บทที่ 589 เข้าชมสำนักโหราจารย์
นับตั้งแต่สวี่ชีอันไปจากเมืองหลวง ฮว๋ายชิ่งไม่เคยเป็นฝ่ายติดต่อเขาก่อนเลย
เมื่อครู่สวี่ซินเหนียนมาเยี่ยมเยียนเพื่อหารือเกี่ยวกับข้อตกหล่นของแผนการรับเงินบริจาค และชี้ให้เห็นว่าจักรพรรดิใหม่มีบารมีไม่เพียงพอ ไม่สามารถควบคุมบรรดาขุนนางในราชสำนักได้
“หากพี่ใหญ่อยู่ในเมืองหลวงก็คงจะดี!”
สวี่เอ้อร์หลางทอดถอนใจด้วยความหดหู่เช่นนี้
น่าเสียดายที่ตั้งแต่สวี่ชีอันออกท่องยุทธภพก็ตัดการติดต่อกับเมืองหลวง ไม่เคยส่งจดหมายมาบ้านเลย
ฮว๋ายชิ่งย่อมรู้ว่าหากสวี่ชีอันอยู่เมืองหลวง พลังเสียงก็จะยิ่งแข็งแกร่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งท่าทีที่เขาเคยไปอุดประตูอู่ โค่นกั๋วกง และสังหารอดีตจักรพรรดิ
พอเขาชูมือส่งเสียง ขุนนางใหญ่ที่ยอมบริจาคเงินก็มีจำนวนไม่น้อย ใครก็ไม่กล้ายั่วยุเจ้าหมอนี่
แต่ฮว๋ายชิ่งไม่ได้ทำเช่นนี้ ไม่ใช่ว่าไม่สะดวกจะเอ่ยปากหรือยังไม่สนิทกันมากพอ แค่รู้สึกว่าหากต้าฟ่งมาถึงขั้นที่ต้องให้คนคนเดียวจัดการทุกเรื่อง
เช่นนั้นชะตากรรมคงต้องสิ้นสุดแล้วจริงๆ
“สุนัขรับใช้ของเจ้าส่งจดหมายให้เจ้าหรือไม่” ฮว๋ายชิ่งถาม
“ส่งแน่นอน!”
หลินอันเชิดคางขาวราวหิมะและกล่าวอย่างภาคภูมิใจ “เยอะมากด้วย”
“ในฝันล่ะสิ” ฮว๋ายชิ่งเปิดโปงอย่างไม่ไว้หน้า
“เจ้า…” หลินอันจ้องนางตาเขม็ง
ฮว๋ายชิ่งยกถ้วยชาอย่างอารมณ์ดีและจิบไปทีหนึ่ง
หลินอันจากไปด้วยความโกรธ กลับมาถึงพระตำหนักเส้าอินด้วยความกลัดกลุ้ม
“องค์หญิงถูกรังแกในสวนเต๋อซินอีกแล้วหรือ”
นางกำนัลคนสนิทปิดปากหัวเราะเบาๆ
หลินอันไม่ได้พูดอะไร อารมณ์สนุกหมดลงเล็กน้อย
นางรับชาที่นางกำนัลยื่นให้ นางไม่ได้ดื่มแต่ถือไว้เพื่ออุ่นมือ
นั่งไปครู่หนึ่ง หลินอันพลันเอ่ยขึ้น
“บางทีข้าก็คิดว่า ที่จริงแล้วข้าไม่สำคัญสำหรับเขาเลย”
นางกำนัลย่อมฟังความหมายของนางออก จึงกล่าวด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “เหตุใดพระองค์จึงคิดเช่นนี้”
“ข้าไม่ฉลาดเหมือนฮว๋ายชิ่ง นิสัยก็ไม่ดี ทั้งยังไม่มีตบะด้วย เมื่อก่อนตอนที่เขายังเป็นฆ้องเงิน ข้าเป็นองค์หญิง ข้ามีความมั่นใจมาก”
“มั่นใจจนยืนเอามือเท้าเอวต่อหน้าเขาทุกวัน” นางกำนัลพูดเสริมไปประโยคหนึ่ง
“แต่ตอนนี้องค์หญิงอย่างข้ายืนเอามือเท้าเอวต่อหน้าเขาไม่ได้แล้ว ข้าไม่มีประโยชน์ต่อเขาเลย”
หลินอันมีสีหน้าเศร้าสร้อยซึ่งพบเจอได้ไม่บ่อยนัก
ความในใจเหล่านี้ นางระบายกับนางกำนัลที่โตมาด้วยกันเท่านั้น
นางกำนัลกล่าว “บ่าวคิดว่าฆ้องเงินสวี่ชอบพระองค์ ไม่เกี่ยวกับว่าพระองค์จะมีประโยชน์หรือไม่ หากเงื่อนไขแรกของการชอบคนคนหนึ่งคือ ‘ผลประโยชน์’ เช่นนั้นความชอบแบบนี้จะมีความหมายอะไร”
“พระองค์เป็นตัวของตัวเองก็พอแล้ว”
หลินอันฮึกเหิมในบัดดล
“เช่นนั้นเหตุใดเขาถึงไม่ติดต่อข้า เมื่อก่อนตอนที่สืบคดี เขาก็เป็นห่วงแต่ฮว๋ายชิ่งเท่านั้น เรื่องอะไรก็ปรึกษาแต่กับฮว๋ายชิ่ง ตอนนี้ไปจากเมืองหลวงแล้วก็ไม่มีข่าวคราวใดๆ ข้าฝากสำนักโหราจารย์ส่งจดหมายให้เขาแล้ว เขาก็ไม่เคยตอบกลับมา ตอนนี้เสด็จพี่จักรพรรดิมีปัญหา ที่ข้าพึ่งพิงได้ก็มีแต่เขา แต่ข้าหาเขาไม่เจอ…”
ขณะที่พูดอยู่น้ำเสียงของนางก็เบาลง ก้มหน้าอย่างหงอยเหงา
…
ย่ำใกล้สายัณห์
แสงสีทองจางๆ เปล่งประกายระยิบระยับกลุ่มหนึ่งพาดผ่านท้องฟ้าเหนือเมืองหลวง ตกลงบนแท่นแปดทิศของสำนักโหราจารย์
แสงสีทองสลายไป พวกเขาคือกลุ่มของสวี่ชีอันทั้งเจ็ดคน
โหราจารย์นั่งอยู่ด้านหลัง หันหลังให้ฝูงชน ก้มมองดูเมืองหลวงอยู่
เหมียวโหย่วฟางมองไปรอบๆ ด้วยความตื่นเต้น เท้าทั้งคู่อ่อนปวกเปียกขึ้นมา นี่เป็นครั้งแรกที่เขามาเมืองหลวง เป็นครั้งแรกที่ได้ขึ้นมาบนหอดูดาวในตำนาน ยิ่งไปกว่านั้น เป็นครั้งแรกที่ได้เห็นท่านโหราจารย์
‘เส้นผมสีขาว อาภรณ์สีขาว สมกับเป็นเทพเซียนในโลกมนุษย์เสียจริง…’ เหมียวโหย่วฟางมองดูหลังของท่านโหราจารย์แล้วรู้สึกปลงอนิจจังขึ้นมา
หลี่หลิงซู่ก็มาเมืองหลวงเป็นครั้งแรก พบเจอกับท่านโหราจารย์เป็นครั้งแรก นอกจากจะระมัดระวังเล็กน้อยแล้ว ร่างกายของเขายังนับว่าสงบอยู่
ลั่วอวี้เหิงโบกแขนเสื้อกว้างสะบัดพระอรหันต์ตู้ฉิงที่นั่งหลับตาขัดสมาธิอยู่ออกมา
“พวกเจ้าไปกันเองเถอะ ข้ามีเรื่องจะคุยกับท่านโหราจารย์”
สวี่ชีอันกวาดตามองฝูงชนทีหนึ่ง
อยากอยู่ฟังมาก บางทีอาจได้ยินความลับขั้นสูง และสามารถคาดเดาสถานะที่แท้จริงของสวีเชียนได้…ความรู้อยากเห็นของหลี่หลิงซู่ระเบิดขึ้นมา แต่ในเมื่อผู้อาวุโสเอ่ยปากแล้ว เขาก็ทำได้แค่จากไปแต่โดยดี
หลังจากใช้สายตามองตามหลี่เมี่ยวเจินและคนอื่นๆ ลงไปตามบันไดแล้ว สวี่ชีอันพ่นหายใจออกมาทีหนึ่ง ในที่สุดก็ไม่ต้องแกล้งทำตัวเป็นผู้สูงส่งแล้ว
“ท่านโหราจารย์ ข้ากับท่านราชครูจับพระอรหันต์ตู้ฉิงได้ที่ยงโจวแล้ว”
สวี่ชีอันประสานมือคารวะ
ดูเหมือนท่านโหราจารย์จะไม่ได้ยิน ยังคงหันหลังให้เขากับลั่วอวี้เหิงโดยไม่ขยับเขยื้อนเลย
คงไม่ตายไปแล้วหรอกนะ…สวี่ชีอันตำหนิในใจหนึ่งไปหนึ่งประโยค จากนั้นได้ยินลั่วอวี้เหิงพูดว่า
“จิตเดิมเขาออกจากร่างแล้ว”
หา?
สวี่ชีอันไม่อาจซ่อนความประหลาดใจไว้ได้ ประหลาดใจที่จิตเดิมของท่านโหราจารย์ออกจากร่างอย่างไม่คาดคิด
เขาก็นับว่าเป็นแขกประจำของสำนักโหราจารย์ ขึ้นแท่นแปดทิศมาก็ไม่น้อย ทุกครั้งที่มีคนมา ท่านโหราจารย์จักต้องรอคอยอยู่
ที่สวี่ชีอันแปลกใจคือเกิดเรื่องอะไรกับท่านโหราจารย์กันแน่ ถึงขนาดที่ว่ามี ‘แขก’ มาหาถึงบ้านยังกลับมาไม่ทัน
…
“เป็นการยากที่จะมาสำนักโหราจารย์สักครั้ง ข้าพาพวกเจ้าทั้งสองเยี่ยมชมสักรอบ”
หลี่เมี่ยวเจินพาผู้คนเดินลงบันไดอย่างคุ้นเคยกับสถานที่ เดินได้ไม่นานก็เห็นโหรอาภรณ์ขาวท่านหนึ่งมือถือพู่กันขนนุ่มกับกระดาษเซวียนจื่อ เดินผ่านฝูงชนไป
“ศิษย์พี่ท่านนี้ ศิษย์น้องไฉ่เวยอยู่ที่ใด”
หลี่เมี่ยวเจินเรียกเขาไว้
โหรอาภรณ์ขาวตอบ “ศิษย์น้องไฉ่เวยอ่านตำราอยู่ที่ห้องเก็บตำรา”
หลี่เมี่ยวเจินตกใจมาก “ฉู่ไฉ่เวยอ่านตำราอยู่หรือ”
ในใจคิดว่าพระอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันตกแล้วหรือ
“ปีหน้าศิษย์น้องไฉ่เวยก็สามารถสอนศิษย์แทนท่านอาจารย์ได้แล้ว ตอนนี้ขลุกอยู่ในห้องเก็บตำราทุกวัน” โหรอาภรณ์ขาวอธิบายไปหนึ่งประโยค จากนั้นก็จากไปอย่างเร่งรีบ
เดิมทีหลี่เมี่ยวเจินยังอยากให้ฉู่ไฉ่เวยนำทางสักหน่อย เห็นนางยุ่งเช่นนี้ก็เลยยกเลิกไป
อย่างไรเสียนางกับฉู่หยวนเจิ่นมาสำนักโหราจารย์หลายครั้งแล้ว ไม่ได้รู้สึกแปลกที่แต่อย่างใด
คนกลุ่มหนึ่งเดินหน้าต่อ หลี่หลิงซู่กับเหมียวโหย่วฟางมองซ้ายแลขวา สังเกตดูสำนักโหราจารย์ในตำนานด้วยความอยากรู้อยากเห็น
ที่นี่คือสถานที่รวมตัวของบรรดาโหร มีเพียงที่นี่เท่านั้นที่สามารถมองเห็นกลุ่มโหรขนาดใหญ่ได้
เหมียวโหย่วฟางถามหลี่หลิงซู่เบาๆ “เหตุใดโหรในสำนักโหราจารย์ล้วนพกพู่กัน หมึก และกระดาษติดตัวด้วย”
ตลอดทางที่ผ่านมา พวกเขาค้นพบว่าบรรดาโหรอาภรณ์ขาวจะพกกระดาษและพู่กันขนนุ่มติดตัว ราวกับว่าพอคำพูดไม่ถูกหูก็จะเขียนออกมาเป็นพรืด
หลี่หลิงซู่ลังเลครู่หนึ่ง “โหรต่างก็ชอบเรียนรู้”
เหมียวโหย่วฟางเข้าใจในฉับพลัน “ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ ช่างน่าละอายใจยิ่งนัก ข้าเขียนได้แค่ชื่อตัวเองเท่านั้น”
ระหว่างที่พูดพวกเขาก็มาถึงชั้นเจ็ด
หลี่เมี่ยวเจินพูดแนะนำ “ชั้นนี้คือสถานที่รวมตัวของนักเล่นแร่แปรธาตุ ห้องโอสถของสำนักโหราจารย์ก็อยู่ที่นี่ พวกเรารีบไปจากที่นี่กัน”
หลี่หลิงซู่เห็นท่าทีค่อนข้างหวาดกลัวของศิษย์น้อง ก็ถามด้วยความสงสัย
“ที่นี่คือสถานที่หวงห้ามของสำนักโหราจารย์หรือ”
ขณะที่พูดเขาก็เผยสีหน้าเข้าใจในฉับพลัน “หรืองานฝีมือต้องปิดเป็นความลับ?”
“ไม่!”
ฉู่หยวนเจิ่นกล่าวเรียบๆ “เป็นเพราะว่านักเล่นแร่แปรธาตุบนชั้นนี้ล้วนเป็นคนที่มีพฤติการณ์ผิดปกติเหมือนถูกผีร้ายเข้าสิง หากเจ้าเป็นคนที่ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับนักเล่นแร่แปรธาตุเลยแม้แต่น้อย พวกเขาจะใช้รูจมูกมองเจ้า และเหน็บแนมว่าเจ้ามีสติปัญญาไม่พอ”
“ช่างโอหังเสียจริง” หลี่หลิงซู่ถาม “หากเข้าใจวิชาเล่นแร่แปรธาตุอยู่บ้าง จะถือว่าเป็นแขกผู้มีเกียรติหรือไม่”
“ไม่!”
ไต้ซือเหิงหย่วนกล่าวเสียงทุ้ม
“หากประสกแสดงออกว่าสนใจวิชาเล่นแร่แปรธาตุ พวกเขาจะแนะนำอาหารแปลกๆ ที่พบเจอได้ยากให้เจ้าได้ลิ้มลอง เช่นผลแตงที่มีลูกกะตา ไก่เผาที่มีสองหัว เป็นต้น พวกเขาอาจจะยุให้ประสกลองทดสอบร่างมนุษย์หลอมสำเร็จด้วย ทั่วทั้งเมืองหลวงที่สามารถควบคุมพวกเขาได้ มีแค่ท่านโหราจารย์กับใต้เท้าสวี่เท่านั้น”
“ใต้เท้าสวี่?” หลี่หลิงซู่ยังตอบสนองไม่ทัน
“สวี่ชีอัน!” เหิงหย่วนกล่าว
“สวี่ชีอันหรือ” หลี่หลิงซู่เข้าใจในบัดดล “ได้ยินชื่อเสียงมานาน ไม่มีวาสนาได้เจอกันเลย มาเมืองหลวงในครั้งนี้ ข้าต้องไปเยี่ยมเยียนสักหน่อย”
ผู้ครอบครองเศษชิ้นส่วนหนังสือปฐพีทั้งสามใช้สีหน้าซึ่งไม่สามารถบรรยายเป็นคำพูดได้มองเขาทีหนึ่ง
“ร่างมนุษย์หลอมสำเร็จหมายความว่าอย่างไร” เหมียวโหย่วฟางถือโอกาสพูดแทรก
“เช่นเอาเจ้าไปผสมพันธุ์กับหมู”
เหมียวโหย่วฟางกับหลี่หลิงซู่หดศีรษะลงพร้อมกันแล้วเร่งฝีเท้าเดิน
คนกลุ่มหนึ่งไปจากชั้นเจ็ดอย่างรวดเร็ว พบเจอกับโหรอาภรณ์ขาวกลุ่มหนึ่งที่ชั้นหก
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง