ่นคิดแล้วเอ่ยขึ้น “เช่นนั้นคลังราชการเล่า?”
เมื่อเอ่ยจบ ขุนนางในท้องพระโรงต่างก็มองหน้ากัน รองหัวหน้าสำนักตรวจสอบฝ่ายขวาหลิวหงเดินออกมากล่าวว่า
“ทำเช่นนั้นมิได้พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท หากต้องการทำให้สถานการณ์ในแต่ละท้องถิ่นสงบลง ก็ต้องให้ผู้ใต้บังคับบัญชาและขุนนางปฏิบัติหน้าที่ตามปกติ จะเคลื่อนย้ายคลังราชการมิได้เด็ดขาด”
ยุ้งฉางสำหรับช่วยเหลือภัยพิบัตินั้นจะนำเปิดใช้ในยามยาก
ส่วนคลังราชการเป็นส่วนที่จะกระจายเงินเดือนให้กับขุนนาง
เมื่อแตะต้องคลังราชการ หากราชสำนักไม่อาจจ่ายเงินเดือนได้ นั่นแหละที่จะเป็นภัยพิบัติใหญ่ของจริง
จักรพรรดิหย่งซิ่งสีหน้านิ่งขรึม “เช่นนั้นขุนนางหลิวมีแผนการดีๆ หรือไม่”
หลิวหงเอ่ยวิเคราะห์ “ชนเผ่าปีศาจและอารยชนทางเหนือยังติดหนี้ราชสำนักเป็นขนสัตว์ เกลือ และแร่เงินอีกนับไม่ถ้วน ฝ่าบาทสามารถส่งทูตไปบอกกล่าวที่ชายแดนเหนือได้พ่ะย่ะค่ะ”
จักรพรรดิหย่งซิ่งดวงตาสว่างวาบ ขุนนางใต้บัญชาก็กำลังพูดถึงเรื่องนี้จนเสียงเซ็งแซ่ แต่สมุหราชเลขาธิการหวางกลับเดินออกมาคำนับแล้วกล่าวว่า
“เรื่องนี้ทำมิได้พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท”
ขุนนางทั้งหลายรีบเอ่ยค้าน
“เหตุใดจึงทำไม่ได้?”
“ข้าคิดว่าแผนการของใต้เท้าหลิวยอดเยี่ยมยิ่งนัก”
“ใช่แล้ว ชนเผ่าอนารยชนมีวัวและแกะเป็นฝูง มีขนสัตว์มากมายนับไม่ถ้วน สามารถป้องกันความหนาวและแก้ไขปัญหาเร่งด่วนของราชสำนักได้พอดี”
สมุหราชเลขาธิการหวางรอให้ขุนนางทั้งหลายพูดให้จบแล้วจึงเอ่ยพูดต่อ
“ในวันนั้นได้มีการร่างหนังสือสาบานลงนามเป็นสวี่ซินเหนียนแห่งสำนักบัณฑิตฮั่นหลิน ซึ่งกระหม่อมเป็นผู้ตรวจสอบดูแลด้วยตนเอง กระดาษขาวอักษรดำล้วนเขียนเอาไว้ชัดเจนว่าขนสัตว์และสัตว์ทั้งหลายของชนเผ่าอนารยชน จะนำมามอบให้ต้าฟ่งในอีกสามปีให้หลัง ตอนนี้สงครามเพิ่งจะสงบลงได้ไม่ถึงสองเดือน ชนเผ่าอนารยชนกำลังอยู่ในช่วงฟื้นฟู จึงขาดแคลนเสบียงสิ่งของอย่างหนัก หากตอนนี้บังคับให้พวกเขาทำตามสัญญาละก็…”
สมุหราชเลขาธิการหวางไม่ได้เอ่ยต่อ แต่ขุนนางทั้งหลายล้วนเข้าใจดี
นั่นจะเป็นการบีบให้ต้าฟ่งต้องเผชิญหน้ากับชนเผ่าอนารยชนและเผ่าปีศาจ
จักรพรรดิหย่งซิ่งรู้สึกหงุดหงิดนัก จึงเอ่ยถาม “ใต้เท้าสมุหราชเลขาธิการมีแผนดีๆ หรือไม่”
สมุหราชเลขาธิการหวางถอนหายใจ ถึงจะไม่ได้หันหลังกลับไปมอง ก็รู้สึกได้ถึงสายตาแผดเผาหลายคู่ที่ส่งมาจากข้างหลัง
ในฐานะที่เป็นสมุหราชเลขาธิการ มีบางเรื่องเขาก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ ดังนั้นจึงเอ่ยเสียงทุ้มต่ำ
“แม้ว่าคลังหลวงจะว่างเปล่า แต่ทั่วทั้งเมืองหลวงไปจนถึงทุกแห่งในภาคกลางกลับยังมีเศรษฐีผู้มั่งคั่ง ฝ่าบาทสามารถเรียกร้องให้ผู้ชื่นชอบสะสมความดีทั้งหลายบริจาคได้”
‘มาแล้ว…’ ขุนนางทั้งหลายใจตกไปที่ตาตุ่ม
ความจริงเมื่อหลายวันก่อนก็มีข่าวลือแพร่ในเมืองหลวงว่าฝ่าบาทจะเรียกร้องเงินบริจาคเพื่อเติมคลังหลวงที่ว่างเปล่า เสมือนกรีดเลือดเฉือนเนื้อของพวกเขาไป
จักรพรรดิหย่งซิ่งกำลังรอคอยเวลานี้อยู่ เขาจึงยิ้มออกมา
“แผนการนี้ยอดเยี่ยมนัก ใต้เท้าสมุหราชเลขาธิการคิดว่าควรจะเรียกร้องอย่างไรดี”
สมุหราชเลขาธิการหวางเอ่ย “ให้ขุนนางทั้งหลายเป็นผู้นำในการบริจาค ส่วนกระหม่อมยินดีบริจาคทรัพย์สินของตระกูลครึ่งหนึ่ง เพื่อช่วยภัยพิบัติและบรรเทาทุกข์พ่ะย่ะค่ะ”
เมื่อประโยคนี้เอ่ยออกมา ขุนนางทั่วทั้งท้องพระโรงก็พากันตกตะลึง
พรรคหวางและอดีตสมาชิกพรรคเว่ยมีปฏิกิริยาขึ้นมาทันที พวกเขาแสดงออกด้วยท่าทีแบบเดียวกับสมุหราชเลขาธิการหวาง ต่างก็บอกว่าจะบริจาคทรัพย์สินของตระกูลครึ่งหนึ่งเพื่อเติมเต็มคลังหลวง
แต่ขุนนางใหญ่หลายคนก็มีท่าทีต่อต้าน
“ฝ่าบาท เช่นนี้มิได้พ่ะย่ะค่ะ”
“พวกเราล้วนเป็นขุนนางมือสะอาดที่พอจะอาศัยเงินเดือนประทังชีวิตอยู่ได้ แล้วจะเอาทรัพย์สินตระกูลมาจากที่ใดกัน”
“พ่อค้าล้วนแสวงหาผลกำไร การให้พวกเราบริจาคก็เปรียบดังการเฉือนเลือดขูดเนื้อ จะต้องเกิดความโกลาหลขึ้นแน่นอน”
“เรื่องที่คลังหลวงว่างเปล่ามิควรป่าวประกาศออกไปให้พวกสำนักพ่อมดรู้ มิเช่นนั้นเกรงว่าจะมีภัยพิบัติสงครามขึ้นอีกได้ ส่วนภายใน หากให้ประชาชนรู้ว่าราชสำนักแข็งนอกแต่กลวงข้างใน เช่นนั้นก็จะมีคนพเนจรที่กลายเป็นโจรร้ายมากมาย จนทำให้เกิดภัยพิบัติไม่มีที่สิ้นสุด”
พอได้ยินว่าจักรพรรดิจะเรียกร้องให้บริจาคและสมุหราชเลขาธิการหวางก็เป็นผู้นำบริจาคทรัพย์สินตระกูลครึ่งหนึ่ง พวกขุนนางก็มีท่าทีตอบสนองอย่างรุนแรง ต่างก็มายืนอยู่ข้างเดียวกันอย่างรู้ใจ
แม้ว่าปกติพวกเขาจะขัดแย้งกันเหมือนน้ำกับไฟก็ตาม
จักรพรรดิหย่งซิ่งยกมือขึ้นเพื่อสงบการโต้เถียงของเหล่าขุนนาง
ที่นี่คือห้องทรงพระอักษรไม่ใช่ตำหนักกระดิ่งทอง จึงไม่มีขันทีใช้แส้ห้ามทัพ
หลังจากขุนนางทั้งหลายสงบลงแล้ว เขาก็มองไปที่เลขาธิการศาลต้าหลี่แล้วเอ่ย
“ใต้เท้าเลขาธิการศาล มีความเห็นอย่างไร?”
ขุนนางในที่นั้นล้วนเป็นบุคคลสำคัญของพรรคใหญ่ๆ หากจัดการพวกเขาได้ ก็จะสามารถจัดการคนส่วนใหญ่ของพรรคได้
และตอนนี้เลขาธิการศาลต้าหลี่ก็เป็นผู้นำของพรรคฉี ผู้นำเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น หากเขาพยักหน้า พรรคฉีก็ถูกจัดการเรียบร้อยแล้ว อย่างน้อยก็ถือว่าจัดการได้ไปกว่าครึ่ง
“ฝ่าบาท!” เลขาธิการศาลต้าหลี่เดินออกมาโอดครวญ
“กระหม่อมเป็นขุนนางมายี่สิบปี ทำงานหนักแสนลำเค็ญ ใสซื่อมือสะอาด ยามร้อนไม่มีน้ำเย็น ยามหนาวเย็นไม่มีถ่านไฟ แค่พอจะฝืนมีชีวิตต่อไปได้เท่านั้นพ่ะย่ะค่ะ”
ว่าพลางก็สะบัดแขนเสื้อจนร่นลงมา และเผยให้เห็นมือที่ถูกน้ำแข็งกัดคู่หนึ่ง
“กระหม่อมยินดีสละชีพเพื่อราชสำนักจวบจนสิ้นลมหายใจ แต่กระหม่อมยังสงสารภรรยาและลูก ไม่อยากให้พวกเขานอนหนาวตายอยู่ข้างถนน หากฝ่าบาทยืนกรานจะทำเช่นนี้ กระหม่อมก็คงต้องเฉือนกระดูกให้แล้วพ่ะย่ะค่ะ”
‘จิ้งจอกเฒ่า…’ จักรพรรดิหย่งซิ่งปวดหัวตุบๆ จากนั้นก็โบกมือติดๆ กัน
“ไม่ต้องถึงขนาดนั้น…”
หากต้องเป็นเช่นนั้นจริงๆ เขาก็จะกลายเป็นคนที่บีบคั้นให้ขุนนางบริจาค จนทำให้กลายเป็นจักรพรรดิผู้ละโมบที่ทำให้ขุนนางลาออกมากมาย ทีนี้ชื่อเสียงก็จะเสื่อมเสีย และคงถูกบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ว่า
‘ไม่ต่างอะไรจากอดีตจักรพรรดิ’
จักรพรรดิหย่งซิ่งเชื่อว่าปัญญาชนพวกนั้นจะต้องเขียนแบบนี้แน่ๆ
เพราะผู้ที่ถูกบังคับให้บริจาคคือพวกเขา
จักรพรรดิหย่งซิ่งเอ่ยถามขุนนางใหญ่คนอื่นๆ อีก ปรากฏว่าต่างก็กระทบเข้ากับตะปูตัวอื่นๆ ด้วยเช่นกัน
หากมิได้ร่ำร้องว่ายากจน ก็บอกว่าจะเฉือนเนื้อตัดกระดูกตนเอง
สีหน้าของจักรพรรดิหนุ่มย่ำแย่ลงเรื่อยๆ เมื่อขี่เสือแล้วลงยาก สุดท้ายก็ตบโต๊ะ
“นี่ก็ไม่ได้ นั่นก็ไม่ได้ ราชสำนักเลี้ยงพวกเจ้าเอาไว้ทำอะไร ภายในสามวัน ข้าต้องการแผนการที่ครอบคลุมรอบด้าน หากไม่มีมาให้ ก็ไสหัวไปให้หมดเสีย!”
“ฝ่าบาทโปรดระงับโทสะ!”
ขุนนางทั้งหลายพากันคุกเข่า
…
การประชุมเล็กจึงจบลงล่วงหน้าเพราะความโกรธของจักรพรรดิหย่งซิ่ง
สมุหราชเลขาธิการหวางปรับหมวกขุนนางให้ดีแล้วกุมมือทั้งสองข้างไว้ใต้ชายแขนเสื้อ ก่อนจะเดินเคียงข้างรองหัวหน้าสำนักตรวจสอบฝ่ายขวา และหัวหน้าหลิวหงแห่งหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลซึ่งเป็นผู้สืบทอดของเว่ยเยวียน พวกเขาเดินไปบนถนนที่ปูด้วยอิฐเขียวอันกว้างใหญ่
ด้านหน้าก็คือประตูอู่
มีทหารรักษาพระองค์เฝ้าอยู่ไกลๆ ส่วนทหารรักษาวังกำลังเดินลาดตระเวน สายตาสมุหราชเลขาธิการหวางไล่มองตามทหารรักษาวังที่เดินผ่านไปอย่างเหนื่อยหน่าย ผ่านไปพักหนึ่งก็ถอนสายตากลับมาแล้วค่อยๆ เอ่ยว่า
“ฝ่าบาทเปิดเผยจุดอ่อนที่รักชื่อเสียงของตนออกมาชัดเกินไป แล้วจะสู้กับจิ้งจอกเฒ่ากลุ่มนี้อย่างไรได้”
“ฝ่าบาทยังทรงพระเยาว์เกินไป”
“มีใจจะสร้างความแข็งแกร่งให้กับอาณาจักร แต่จนใจที่ความสามารถยังไม่มากพอ” หลิวหงมิอาจปกปิดความดูแคลนของตน
สมุหราชเลขาธิการหวางสูดอากาศเยือกเย็นจนจมูกแดงก่ำ แล้วเอ่ยเสียงเรียบ
“วิธีการยังไม่ประสา จิตใจยังไม่ล้ำลึกมากพอ เรื่องเล่านี้สามารถเรียนรู้ได้ หากเป็นองค์ชายสี่คงไม่ดีไปกว่าเขานักหรอก”
หลิวหงเอ่ยออกมาอย่างไม่คิด “น่าเสียดายที่องค์หญิงฮว๋ายชิ่งเป็นสตรี”
สมุหราชเลขาธิการหวางยิ้มเย็น “สาส์นแนะนำจากเอ้อร์หลางที่บอกให้ราชสำนักเรียกเงินบริจาคนั้น ก็มาจากความคิดขององค์หญิงฮว๋ายชิ่งมิใช่หรือ เจ้าคิดว่าข้าไม่รู้หรืออย่างไร”
หลิวหงเอ่ยใจเย็น “ใต้เท้าสมุหราชเลขาธิการช่างเฉลียวฉลาดดวงตาเฉียบคมนัก”
“มิได้ให้คหบดีบริจาคเพียงฝ่ายเดียว แต่ยังให้ฝ่าบาทระดมขุนนางทุกคนเพื่อบริจาค องค์หญิงช่างมองการณ์ไกลนัก”
สมุหราชเลขาธิการแค่นเสียง สีหน้าเยือกเย็นลง
“เจ้าไปบอกฮว๋ายชิ่งว่าต่อไปหากต้องการลองใช้วิธีของตัวเอง ก็อย่าได้เอาลูกเขยในอนาคตของข้ามาเป็นอาวุธ ฝ่าบาทอาจจะเสียหน้าเพราะเรื่องนี้ เมื่อถึงตอนนั้นก็ต้องทรงพิโรธไปถึงเอ้อร์หลางด้วย”
หลิวหงไม่ได้เอ่ยอะไร
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง